บทที่ 6
บรรยากาศดูอึ้มครึมอยู่อีกนานมาก และราวกับเขาเพิ่งคิดได้ว่า ความเงียบที่ผสมอยู่ด้วยบรรยากาศตึงเครียดนี้ มันเหลือจะทนต่อไปได้อีกแล้ว มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความร้อนใจว่า
“ใต้เท้าขอรับ กระผมหวังว่าใต้เท้าจะอนุญาตให้กระผมไปได้แล้วนะขอรับ เพราะกระผมยังมีนัดหมายต่างๆรวมทั้งงานที่ท่านพ่อของใต้เท้าสั่งการไว้อีกหลายอย่าง ขอรับ”
เมื่อเห็นลอร์ด อลิสแตร์ ไม่ตอบ มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ก็กล่าวต่ออีกว่า
“กระผมต้องการยืนยันเพื่อความแน่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีเรือที่ออกจากทิลเบอรี่แต่เช้าตรู่ เพื่อที่เราจะเดินทางไปอเบอดีนซึ่งเรือยอร์ทช์ของท่านพ่อใต้เท้ารอเราอยู่ที่นั่นขอรับ”
แต่ลอร์ด อลิสแตร์ ก็ยังคงเงียบงันอยู่เหมือนเดิมสีหน้าที่บ่งบอกถึงการหมกมุ่นครุ่นคิดอย่างหนักในยามนี้เหลือที่จะอ่านได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์จึงทำได้เพียงแค่โค้งคำนับและรีบรุดออกจากห้อง
จนเมื่อทนายความของท่านดยุคกลับไปแล้ว ลอร์ด อลิสแตร์ จึงได้รู้สึก ว่าตัวเองกำมือไว้แน่นเพื่อควบคุมสติอารมณ์ไว้มั่น
บัดนี้ เขากำลังถามตัวเองอย่างคั่งแค้นอยู่ว่าเขาจะอดทนต่ออนาคตที่ท่านพ่อกำหนดไว้ให้ต่อไปได้อย่างไร...?
มันเป็นความยุ่งยากลำบากใจมากจนเกินพออยู่แล้วสำหรับการที่จะต้องยอมรับตำแหน่งบุตรชายคนโตของท่านพ่อ ซึ่งจะต้องดำรงตำแหน่งผู้ครองแคว้นหรือหัวหน้าเผ่าสืบทอดจากท่าน แต่นี่เขายังจะต้องแต่งงานกับหญิงสาวชาวสก็อตต์ที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าค่าตามันออกจะเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีกันมากเกินไป ลอร์ด อลิสแตร์ กำลังรู้สึกอยู่ว่า ถ้าเรื่องมันจะต้องเป็นเช่นนี้ต่อไปแล้ว เขาเห็นจะยอมใช้ชีวิตอยู่กับความยากจนเสียยังจะสบายใจกว่า
อย่างไรก็ตามเขาออกจะแน่ใจว่ามิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ไม่ได้พูดเล่นเลย เมื่อบอกว่า ถ้าเขาปฏิเสธที่จะเดินทางกลับสู่สก็อตแลนด์แล้วละก้อ ท่านพ่อจะตัดขาดเขาทันที
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นย่อมมีความหมายว่า ทุกสิ่งที่เขากำลังจะมีโอกาสเป็นเจ้าของจะต้องหลุดลอยไป เหลือเพียงแค่เงินปีละไม่กี่ร้อยปอนด์ที่ท่านแม่ทิ้งเป็นมรดกไว้ให้ ก่อนที่ท่านจะอำลาจากโลกนี้ไป
เมื่อครั้งที่ท่านม่ำนักพักพิงอยู่กับท่านพ่อของเธอนั้น ท่านไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือเกื้อกูลเธอทุกอย่าง แต่ท่านยังรับภาระเกื้อกูลทางด้านการศึกษา ส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน จนกระทั่ง สำเร็จจากมหาวิทยาลัยด้วย
ดังนั้น... เงินค่าเลี้ยงดูที่ท่านพ่อส่งมาให้จากสก็อตแลนด์ จึงเหลือมากพอที่จะนำมาใช้จ่ายเป็นค่าเสื้อผ้าค่าใช้จ่ายในการจัดงานรับรองแขกเหรื่อในโอกาสต่างๆ และกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากับท่านแม่ต้องการมีไว้เพื่อบำรุงบำเรอความสุข
ตอนที่เขายังเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็ก ท่านแม่ได้พาเขาเดินทางท่องเที่ยวไปหลายประเทศ และเมื่อเขาโตเป็น หนุ่มก็ยังได้ท่องเที่ยวไปตามแคว้นต่างๆ ในยุโรป มีความสุขกับประสบการณ์หลากหลายที่ได้รับอย่างยิ่ง
ซึ่งการเดินทางนั้นจำเป็นจะต้องใช้เงินจำนวนมากแต่ที่สามารถเป็นไปได้ ก็เพราะทั้งท่านปู่และท่านตาของเขาล้วนแล้วแต่มีความเมตตาในตัวเขากับท่านแม่เป็นพิเศษด้วยกันทั้งคู่
กับความคิดที่ว่า เขาจะต้องดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไปโดยไม่มีม้า ไม่มีคฤหาสน์หลังงานพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นที่เขาอยู่อาศัยในเวลานี้ ไม่มีเงินทองที่จะจับจ่ายใช้สอยสบายมืออย่างที่เคยเป็นอยู่ เพียงแค่คิดเขาก็แทบจะทนไม่ได้อยู่แล้ว
ทว่า...มันยังจะมีเงินจำนวนใดอีกเล่าที่จะสามารถชดเชยกับการที่เขาจะต้องไปใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในปราสาทแห่งนั้น แถมยังจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่านอกจากหน้าตาจะไม่สะสวยชวนมองแล้ว ก็ยังมีเค้าว่าจะได้รับการศึกษาเพียงแค่อ่านออกเขียนได้เท่านั้น...!
พอคิดไปถึงสุภาพบุรุษทั้งหลายในแวดวงการเมืองและวงสังคมขั้นสูง ที่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลม คิดไปถึงสาวงามทั้งหลายที่เคยมีสัมพันธ์สวาทต่อกัน มันทำให้เขาถึงกับขนลุกอย่างช่วยไม่ได้
ทันใดนั้น...ราวกับเชือกช่วยชีวิตถูกมือของใครบางคนโยนลงมาตกลงตรงหน้า ความคิดอย่างหนึ่งได้ผ่านแวบเข้ามาในสมองของเขา...
มันเป็นความคิดที่ว่า ถ้าสมมุติว่า เขาแต่งงานเสียก่อนหน้าที่จะเดินทางไปสก็อตแลนด์ นั่นย่อมหมายความว่าเขาจะไม่ต้องถูกบังคับให้เป็นสามีของเลดี้ โมเรกแน่นอนทั้งท่านพ่อก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรเขาได้ด้วย...
แม้ว่ามันจะไม่ใช่คำตอบของปัญหาทั้งหมด แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยลดความน่าสยดสยองของสถานการณ์ลงได้ไม่น้อยเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนการอันน่ากลัวที่ท่านพ่อได้วางไว้ให้กับอนาคตของเขาเรียบร้อยแล้ว
รอยยิ้มอ่อนๆ ฉาบขึ้นบนริมฝีปากของลอร์ด อลิสแตร์เมื่อเขาคิดเลยไปถึงว่า เขาน่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้โอลีฟแต่งงานกับเขาได้ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าหล่อนจะต้องเต็มใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่า เขากำลังจะมีบรรดาศักดิ์เป็นมาควิส
ความคิดดังกล่าวทำให้เขาเกิดกำลังใจขึ้นอย่างมหาศาล ฝีเท้าของเขาเบาหวิวราวติดสปริงขณะเดินออกจากห้องรับประทานอาหารตรงไปยังห้องนอน ซึ่งในห้องนั้นแชมป์คินส์รอรับใช้อยู่แล้ว
เสื้อนอกหางเต่าตัวใหม่เพิ่งส่งมาจากชูลทช์ บรัมเมลช่างตัดเสื้อประจำตัว เป็นเสื้อตัวที่ตัดได้รูปทรงสง่างามมากแม้แต่แชมป์คินส์เองก็ยังเอ่ยปากชม
“ฝีมือของมิสเตอร์บรัมเมล ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ นะขอรับใต้เท้า เพียงแค่หันรูปร่างของใต้เท้าก็สามารถตัดเสื้อออกมาได้ขนาดนี้แล้ว”
“ฉันเชื่อว่าอย่างนั้น แชมป์คินส์ ” ลอร์ด อลิสแตร์สนองตอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะลึกลงไปในใจ เขารู้อยู่ว่าเสื้อตัวนี้มีราคาสูงลิบลิ่วเพียงไร และเมื่อมาถึงวันนี้ เขาก็เป็นหนี้ชูลทซ์อยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเลย
อีกครั้งหนึ่งที่มันตอกย้ำเข้าไปในสมองของเขาว่าในฐานะทายาทของท่านพ่อ เขาสามารถชดใช้หนี้สินทั้งหมดที่ก่อขึ้นไว้ได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเมื่อใดเขาคิดต่อต้านหรือปฏิเสธในความประสงค์ของท่านพ่อแล้วไม่ต้องสงสัยเลย ว่าเขาจะต้องถูกจับและถูกส่งตัวเข้าคุก ค่าที่ไม่มีเงินชำระหนี้สินดังกล่าว
“นี่ใต้เท้ากำลังจะออกไปข้างนอกหรือขอรับ...?” คนสนิทถาม
ลอร์ด อลิสแตร์ เพียงพยักหน้ารับ และแชมป์คินส์ก็ส่งหมวกทรงสูง ไม้เท้าหัวทองคำ รวมทั้งถุงมือมาให้
เขารู้ว่ากางเกงขาสามส่วนแบบเดียวกับกางเกงขี่ม้าที่เรียกว่าแพนทะลูน สีม่วงเข้ม รองเท้าหนังหัวแหลมขัดจนเป็นเงามันปลาบราวกระจกเงา หมวกทรงสูงกับปลายคางแหลมที่เชิดขึ้นอย่างไว้ตัวนั้น มันทำให้เขาดูสมาร์ทยิ่งนักขณะเดินออกจากคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่บนถนนสายที่มีชื่อว่า ฮาล์ฟ มูน สตรีท
เนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมาเขาไม่ได้สั่งรถม้าให้มารอรับ วันนี้เขาจึงไม่มีรถใช้
ดังนั้น ลอร์ด อลิสแตร์ จึงเดินเรื่อยๆ ไปทางพิคคาดิลลี่ มีความสุขอยู่กับการได้ออกมาเดินในท่ามกลางแสงตะวันและในท่ามกลางผู้คนที่นั่งรถม้าผ่านไปมาอยู่ใกล้ตัว เพราะภาพในจินตนาการของเขาเกี่ยวกับแผ่นดินสก็อตแลนด์ยามนี้ มันไม่ได้มีอะไรเลยนอกจากที่ดินอันรกร้างเต็มไปด้วยวัชพืชไร้ค่า ทั้งผู้คนก็ช่างยากจนแสนเข็ญ
ไม่เพียงเท่านั้น เขาแทบจะได้รสเค็มที่แฝงอยู่ในไอน้ำทะเล ยามสายลมแรงพัดมาต้องตัว...
ขณะที่เขาเดินผ่านเข้าไปในย่านพิคคาดิลลี่ เขาได้พบปะทักทายผู้คนที่รู้จักมักคุ้นมากหน้าหลายตาบรรดาสาวสวยทั้งหลายที่นั่งอยู่ในรถม้าคันงาม สวมหมวกบอนเน็ตประดับลูกไม้หรูหรา ต่างโบกมือทักทายเขาเกรียวกราวอยู่ลอร์ด อลิสแตร์ มีความรู้สึกอยากจะดูดซับทุกภาพที่ได้เห็นในวันนี้เข้าไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในยามนี้ เขารู้สึกชื่นชมแม้กระทั่งบาทวิถีที่รองรับอยู่ใต้ฝ่าเท้า ความเขียวชอุ่มมองแมกไม้ในสวนสาธารณะ...
“นี่คือชีวิตของเรา นี่คือจุดศูนย์กลางของความเป็นประเทศ...” เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ “ถ้าเราจะต้องกลับไปอยู่ไฮท์แลนด์ เราจะมีอะไรให้คิด มีเรื่องราวอะไรให้พูดคุยมีอะไรที่จะสัมผัสความรู้สึกของเราได้ ในเมื่อที่นั่นมันมีแต่เพียงความว่างเปล่า ทั้งในบรรยากาศก็มีแต่ความหม่นหมองแบบนี้...?”
มันเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่เขาอย่างที่สุด ลอร์ด อลิสแตร์ ตัดสินใจว่า เขายังไม่ควรเล่าให้ใครฟัง ว่าตัวเองกำลังจะต้องไปจากที่นี่แล้ว...
พรุ่งนี้แล้วที่เขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมาควิส แห่งคิลโดนอน แต่ถึงอย่างไร วันนี้เขาก็ยังเป็นลอร์ด อลิสแตร์แมคโดนอนอยู่ ลอร์ด อลิสแตร์ ผู้มีบุคลิกน่าประทับใจ ชายหนุ่มผู้เป็นที่ปองปรารถนาของสาวงามทั้งหลายในแววดวงสังคมชั้นสูง...
แม้มิสเตอร์ฟอร์คเนอร์จะไม่เล่าให้ฟัง แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่า งานชิ้นหนึ่งที่ท่านพ่อมอบหมายให้ทนายความผู้ซื่อสัตย์มาทำก็คือ การประกาศข่าวความตายของพี่ชายทั้งสองในหน้าหนังสือพิมพ์
พรุ่งนี้ หนังสือพิมพ์รายวันทั้ง เดอะ ไทม์ และ เดอะมอร์นิ่ง โพสต์ จะต้องพาดหัวข่าวโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ แต่สำหรับวันนี้ ยังพอมีเวลาสำหรับการเป็นตัวของตัวเองอยู่ ไม่ใช่ลูกชายของท่านพ่อที่จะต้องรอรับคำสั่งราวกับเป็นทาสรับใช้...!