บทที่9 ดินแดนเปลี่ยวร้าง
ชายชุดน้ำเงินได้รับคำสั่งให้ตามซินเยว่ไปจนถึงจวนแม่ทัพหยาง เขาซุ่มดูอยู่สักพักจึงกลับมารายงานนายของตน
"นางเป็นคนของจวนแม่ทัพหยางขอรับนายท่าน"
บุรุษผมสีเงินยวงคิ้วหนาโก่งได้รูป ดวงตาสีเขียวอมฟ้าดูเย็นชา ขนตาหนาเป็นแพงอนงามจนอิสตรีเมื่อได้เห็นยังนึกอิจฉา ใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาเสียยิ่งกว่าหยกเนื้อดี จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางแดงระเรื่อ องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าช่างลงตัว สันกรามที่เด่นชัดรับกับลำคอระหงยิ่งขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลาจนคนธรรมดาไม่สามารถแตะต้องได้
ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาที่ทำให้คนมองชวนตะลึง อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าราวกับสวรรค์สรรค์สร้าง ดูเฉยชาแต่ไม่สูญเสียความงดงามรูปร่างสูงโปร่ง ไหล่กว้างเหยียดตั้งตรงดั่งไม้บรรทัด ดูแข็งแกร่งดังหินผาที่ไม่มีวันสั่นคลอน เอวสอบรับกับขาแข็งแรงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาดูมีอำนาจและสูงส่งปานเทพเซียน
บุรุษผู้มีรูปลักษณ์เป็นหนึ่งในใต้หล้านี้ เลิกคิ้วเล็กน้อยขยับปากเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
"เท่านี้" "เอ่อ!!...."
เหตุใดนายท่านถึงได้สนใจหญิงอัปลักษณ์ที่ไม่มีแม้แต่พลังปราณซ้ำยังทำตัวเป็นตีนแมวเช่นนางด้วยนะ จวนแม่ทัพหยางยากจนถึงเพียงนั้นหรือนางถึงได้ออกมาขโมยของในโรงเตี๊ยมเช่นนี้
ชายชุดน้ำเงินอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง โดยลืมไปว่านายของเขากำลังนั่งรอฟังอยู่ตรงหน้า บุรุษผมสีเงินแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบกดข่ม บุรุษชุดสีน้ำเงินกระอักเลือดออกมาคำโตเพราะไม่สามารถทนแรงกดดันของพลังมหาศาลที่ไม่สามารถวัดค่าได้ของเขา แม้พลังของบุรุษชุดสีน้ำเงินจะอยู่ขั้นหยวนหยิงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านายท่านแล้ว เหมือนเขาเป็นเพียงมดปลวกที่ไร้ค่าเท่านั้น
"เยี่ยจื่อลงโทษตัวเองซะ"
บุรุษผมสีเงินไม่แม้แต่จะเหลือบตามององครักษ์ข้างกายคำสั่งของเขาถือเป็นที่สุด เมื่อทำงานไม่ได้ดั่งที่เขาต้องการก็ย่อมต้องรับโทษนี่เป็นกฎที่มีมาช้านาน
"ขอรับ ขอบคุณนายท่านที่เมตตา"
เยี่ยจื่อคุกเข่าลงข้างหนึ่งยกกำปั้นขวาขึ้นแนบอกซ้ายทำท่าคารวะแล้วหายวับไป
"เยี่ยเฉิง"
สิ้นเสียงเขาบุรุษชุดสีดำใบหน้าเย็นชาผิวขาวราวหิมะสูงใหญ่ไม่แพ้เยี่ยจื่อคุกเข่าลงตรงหน้าชายผมสีเงิน
"ไปสืบมา"
เขาเพียงพยักหน้าแล้วหายตัวไปทันที
เยี่ยจื่อและเยี่เฉิงเป็นองครักษ์คนสนิทที่อยู่ข้างกายเขามานาน แต่เยี่ยจื่อกลับไม่เคยทำงานได้เรียบร้อยเช่นเยี่ยเฉิงสักครั้ง เขาถูกนายท่านลงโทษบ่อยที่สุดแต่เขาก็ยังคงได้อยู่ข้างกายนายท่านเหมือนเดิม นั่นเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับองครักษ์เงาอีกหลายคน
ยามห้าย (21.00-22.59) ซินเยว่ออกจากถ้ำมาคนเดียวอย่างเงียบๆ นางเดินลัดเลาะไปด้านหลังจวนแม่ทัพหยาง ขุดเอาย่ามที่ฝังดินไว้แล้วลอดเข้าไปตรงรอยแตกที่กำแพงหลังเรือนท้ายจวน
ซินเยว่หยุดดูอยู่หลังพุ่มไม้สักพัก ไม่เห็นองครักษ์เดินตรวจตราจึงลอบเข้าไปในครัวใหญ่ ห้องครัวมีเพียงตะเกียงจุดไว้เพียงหนึ่งดวง ห้องฝั่งซ้ายมือจะเป็นห้องที่มีเอาไว้สำหรับบ่าวที่นอนเฝ้าห้องครัว
ซินเยว่มองไปที่โอ่งดินเผาขนาดใหญ่มีฝาปิด นางล้วงเอาขวดยาขนาดเล็กออกจากอกเสื้อเเล้วเปิดจุกเทเม็ดยาลูกกลอนลงในโอ่งดินเผา ยาเม็ดเมื่อโดนน้ำก็ละลายในทันที
"หึหึ นี่แค่ของฝากเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น"
ซินเยว่ล้วงเอาขวดยาอีกขวดออกมาเปิดจุกฝาออกมีกลิ่นหอมอ่อนโชยออกมาเบาๆ
"อันนี้สิของจริง ข้าอยากจะรู้นักถ้าพวกเจ้าไม่มีพลังปราณจะยังมีใครเกรงกลัวจวนแม่ทัพหยางของพวกเจ้าอีก ลองเป็นสวะสักหกเดือนดูดีหรือไม่พวกเจ้าจะได้รับรู้ถึงความรู้สึกของหยางซินเยว่"
ปากพูดพึมพำมือก็เทเม็ดยาลงน้ำ โอสถสลายปราณชั่วคราวที่ซินเยว่ทำเล่นๆ หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาถ้าหากสำนักแพทย์โอสถรู้ว่านี่เป็นเพียงยาที่นางหลอมขึ้นมาเล่นๆ พวกเขาคงจะอยากวิ่งเอาหัวชนเสาตายเเน่ๆ เพราะกว่าคนหนึ่งคนจะสามารถปรุงยาหรือหลอมโอสถขั้นแรกได้นั้นต้องใช้เวลานานนับปี แต่นั่นสำหรับคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะแต่สำหรับซินเยว่ที่ไม่รู้เรื่องนั้นนางย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว
หนังสือสมุนไพรและวิธีปรุงยาหลอมโอสถ เป็นสินเดิมที่เซวี่ยฟังเฟยนำติดตัวมาด้วยแต่นางไม่เคยสนใจเปิดอ่านจึงเก็บไว้ในหีบเช่นนั้นจนกระทั่งซินเยว่ไปเปิดเจอเข้า นางจึงหยิบมาอ่านฆ่าเวลาช่วงรักษาตัว มียาบางตัวที่ซินเยว่ลองปรุงขึ้นมาเช่น โอสถสลายปราณชั่วคราวและยาถ่ายชนิดรุนแรงแต่ไร้สีไร้กลิ่นไม่สามารถตรวจสอบได้
ซินเยว่กลับมาในยามในยามเฉิน (07.00-08.59) เมื่อเซวี่ยฟังเฟยและฮุ่ยหลิงเห็นนางกลับมาก็รีบลุกเข้ามาดูว่านางได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ซินเยว่ยื่นห่อผ้าชุดสำเร็จรูปที่ซื้อมาให้ฮุ่ยหลิงกับเซวี่ยฟังเฟยคนละสองชุดแล้วหยิบเอาซาลาเปาออกมาจากถุงย่ามยื่นให้เซวี่ยฟังเฟย
"ท่านแม่กับฮุ่ยหลิงทานซาลาเปานี่รองท้องไปก่อนนะเจ้าคะ"
เซวี่ยฟังเฟยมองสิ่งของที่อยู่ในมือตน
"แล้วลูกล่ะกินหรือยัง"
เซวี่ยฟังเฟยถามซินเยว่
"ข้าทานเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ทานเถอะยังร้อนๆ เดียวข้าจะออกไปดูแถวนี้อีกเดี๋ยวข้ากลับมา"
"ลูกน่าจะนอนพักสักหน่อยนะเยว่เอ๋อ"
เซวี่ยฟังเฟยมองซินเยว่ด้วยสายตาเป็นห่วง
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะลูกอยากเดินดูแถวนี้เผื่อได้ของกินเดี๋ยวค่อยกลับมานอน"
พูดจบซินเยว่ก็เดินหายเข้าไปในป่า
"เยว่เอ๋อของเเม่เปลี่ยนไป มากจริงๆ"
นางพึมพำเบาๆ เซวี่ยฟังเฟยรู้สึกว่าบุตรสาวของนางเปลี่ยนไปจากที่เป็นคนเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ใบหน้าเศร้าสร้อยอยู่ตลอดเวลาคิดสิ่งใดก็ไม่เคยพูดออกมา ตอนนี้เยว่เอ๋อร่าเริงช่างพูดกว่าแต่ก่อนแถมยังดูพึ่งพาได้อีกด้วย
"ฮูหยินบ่าวว่าเราไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดดีหรือไม่เมื่อถึงตอนนั้นคุณหนูอาจจะกลับมาแล้ว"
"อืม"
เซวี่ยฟังเฟยพยักหน้าตอบรับฮุ่ยหลิง
จวนแม่ทัพหยาง ปลายยามเฉิน (7.00-9.00) หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เจ้านายในจวนล้วนมีอาการท้องเสียแย่งกันวิ่งเข้าห้องปลดทุกข์ไม่เว้นแม้แต่บ่าวไพร่ กลายเป็นเรื่องโจษจันไปทั่วเมืองหลวง เรื่องนี้คงเป็นเรื่องให้ผู้คนในเมืองหลวงพูดถึงไปพักใหญ่โดยที่ตัวการอย่างซินเยว่ไม่ได้รับรู้เลย อีกทั้งเรื่องที่คนในตระกูลหยางไม่สามารถใช้พลังปราณได้ถูกปิดเป็นความลับบ่าวคนใหนกล้าเเพร่งพรายออกไปจะถูกโบยจนตาย
ซินเยว่กลับมาที่ถ้ำพร้อมด้วยไก่ฟ้าขนม่วงสองตัวที่ถอนขนทำความสะอาดเรียบร้อยพร้อมกับกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำสะอาดไว้ดื่มสองกระบอก
ซินเยว่นั่งย่างไก่จนสุกแล้วเซวี่ยฟังเฟยกับฮุ่ยหลิงถึงเดินกลับมาจากน้ำตก ทั้งสองได้เปลี่ยนชุดเรียบร้อยเป็นชุดสีฟ้าและสีเขียวใบไผ่เนื้อผ้าธรรมดาแบบที่ชาวบ้านทั่วไปใส่กัน
"ท่านแม่นี่คือตั๋วเงินส่วนที่เหลือ"
ซินเยว่ยื่นตั๋วเงินสี่ร้อยตำลึงให้เซวี่ยฟังเฟย
"ลูกเอาเงินมาจากที่ไหนมากมายขนาดนี้เยว่เอ๋อ"
"เป็นเงินที่ข้ายืมมาจากสหายเก่าท่านแม่อย่าสนใจไปเลยเจ้าค่ะท่านเก็บเอาไว้เรายังต้องเดินทางอีกไกล"
เซวี่ยฟังเฟยยื่นมือรับตั๋วเงินอย่างระมัดระวังระวังแล้วพับเก็บไว้ในอกเสื้อ
"ไก่ย่างสุกแล้วท่านแม่ทานเพิ่มอีกสักหน่อยข้าขอตัวไปนอนสักงีบ ถึงยามเว่ย (13.00-14.59) ท่านแม่ช่วยปลุกข้าด้วยนะเจ้าคะ"
พูดจบซินเยว่ก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับไปทันที
เสียงสายลมหวีดหวิวดังแทรกเข้ามาในโสต ความรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณใบหน้าทำให้ซินเยว่ย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
"ทำไมร้อนอย่างนี้เนี่ย"
นางพึมพำเบาๆ แต่ก็ยังไม่ได้ลืมตา รู้สึกเหมือนมีบางอย่างสัมผัสที่ใบหน้านางรำคาญจึงนอนตะแคงหันหลังให้สิ่งนั้น ซินเยว่รู้สึกว่าใบหูของนางเปียกชื้นทำให้นางค่อยๆ ลืมตาลุกขึ้นนั่ง
เพราะความเจิดจ้าของแสงไม่อาจทำให้นางลืมตาได้เต็มที่จึงต้องยกมือขึ้นบังแสงนั้นเพื่อปรับสายตา เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวชัดเจนนั่นยิ่งทำให้ซินเยว่รู้สึกงงงัน
นางหันซ้ายหันขวาเมื่อรู้ว่าว่าตนไม่ได้นอนอยู่ในถ้ำจึงเกิดความรู้กังวลขึ้นมาในใจเพราะกลัวว่าเซวี่ยฟังเฟยและฮุ่ยหลิงจะได้รับอันตราย
"ท่านแม่!!! ฮุ่ยหลิง!!!! พวกท่านอยู่ไหน"
ซินเยว่ป้องปากตะโกนหาทั้งสองด้วยความร้อนใจ
ความรู้สึกหยุ่นๆ ดันที่ปลายเท้าทำให้ซินเยว่ก้มลงมองด้านล่างปรากฏว่ามีก้อนขนสีดำ เล็กเท่ากำปั้นเด็กกำลังดุนดันอยู่ที่ปลายเท้าของนาง
"ตัวอะไรเนี่ย"
ซินเยว่ใช้เท้าเขี่ยๆ ดู
“ท่านแม่”
ซินเยว่หันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาต้นตอของเสียง
“ท่านแม่”
เสียงเรียกดังขึ้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้เสียงนั้นดังขึ้นในหัวของนาง ใช่มันดังในหัวของซินเยว่
"เจ้า......"
"เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่"
ซินเยว่ก้มลงจับเจ้าก้อนขนด้วยมือเดียวโดยใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบมันขึ้นมาดูเพื่อสำรวจ เจ้าก้อนขนสีดำส่งเสียง จิ๊ๆ จ๊ะๆ ใส่นางมันยื่นอุ้งเท้าทั้งสี่ข้างขึ้นกอบกุมมือของซินเยว่ใช้หัวน้อยๆ ถูไถนิ้วมือเรียว
ซินเยว่ยอมรับว่านางไม่ค่อยชอบสัตว์เล็กๆ สักเท่าไหร่แต่ทว่านี่ก็ยากจะทำเมินเฉยต่อความน่ารักของเจ้าตัวนี้ได้ นางหัวเราะแล้วส่ายหน้าอย่างจนใจ
"ช่างขี้อ้อนเสียจริง"
ซินเยว่วางเจ้าตัวน้อยลงแล้วมองสำรวจไปรอบๆ อีกครั้งอย่างระวัง
"ที่นี่แห้งแล้งจริงๆ ร้อนมากๆ ด้วย"
ตอนนี้นางรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ไม่ใกล้เคียงกับถ้ำในป่าที่นางอยู่ก่อนหน้านี้เลยสักนิด ซินยว่ถูกเจ้าก้อนขนตัวน้อยใช้อุ้งเท้าหน้าดึงปลายชุดเบาๆ นางจึงก้มลงมองมัน
"อะไรหรือเจ้าตัวน้อย เหตุใดดึงชุดของข้าเช่นนี่”
ซินเยว่มองท่าทางของมันด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าอยากให้ข้าตามเจ้าไปหรือ"
เจ้าก้อนขนพยักหน้าแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะวาดอุ้งเท้าไปมา
"ไปไหนหรือ"
เจ้าก้อนขนออกวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว แต่มันยังหันหลังกลับมามองซินเยว่แล้วส่งสายตาว่าให้รีบตามมา
"รอข้าด้วย"
ซินเยว่วิ่งตามมันไป
“ตัวก็เล็กแค่นี้ทำไมวิ่งเร็วนักนะ”
ราวหนึ่งเค่อ (15นาที) ซินเยว่และเจ้าก้อนขนก็มายืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งจะเรียกว่าบ้านก็ไม่ถูกซะทีเดียวน่าจะเรียกว่ากระท่อมซะมากกว่า