บทที่ 5
ประกายเคืองแค้นฉายวาบขึ้นในดวงตาของลอร์ด อลิสแตร์
“ผมจำท่านอาอวนได้ดี” เขากล่าว “ผมรู้ว่าท่านอาเป็นบุคคลที่ทะเยอทะยานมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว มักใหญ่ใฝ่สูงมาตลอด แล้วเรื่องนี้ท่านพ่อบอกกับเขาว่ายังไงล่ะ?”
“ก็ไล่ตะเพิดไปไม่ยอมฟังน่ะสิขอรับ” มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ตอบ “ท่านพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงไว้ศักดิ์อย่างยิ่งว่า...เวลานี้เราเสียลูกชายไปถึงสองคนแล้วนะอวน ซึ่งเราเชื่อว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นและเป็นไปตามน้ำพระทัยแห่งพระเจ้าแต่ถึงยังไงเราก็ยังมีลูกชายคนที่สามอยู่ และลูกชายคนนี้ของเราต่างหากที่เป็นผู้มีสิทธิ์อย่างถูกต้อง”
วิธีการพูดทั้งน้ำเสียงที่มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์นำมาใช้นั้นน่าประทับใจอย่างยิ่ง รอยยิ้มอ่อนๆ ฉาบขึ้นบนริมฝีปากของลอร์ด อลิสแตร์ แม้รอยย่นบนหน้าผากจะยังกดลึกอยู่
“ให้ตายสิ ผมอยากเห็นสีหน้าท่านอาตอนนั้น เสียเหลือเกิน” เขาเอ่ยออกไป “อยากเห็นตอนที่ถูกปฏิเสธซึ่งหน้าอย่างที่สมควรจะได้รับ...”
“ตอนนั้น ท่านอาของใต้เท้าถึงกับผุดลุกขึ้นยืน...” มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์เล่าต่อ “แล้วก็ตอบท่านพ่อของใต้เท้าว่า...เวลานี้อลิสแตร์ไม่ใช่ชาวสก็อตต์ เขาเปลี่ยนสัญชาติเป็นอังกฤษไปแล้ว เพราะฉะนั้น กระผมคิดว่าเขาคงจะไม่เดินทางกลับมาที่นี่อีกหรอก และถึงแม้ว่าเขาจะกลับมา ท่านก็จะได้พบว่าลูกชายของท่านเป็นเพียงแค่หนุ่มเจ้าสำราญคนหนึ่งที่ไม่เอาไหนเลย จะสนใจอยู่ก็แต่เรื่องเหล้ากับผู้หญิงเท่านั้น”
รอยย่นระหว่างคิ้วของลอร์ด อลิสแตร์ กดลึกลงกว่าเดิม ทั้งน้ำเสียงก็กร้าวกระด้างขึ้นอย่างน่ากลัว
“แล้วท่านพ่อว่ายังไง?”
“ท่านพ่อของใต้เท้าไม่ได้ตอบโต้อะไรด้วยหรอก...ขอรับ” มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ตอบ “เพียงแต่เดินออกจากห้อง และเมื่อกระผมตามติดออกมา ท่านก็สั่งให้กระผมรีบเดินทางมาหาใต้เท้าที่ลอนดอนนี่ทันที่”
ความเงียบได้ตกลงปกคลุมบรรยากาศภายในห้องนั้นไว้อีกครั้งหนึ่ง และมิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ก็เป็นผู้เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า
“กระผมเดินทางมาทางเรือเพราะเร็วกว่า ซึ่งกระผมคิดว่าใต้เท้าน่าจะเดินทางกลับไปพร้อมกับกระผมแบบเดียวกันเพราะจะสบายกว่าทางบกมาก”
ลอร์ด อลิสแตร์ ผุดลุกขึ้นยืน
“นี่คุณคงเหมาเอาว่าผมจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของท่านพ่อสินะ แต่ผมคิดว่าทั้งคุณและท่านพ่อคงจะต้องรู้อยู่แก่ใจแล้วนะว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดจะทำเลย ตอนที่ผมเดินทางไปกับท่านแม่นั้นผมอาจอายุเพียงแค่สิบสองก็จริง แต่ท่านแม่ไม่ได้บังคับให้ผมไปกับท่านเลยนะ”
“มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจอยู่แล้วละ” ลอร์ด อลิสแตร์ กล่าว “เพราะผมเองก็ได้รับความทุกข์จากท่านพ่อไม่น้อย บอกตามตรงว่าผมไม่รักท่านพ่อเลยแม้แต่น้อยและทุกวันนี้ยังรู้สึกอย่างนั้นอยู่”
ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปเป็นครู่ และมิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ก็กล่าวต่อว่า
“บอกตามตรงนะขอรับใต้เท้า กระผมไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรเกินความจริงอยู่แล้ว คือกระผมอยากจะบอกว่า ไม่ว่าใต้เท้าจะมีความรู้สึกต่อท่านพ่ออย่างไร หรือท่านเองจะมีความรู้สึกต่อใต้เท้าอย่างไรก็ตาม ลึกลงไปในใจแล้ว ท่านเป็นบุคคลที่มีเมตตาสูงมากนะขอรับ”
ลอร์ด อลิสแตร์ นิ่งขึงไป เพราะรู้อยู่ว่า...สิ่งที่มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ พูดนั้นเป็นความจริง
ตอนที่ท่านแม่ของเขาตัดสินใจเดินทางออกจากปราสาทคิลโดนอนนั้น เหตุผลที่ท่านนำมาอ้างก็คือเพื่อความอยู่รอดของชีวิต ถึงเวลาที่ท่านจะต้องเลือกแล้วว่าจะไปจากปราสาทแห่งนี้หรือความตาย และท่านดยุคก็ยอมตกลงที่จะให้เงินเป็นค่าเลี้ยงดูทั้งภรรยาและบุตรชายคนเล็กของท่าน
ท่านแม่ของเขาเป็นธิดาของเอิร์ล แห่ง ฮาร์โลว์ วันที่เธอเดินทางกลับบ้าน เธอได้เอาลูกชายคนเล็กคืออลิสแตร์ติดมาด้วย จากนั้น ก็ส่งลูกชายเข้าโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงในอังกฤษ และไปต่อที่อ๊อกซฟอร์ด
ลอร์ด อลิสแตร์ เติบโตมาในตระกูลฮาร์โลว์ ในเมืองซัฟฟอล์ค เมื่อใดก็ตามที่เขาเดินทางเข้าลอนดอน เขาก็ยังสามารถพักอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ของท่านตาซึ่งตั้งอยู่ที่กรอสเวนอร์ สแควร์
เขาได้รับการยอมรับในสังคมของท่านแม่ ซึ่งล้วนแล้วแต่บุคคลผู้มีฐานะมั่งคั่งและมีชื่อเสียงในสังคมทั้งสิ้นมันเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่นำความตื่นเต้นมาสู่เขาได้ตลอดเวลาดังนั้น จึงไม่มีสักเวลานาทีที่เขาจะคิดถึงปราสาทที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนแผ่นดินสก็อตแลนด์ ต้องถูกพี่ชายทั้งสองไล่ต้อนอยู่ตลอดเวลา
เมื่อดัชเชสเสียชีวิตลงเมื่อสามปีก่อน เขาคาดคิดว่าตัวเองคงจะต้องเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตแน่นอน ถ้าท่านพ่อจะตัดเงินค่าเลี้ยงดูเพราะไม่มีท่านแม่อีกต่อไปแล้วและเขาก็ออกจะโล่งใจไม่น้อย เมื่อได้รับจดหมายจากทนายความของท่านดยุค แจ้งมาให้ทราบว่า เงินค่าเลี้ยงดูจำนวนดังกล่าวที่ท่านแม่เคยได้รับในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านดยุคได้อนุญาตให้เขาเป็นผู้รับต่อไปได้
ลอร์ด อลิสแตร์ ไม่ได้เขียนจดหมายขอบคุณไปถึงท่านดยุคโดยตรง แต่ขอให้ทนายความได้ถ่ายทอดความรู้สึกดังกล่าวไปสู่ท่านพ่อด้วย
หลังจากที่ใช้ความคิดอยู่อีกครู่ใหญ่ ลอร์ด อลิสแตร์ ก็เอ่ยถามออกไปว่า
“ฟอล์คเนอร์...ที่ท่านกำลังพูดอยู่นี่ ท่านหมายถึงว่าถ้าผมไม่เดินทางกลับไปตามคำสั่ง ท่านพ่อจะตัดค่าเงินค่าใช้จ่ายที่ส่งมาให้ผมอยู่เป็นประจำทั้งหมดอย่างนั้นใช่ไหม...?”
ขณะที่รอฟังคำตอบอยู่นั้น ลอร์ด อลิสแตร์ รู้สึกว่ามิสเตอร์ฟอล์คเนอร์กำลังไตร่ตรองถ้อยคำที่จะตอบคำถามประโยคนั้นของเขา
“เท่าที่กระผมรู้จักท่านดยุคมานะขอรับใต้เท้า กระผมคิดว่า...ถ้าใต้เท้าปฏิเสธหน้าที่ความรับผิดชอบที่ท่านพ่อของใต้เท้าเชื่อว่าเป็นไปด้วยน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ท่านพ่อคงจะตัดความเป็นพ่อลูกกับใต้เท้าเลยนะขอรับ จะไม่มีความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกระหว่างใต้เท้ากับท่านอีกต่อไป”
“และท่านก็จะเอาท่านอาอวนขึ้นมาแทนที่...”
“จริงๆ แล้วก็ยังมีญาติคนอื่นๆ อีกขอรับใต้เท้า แต่เป็นธรรมดาที่ท่านอวนน่าจะเป็นตัวเลือกอันดับแรกอยู่แล้วละขอรับ”
ลอร์ด อลิสแตร์ หันกลับไปทางเดาผิง แหงนหน้าขึ้นมองภาพปราสาทสูงเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือผืนทะเล มีเนินสูงที่ปกคลุมด้วยต้นฮีทเตอร์เป็นฉากอยู่ทางเบื้องหลัง มันเป็นภาพที่น่าประทับใจและสวยงามอย่างเหลือพรรณนา
ขณะเดียวกัน เขาก็ตระหนักว่า การที่จะต้องเข้าไปอยู่ร่วมกับท่านพ่อในปราสาทแห่งนั้น เขาจะต้องรู้สึกว่าตนเองตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและการบีบบังคับของท่านพ่ออย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เขายังจะต้องพบกับความโดดเดี่ยว ต้องออกไปอยู่ในโลกที่แตกต่างกว่าที่เขาดำเนินชีวิตอยู่ทุกวันนี้และเขาเชื่อว่า ที่นี่คือโลกที่แท้จริงของเขา
ทุกความรู้สึกในเรือนกายมันบอกเขาอยู่ว่า เขาไม่อาจทนกับสถาพชีวิตแบบนั้นได้ แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ยังรู้อีกว่า...แท้ที่จริงแล้วเขาไม่มีทางเลือกอื่นเลย...!
ทั้งนี้เพราะ เขาคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีเงินไม่มีทางที่จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทหรือแม้แต่ญาติๆ ทั้งหลายในตระกูลฮาร์โลว์ ซึ่งเป็นญาติฝ่ายมารดาได้
ท่านตาได้เสียชีวิตไปนานแล้ว และท่านลุงก็มีครอบครัวใหญ่ของท่านที่จะต้องดูแล ทั้งไม่เคยแสดงความสนใจในตัวเขาเป็นพิเศษแต่อย่างใดด้วย
ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาหยิ่งในศักดิ์ศรีและค่อนข้างภาคภูมิใจใน “เลือดสีน้ำเงิน” ที่ไหลเวียนอยู่ในตัว...
ในที่สุด เขาก็หันกลับมาหาทางมิสเตอร์ฟอล์คเนอร์อีกครั้ง
“เอาละ ฟอล์คเนอร์...คุณเป็นฝ่ายชนะ...เราจะต้องออกเดินทางไปสก็อตแลนด์กันเมื่อไหร่ล่ะ?”
มันไม่ได้มีวี่แววของผู้ที่ได้รับชัยชนะปรากฏขึ้นในสีหน้าของมิสเตอร์ฟอล์คเนอร์อย่างที่ลอร์ด อลิสแตร์ คาดว่าจะได้เห็นเลย ออกจะน่าแปลกใจไม่น้อย ที่ท่าทางของบุรุษสูงวัยคล้ายจะเกิดความลังเลใจในอะไรบางอย่าง
“มีอะไรมากกว่านั้นหรือ ฟอล์คเนอร์?” ลอร์ด อลิสแตร์ ถามอย่างแปลกใจเต็มที
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่กระผมจำเป็นต้องเรียนให้ใต้เท้าทราบไว้ล่วงหน้าด้วยขอรับ คือท่านมาควิสจะต้องแต่งงานกับเลดี้ โมเรก แมคเนน ขอรับ”
“คือ...ท่านดยุคได้ประกาศเป็นคำมั่นออกไปแล้วว่า เลดี้ โมเรก จะต้องแต่งงานกับบุตรชายคนโตของท่านเพื่อประสานแคว้นทั้งสองเข้าเป็นทองแผ่นเดียวกัน ซึ่ง...ใต้เท้าก็คงจะทราบนะขอรับ ว่าการประสานเช่นที่ว่านั้นเป็นสิ่งที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษแล้ว”
ความเงียบที่ตกลงปกคลุมบรรยากาศภายในห้องรับประทานอาหารยามนี้ดูจะหนักหน่วงอย่างยิ่ง
“นี่...นี่คุณกำลังจะบอกผมว่า อีกสิ่งหนึ่งที่ท่านพ่อคาดหวังจากผมก็คือ จะต้องเคารพในคำมั่นที่ท่านประกาศออกไปแล้วเช่นนั้นใช่ไหม?”
“กระผมเองก็กริ่งเกรงอยู่เหมือนกันขอรับว่า คำตอบของกระผมอาจทำให้ใต้เท้าไม่สบายใจ” มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ตอบ “แต่เนื่องจากท่านดยุคได้พิจารณาแล้วและเห็นว่า คำพูดที่ประกาศออกไปนั้นมันเป็นวาจาแห่งเกียรติยศเพราะฉะนั้นท่านคงจะต้องให้เป็นไปเช่นนั้นขอรับ”