ตอนที่ 3 ทายปริศนาอักษรโคมไฟ
อวิ๋นจื่อเหยาคำนวนเงินสองร้อยตำลึงแล้วภายในใจก็เบิกบาน ร่างบางก้าวขาเดินเข้าไปใกล้ร้านขายโคมไฟพร้อมกับพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ ข้าจะอธิบายคำตอบของปัญหาทั้งสามข้อให้พวกเจ้าฟัง ฟังให้ดีหล่ะ"
“โอ้..นี่นางจะสามารถทายปัญหาได้จริงๆหรือ?” คนที่ยืนดูอยู่ด้านข้างต่างก็หันไปพูดคุย
"แต่ขนาดอัจฉริยะอย่างคุณหนูไป๋ยังทายไม่ได้แล้วนางเป็นเพียงบุตรีอดีตท่านแม่ทัพจะทายได้หรือ?"
"ก็ไม่แน่ ไม่ใช่ว่าไม่มีบิดาแล้วนางจะไม่ได้ร่ำเรียนเสียเมื่อไหร่ เจ้าไม่รู้หรือว่านางเป็นที่โปรดปรานของไท่ซางหวง" ฮูหยินผู้หนึ่งเอ่ยกระซิบเบาๆ
"ข้าก็เคยได้ยิน แต่คิดว่าเป็นเพียงข่าวลือ"
"ข่าวลืออะไรกันปีนี้นางอายุสิบหกปีแล้วกระมังคงอีกไม่กี่วันอ๋องสามคงจะส่งคนมาทำพิธีส่งชาแล้ว(แม่สื่อนำชามาส่งเพื่อทำการสู่ขอหรือส่งสินสอด)"
"แต่อ๋องสามพิการแถมใบหน้าก็เละเทะอัปลักษณ์น่าเกลียดมากเลยนะ!"
"ใช่ๆ เวลานี้เป็นเพียงอ๋องไร้ค่าคนหนึ่งที่ไม่มีความสามารถอะไรเท่านั้น ไม่แน่ว่านางแต่งเข้าไปอาจไม่ถึงปีก็คงจะเป็นหม้าย!"
"ชู่ว..เบาๆสิเจ้าอยากหัวขาดหรืออย่างไร?" เสียงซุบซิบของผู้คนเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ อวิ๋นจื่อเหยาที่กำลังจะทายคำปริศนาได้ยินคำพูดเหล่านี้นางก็ถึงกับขมวดคิ้ว
หญิงสาวหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองยังกลุ่มคนที่พูดคุยกันเมื่อสักครู่แล้วถาม "เจ้าว่าใครพิการหน้าตาอัปลักษณ์?แล้วยังไร้ประโยชน์?"
ทันทีที่อวิ๋นจื่อเหยาเอ่ยถาม คนเหล่านั้นก็ก้มหน้าลงไม่ตอบคำถามนาง อวิ๋นจื่อเหยาขมวดคิ้ว มาอยู่ในร่างนี้สิบวันไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังจะแต่งงาน
ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ คนคนหนึ่งที่เศร้าเสียใจกับความพิการแล้วยังจะต้องมาแบกรับคำพูดแย่ๆจากคนเหล่านี้อีกมันใช่หรือ?
ในฐานะที่นางเป็นหมอและมาจากทศวรรษที่ยี่สิบสองและรังเกียจการบูลลี่เช่นนี้เป็นที่สุดแล้วย่อมที่จะทนฟังอีกต่อไปไม่ไหว
"ทำไมหล่ะ พอข้าถามก็จะไม่พูดแล้ว? คิดกลัวขึ้นมาแล้วหรือ? "ในตอนที่ได้ยินคนเหล่านี้พูดถึงการแต่งงาน นางก็พยายามค้นหาความทรงจำของเจ้าของร่างเกี่ยวกับคู่หมั้นของตน
อ๋องสามหรือเซียวรั่วเฟิงปีนี้อายุยี่สิบสี่ปีเป็นโอรสองค์ที่สามของอดีตฮ่องเต้กับไท่เฟยและเป็นอนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
เมื่อหลายปีก่อนบิดาของเจ้าของร่างนี้แม่ทัพอวิ๋นออกปราบกบฏเคียงข้างอดีตฮ่องเต้และรับดาบแทนพระองค์จนตนเองเสียชีวิต หลังจากนั้นมาอดีตฮ่องเต้เพื่อทดแทนบุญคุณจึงออกราชโองการหมั้นหมายให้อ๋องสามเซียวรั่วเฟิงที่มีความสามารถโดดเด่นในตอนนั้นกับบุตรีแม่ทัพอวิ๋น อวิ๋นจื่อเหยา
และงานอภิเษกจะถูกจัดขึ้นเมื่ออวิ๋นจื่อเหยาอายุครบสิบหกปี แต่ใครจะคิดเมื่อสองปีก่อนอ๋องสามที่เป็นแม่ทัพประจำอยู่ชายแดนกลับถูกทหารข้างกายลอบวางยาพิษทำลายเส้นเอ็นและใบหน้าจนกลายเป็นคนพิการเสียโฉมไป
อวิ๋นจื่อเหยามองดูคนเหล่านั้นด้วยสายตาที่เย็นชา นางกัดฟันแล้วพูด "พวกเจ้าควรจะสำนึกบุญคุณของท่านอ๋องที่ปกป้องชายแดนให้พวกเจ้ากินอิ่มนอนหลับ และเห็นอกเข้าใจเมื่อท่านอ๋องเกิดเรื่องไม่ใช่จะมาพูดว่ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์อะไรเช่นนี้"
"อ่าคุณหนูท่านนี้ ท่านจะทายปริศนาอักษรไม่ใช่หรือ อย่ามาเปลี่ยนเรื่องสิ!"
"ใช่ๆ จะทายปริศนาก็ทายมาสิ จะเปลี่ยนเรื่องทำไมกันหรือทายไม่ได้?"
"สงสัยจะทายไม่ได้ข้าว่านางแค่พยายามหนีเลยเปลี่ยนเรื่อง"
อวิ๋นจื่อเหยากัดฟัน พยายามสงบสติอารมณ์ ไป๋ชิงหลางที่ยืนอยู่เงียบๆอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นคนเหล่านั้นโจมตีอวิ๋นจื่อเหยาพลันก็อารมณ์ดีขึ้นมา
เมื่อสิบปีก่อนนางได้พบอ๋องสามเซียวรั่วเฟิงเป็นครั้งแรก นางเกิดความรู้สึกประทับใจกับท่าทางที่สูงส่ง รูปร่างที่สง่างามใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาจนตั้งมั่นว่าจะสมรสกับเขาให้ได้
แต่ครั้นได้ยินพระราชโองการหมั้นหมายของพระองค์กับบุตรีแม่ทัพที่ตายไปแล้วอย่างอวิ๋นจื่อเหยานางก็รู้สึกผิดหวังและมีความเกลียดชัง
ต่อมาอ๋องสามถูกพิษและพิการนางก็ไม่คิดรังเกียจความตั้งใจเดิมของนางก็ยังอยู่เมื่อสักครู่คนเหล่านั้นพูดถึงเขาเช่นนั้นนางเองก็ไม่พอใจ
ยิ่งเห็นอวิ๋นจื่อเหยาออกมาปกป้องเขาเช่นนี้ในใจของนางจึงเกิดความขุ่นเคือง
ถังหลงยืนกำกระบี่ในมือแน่นจนเห็นข้อต่อภายในใจของเขากำลังเดือดดาลอยากจะตวัดกระบี่นั้นหั่นคอคนพวกนี้ทิ้งเสีย
แต่พลันมองขึ้นไปยังชั้นสามผู้เป็นนายของตนกลับอยู่ในท่าทีที่เฉยชาไม่แยแสเขานั้นจึงไม่สามารถทำอะไรได้เลย
แต่หลังจากได้ยินคุณหนูอวิ๋นพูดปกป้องผู้เป็นนายของตนขึ้นภายในใจที่กรุ่นโกรธก็เบาบางลง
ที่ชั้นสามเซียวรั่วเฟิงไม่พูดอะไรเขาเพียงยกสุราในจอกขึ้นมาจิบอย่างไม่แยแสในคำพูดเหล่านั้น แต่เป็นหยวนติ้งโหว โหวน้อยหยวนอี้เจ๋อที่รวบพัดเสียงดังพรึ่บแล้วลุกขึ้นอย่างไม่พึงพอใจ
"เจ้าจะโมโหไปทำไมในเมื่อมันคือเรื่องจริง" เซียวรั่วเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"แต่ว่า..." โหวน้อยหยวนกำลังจะโต้แย้งเห็นสหายที่เติบโตมาด้วยกันไม่พูดอะไรเขาก็ทิ้งตัวลงอย่างหงุดหงิด
ที่ด้านล่าง อวิ๋นจื่อเหยาหลับตาลงเพื่อสงบสติอารมณ์ ตัวนางเองเป็นคนอ่อนไหวกับคำพูดเช่นนี้จึงเลือกไปอยู่ห้องวิจัยไม่มานั่งรักษาคน
ราวสิบอึดใจไป๋ชิงหลางก็ถอนหายใจแล้วส่ายหน้า "คุณหนูอวิ๋นหากเจ้าไม่สามารถทายปัญหาปริศนาโคมไฟนี้ได้ ในภายภาค...."
"ข้อที่หนึ่ง หน้าปริศนามิมีหนึ่งคำ เช่นนั้นก็ไม่ใช่กระดาษขาวหนึ่งแผ่นหรือ กระดาษขาวนี้เรียกอีกอย่างว่าไป๋จื่อ สิ่งของที่ว่าก็คือสมุนไพรชนิดหนึ่ง คำตอบข้อที่หนึ่งก็คือ ไป๋จื่อ"
ไม่รอให้ไป๋ชิงหลางพูดจบอวิ๋นจื่อเหยาก็พูดคำตอบข้อที่หนึ่งออกมา
หลังจากที่ได้ยินคำตอบข้อที่หนึ่งผู้คนรอบๆต่างก็ตื่นตะลึง
"ไป๋จื่อหรือ?"
"โอ้..ใช่แล้วคำตอบข้อที่หนึ่งคือไป๋จื่อนี่เอง"
"ฮ่าๆแม่นางท่านนี้เก่งจริงๆด้วย.."
ชายชราที่ยืนอยู่หน้าร้านขายโคมไฟเองก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ "เชิญแม่นางต่อข้อที่สองได้เลย"
ไป๋ชิงหลางกระพริบตาด้วยความตกตะลึง จะเป็นไปได้อย่างไร นางแก้ปริศนานี้ไม่ออกได้อย่างไรกันเช่นนั้นข้อต่อไปหล่ะ?
"ข้อที่สอง คนในคันฉ่องให้ทายหนึ่งคำ คนในคันฉ่อง คำว่าเข้าใช้อักษรเดียวกันกับคำว่าเข้าออก ดังนั้นเมื่ออักษรคำว่าเข้าเมื่ออยู่ในคันฉ่องก็คืออักษรคำว่าคนไม่ใช่หรือ คำตอบของข้อนี้ก็คือ คน"
"อ่า..คำตอบก็อยู่ในคำถามนี่เอง"
"จริงด้วย คุณหนูท่านนี้เก่งจริงๆด้วย"
"นางเป็นบุตรีอดีตแม่ทัพอวิ๋น" ฮูหยินอีกคนพูดขึ้น
"จริงหรือ? ดีดี"
ไป๋ชิงหลางกำมือแน่น เหตุใดนางถึงคิดคำตอบไม่ออกนะเป็นเพราะนางไม่มีสมาธิแน่นอนไม่เช่นนั้นคำถามง่ายๆที่เพียงอดีตบุตรสามแม่ทัพคนหนึ่งจะตอบได้อย่างไรกัน
...