บบที่ 7
เมื่อหวนคิดไปถึงความหลัง เขาก็ยังได้ยินเสียงท่านพ่อที่ดังสนั่นสะท้อนก้องอยู่ในห้องโถงทางเดินขึ้นไปถึงเพดานของห้องต่างๆ ในปราสาท
เมื่อใดก็ตาม ที่ท่านดยุคพิโรธโกรธเกรี้ยวขึ้นมาเมื่อนั้นราวปราสาททั้งหลังจะสะท้านไหวด้วยแรงแห่งพายุร้ายยิ่งเจริญวัยขึ้น เขาก็ยิ่งเห็นท่านแม่ที่ตกอยู่ในสภาพอกสันขวัญหาย ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใบหน้าเซียวซีดแววในดวงตาหม่นหมอง ใต้ขอบตาดูจะคล้ำหนักขึ้นทุกวันเขารู้ว่าท่านแม่เป็นบุคคลที่มีจิตใจเข้มแข็งตามแบบของท่านแต่ธรรมชาติของความเป็นผู้หญิงอารมณ์ของท่านย่อมจะต้องอ่อนไหวอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
มันเป็นไปไม่ได้ที่สุภาพสตรีอย่างท่าน จะต้องอดทนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบุรุษ ผู้ซึ่งมองเห็นแต่ความสำคัญของตนเอง ไม่เพียงแต่จะบำเพ็ญตนประหนึ่งพระราชาเท่านั้นแต่ยังแสดงออกถึงความเป็นเผด็จการอีกด้วย
เมื่อ ลอร์ด อลิสเตอร์ เจริญวัยขึ้นเป็นหนุ่มใหญ่และครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็บังเกิดความรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของท่านแม่ที่ตัดใจจากท่านพ่อมาเสียได้ แม้ว่าในตอนที่หลบหนีมานั้น ท่านกลัวแทบจะขาดใจ ว่าอาจถูกตามจับได้และถูกนำตัวกลับไปคุมขังอยู่ในปราสาทหลังเดิมนั้นอีกก็ตาม
แต่เพราะความทระนงในศักดิ์ศรีของตนเอง ทำให้ท่านดยุคไม่ยอมติดตามเอาตัวเธอกลับไป เมื่อถึงตอนเช้าที่เขาได้รับทราบว่า บัดนี้ ดัชเชสได้หลบหนีออกจากปราสาทโดยเอาอลิสแตร์ ลูกชายคนเล็กไปด้วยนั้น สิ่งที่ท่านดยุคทำก็เพียงแค่สั่งห้ามไม่ให้ใครทุกคนในปราสาทพูดถึงดัชเชสอีก ทั้งชื่อของเธอก็จะต้องไม่หลุดออกจากปากของผู้ใดด้วย
จนกระทั่ง ถึงวาระที่ดัชเชสถึงแก่กรรมลง ท่านดยุคจึงได้แสดงอำนาจออกมาอีกครั้ง ด้วยการยืนยันว่า ในฐานะที่เธอเป็นดัชเชสแห่งสตราธโดนอน ร่างของเธอจะต้องถูกนำกลับไปยังสก็อตแลนด์ และฝังรวมกับดัชเชสคนอื่นๆในสุสานประจำตระกูล
สุสานประจำตระกูลแห่งนั้นอยู่ใกล้กับตัวปราสาทแวดล้อมด้วยแมกไม้และกำแพงสูง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดผ่านเข้าไปรบกวน แม้ว่าผู้ที่พำนักอยู่ในสุสานแห่งนั้นล้วนแค่ตายแล้วก็ตาม
ตอนที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของแคว้นเดินทางมารับศพดัชเชสนั้น ลอร์ด อลิสเตอร์ ปฏิเสธ ไม่ยอมพบหน้าใครแม้แต่คนเดียว...!
ทั้งนี้เพราะ เขามีความรู้สึกว่า ท่านพ่อช่างไม่มีความยุติธรรมเสียเลย ท่านสามารถจะเรียกสิ่งที่เคยเป็นสมบัติของท่านคืนได้ แม้จะเป็นเพียงร่างของสตรีสูงศักดิ์ผู้เคยเป็นภรรยาของท่านก็ตาม
ในยามนั้น เขาพอใจกับการที่จะไว้อาลัยให้กับท่านแม่เงียบๆ เพียงลำพัง และเต็มใจที่จะไปร่วมในพิธีสวดเพื่อดวงวิญญาณของท่านแม่ในโบสถ์ประจำตระกูลฮาร์โลว์มากกว่า
เมื่อเขาเลี้ยวจากถนนพิคคาดิลลี่เข้าสู่ถนนเซ้นท์เจมส์’ส นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นอาคารไว้ท์’ส คลับ ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า มันทำให้เขาต้องยอมรับกับตนเองว่า นั่นคือสถานที่ที่เขาจะต้องคิดถึงมากที่สุดเมื่อจะขึ้นเหนือไปในครั้งนี้
เพราะที่นี่คือสโมสรที่หรูเลิศที่สุดในลอนดอน ณ ที่นี้ที่เขาได้พบปะกับเพื่อนฝูงได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน
ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นในห้องกาแฟ ก็ได้ยินเสียงทักทายจากเพื่อนพ้องผู้มีรสนิยมเดียวกัน ลอร์ด อลิสแตร์ ทรุดตัวลงนั่งข้างลอร์ด วอร์เชสเตอร์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเอ่ยถามเขาขึ้นว่า
“เป็นยังไงบ้าง อลิสแตร์ หลังจากเมื่อคืนนี้แล้วสำหรับผมน่ะคอแห้งผากอย่างกับกรงนกแก้วเลยเชียวละเห็นจะต้องเป็นครั้งสุดท้ายเสียที่จะดื่มหนักขนาดนี้...!”
“เรามันก็ไม่เข้าท่าด้วยกันทั้งคู่แหละ...” ลอร์ด อลิสแตร์ บอก “แต่ผู้หญิงในสถานที่ราคาแพงลิบลิ่วขนาดนั้นมันก็เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องเสิร์ฟไวน์ชั้นหนึ่งให้เราอยู่แล้ว”
“เขาคงจะคิดว่าตอนนั้น ไม่ว่าจะเอาอะไรมาให้เราก็ไม่คิดจะเกี่ยงอยู่แล้วละมัง...” ลอร์ด วอร์เชสเตอร์แสดงความเห็น “ว่าแต่วันนี้คุณจะกินอะไรล่ะ?”
บริกรเข้ามารับคำสั่ง และลอร์ด อลิสแตร์ ที่ทอดร่างอยู่ในเก้าอี้นวมแสนสบายก็บอกกับตัวเองอยู่ว่า เขาจะต้องจดจำทุกบรรยากาศภายในห้องนี้ รวมทั้งใบหน้าของมวลสมาชิกที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้รู้จักมักคุ้นไว้ในความทรงจำเพื่อที่ว่าเมื่อต้องถูกเนรเทศให้กลับไปอยู่ในปราสาททึบทะมึนแห่งนั้น จะได้มีอะไรเหลือไว้ในความทรงจำตลอดไป
ความคิดของเขาวนเวียนอยู่แต่เรื่องนี้ตลอดเวลาที่ร่วมรับประทานอาหารอยู่กับลอร์ด วอร์เชสเตอร์ ภายในห้องรับประทานอาหารของสโมสรที่ได้รับการตกแต่งไว้สวยหรู
หลังจากนั้น แม้จะยังไม่ถึงเวลาที่โอลีฟได้นัดหมายให้เขาไปพบ และพอดีกับที่ลอร์ด วอร์เชสเตอร์ มีนัดสำคัญกับแฮเรียต วิลสัน ทนายความผู้มีชื่อเสียง ดังนั้น ลอร์ด อลิสแตร์ จึงขอให้เขาช่วยส่งลงที่ปาร์ค สตรีท
ตลอดเวลาสองชั่วโมงที่ผ่านมา ลอร์ด อลิสแตร์ เต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวายอย่างที่สุด ใคร่ที่จะได้พบกับโอลีฟ เพื่อที่จะขอให้เธอตอบตกลงแต่งงานกับเขาเสียในทันที
เขาออกจะมั่นใจว่า เมื่อบัดนั้น เขามีบรรดาศักดิ์ที่จะนำมาใช้เป็นข้อเสนอ อีกประการหนึ่ง ก็เห็นกันอยู่ว่าเธอรักเขามากมายเพียงไร ความรักที่เธอมอบให้แก่เขานั้นจะสามารถขจัดปัญหาอันเป็นอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงลงได้แน่นอนที่สุดที่เธอจะต้องเต็มใจติดตามเขาไปอยู่สก็อตแลนด์ด้วยกัน...
เธอคงไม่อาจติดตามเขาไปในวันพรุ่งนี้ได้ เขาจะให้เวลาเธอสักสองสามวันเพื่อการเตรียมตัว นอกจากนั้น เขายังจะต้องทำให้เธอเข้าใจว่า เพราะเขารักเธอจึงยอมที่จะปฏิเสธแผนการในอนาคตที่ท่านพ่อวางไว้ให้ล่วงหน้าแล้ว
“ซึ่งท่านพ่อก็จะมาตำหนิเราไม่ได้ที่รีบร้อนแต่งงานอย่างนี้” ลอร์ด อลิสแตร์ คิดอย่างเข้าข้างตัวเอง “และมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะทำให้ท่านพ่อเชื่อว่า การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่เราจะรู้ข่าวการเสียชีวิตของพี่ชายทั้งสองคนด้วย”
เขารู้ดีว่า...การตัดสินใจครั้งนี้ เขาจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยโอลีฟอย่างมาก...
ประการสำคัญยิ่งกว่าอื่นใดก็คือ ขณะนี้ เขากำลังอยู่ในระหว่างการไว้ทุกข์เขาย่อมไม่อาจประกอบพิธีแต่งงานกับหล่อนที่วิหารเซ้นท์ ยอร์จ’ส ซึ่งตั้งอยู่ที่ฮาโนเวอร์ สแคร์อันเป็นความปรารถนาสูงสุดของหล่อนได้
โอลีฟเคยบอกกับเขาว่า ในการแต่งงานครั้งใหม่ของหล่อนนี้ หล่อนหวังอย่างยิ่งว่า ในงานเลี้ยงรับรองภายหลังพิธี จะมีพรินซ์ ออฟ เวลส์ มาร่วมแสดงความยินดีด้วย
แม้หล่อนจะได้ชื่อว่าเป็นแม่ม่ายสามีตาย ไม่อาจใช้ชุดวิวาห์สีขาวได้อีก กระนั้น ลอร์ด อลิสแตร์ ก็เชื่อมั่นว่าหล่อนจะต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดได้เช่นที่เคยเป็นมาแล้ว
และกับความจริงที่ว่า หล่อนได้เข้าพิธีแต่งงานกับบุรุษผู้กำลังจะได้เป็นดยุคต่อไปในอนาคต ย่อมหมายถึงว่าหล่อนย่อมจะมีสิทธิ์จะได้รับการยอมรับจากทุกคนในแวดวงสังคมชั้นสูง
สำหรับตัวเขานั้น ไม่เพียงแต่จะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเท่านั้น ทว่า...เขายังจะได้แต่งงานกับหล่อนผู้ซึ่ง เฝ้าย้ำกับเขาอยู่ค่ำแล้วคืนเล่า ว่าหล่อนรักจนหมดหัวใจ เขาเป็นผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่เหนือชายใดที่หล่อนเคยผ่านพบมาในชีวิตนี้
เพราะฉะนั้น มันย่อมไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดเลย...ลอร์ด อลิสแตร์ ครุ่นคิดในใจ ที่บุคคลผู้เหมาะสมกันอย่างที่สุดเช่นตัวเขากับหล่อนจะแต่งงานกันเสียทีภายหลังจากที่มีสัมพันธ์สวาทแรงร้อนมาเป็นเวลานานพอสมควร ลอร์ด อลิสแตร์ ยอมรับกับตนเองว่า รสสวาทที่หล่อนมอบให้แก่เขานั้น เหนือกว่าหญิงใดที่เขาเคยร่วมรักด้วยหลายเท่านัก
อย่างไรก็ตาม ในความคิดของเขาขณะนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องแต่งงานแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะมันยังมีอะไรบางอย่างที่แฝงลึกอยู่ในจิตใจ เป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจปลอดโปร่งโล่งใจได้เลย และเมื่อค้นหาสาเหตุแห่งความไม่สบายใจนั้น เขาก็ออกจะตกใจอยู่เมื่อพบว่าเขาไม่อาจมั่นใจได้เลย ว่าผู้หญิงอย่างโอลีฟจะซื่อสัตย์อยู่แต่กับเขาเพียงผู้เดียว
ทั้งนี้เพราะ มีผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมากมายหลายคนที่เต็มใจพร้อมจะร่วมรักกับเขา ลอร์ด อลิสแตร์ ไม่เคยคิดจะเชื่อเลยว่า ผู้หญิงสวยๆ คนไหนจะสามารถถอดทนอยู่กับผู้ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีแต่เพียงผู้เดียวได้
แต่พอมาถึงโอลีฟที่เขาคิดจะแต่งงานกับหล่อนอย่างจริงจังปรากฏว่าเขขากลับอยากให้หล่อนบำเพ็ญตนเป็นภรรยาผู้ซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว...!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มหยันก็จุดขึ้นตรงมุมปากของลอร์ด อลิสแตร์ เพราะเขารู้อยู่ว่า...มันออกจะเป็นการขอที่มากจนเกินไปเสียแล้ว
ก็เห็นจะมีแต่ผู้หญิงหน้าตาพอดูได้อย่างเลดี้ โมเรกที่เขาจะต้องแต่งงานด้วยนี่เท่านั้น ที่จะดำรงความซื่อสัตย์ต่อสามีเพียงหนึ่งเดียว จนกว่าความตายจะมาพรากให้จากกัน...
ในขณะที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดอย่างหนักนั้นเองที่เขามาถึงบ้านของโอลีฟอย่างไม่ทันรู้ตัว...
ทันทีที่เขายกมือขึ้นเคาะประตู มันก็เปิดออกโดยคนรับใช้ที่ยืนรอหน้าที่อยู่ตรงนั้น ลอร์ด อลิสแตร์ ก้าวเข้าไปในบ้าน และหัวหน้าคนรับใช้ก็รีบวิ่งออกมาต้อนรับ
“นายหญิงของเจ้าอยู่หรือเปล่า เบทสัน...?”
“ท่านยังไม่กลับเลยขอรับ ใต้เท้า แต่เท่าที่กระผมทราบ คุณหญิงได้นัดหมายใต้เท้าไว้ตอนสี่โมงเย็นไม่ใช่หรือขอรับ?”
“ฉันมาก่อนเวลาเอง”
ท่าทางของหัวคนรับใช้บอกความลังเลก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“คือว่า...ขณะนี้ มีคุณผู้หญิงอีกท่านหนึ่งมาขอพบคุณหญิงด้วยเช่นกัน และตอนนี้ ก็กำลังรอท่านอยู่ในห้องรับแขกขอรับ ที่จริงเธอไม่ได้นัดหมายมาก่อน เพราะฉะนั้นคุณหญิงคงต้อนรับคุณผู้หญิงคนนั้นเพียงแค่ครู่สั้นๆ เท่านั้นละขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้น... ฉันจะเข้าไปรออยู่ในห้องเล่นไพ่ ก็แล้วกัน” ลอร์ด อลิสแตร์ บอก
“ขอรับ ใต้เท้า” หัวหน้าคนรับใช้ตอบก่อนจะออกเดินนำไปทางนั้น “เดี๋ยวกระผมจะเอาหนังสือพิมพ์มาให้ใต้เท้าอ่านฆ่าเวลาก่อนก็แล้วกันนะขอรับ”
“ขอบใจมาก เบทสัน”