บทที่ 3
ความรักในอุดมคตินั้นย่อมเป็นความรักที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจอย่างล้นเหลือ ความรักที่ทำให้ศิลปินสามารถสร้างภาพเขียนอันเป็นผลงานยิ่งใหญ่ ความรักที่ทรงอิทธิพลแรงกล้าสามารถบันดาลดลให้นักดนตรีผู้มีชื่อเสียงนำเสียงดนตรีมาประสมประสานเข้ากับบทกวี บังเกิดเป็นบทเพลงอันไพเราะและสร้างชื่อเสียงให้ก้องโลกนับแต่วาระแรกแห่งกาลเวลาขึ้นมาได้
อา...ความรัก...ความรัก...ความรัก
แล้วเขาจะหาความรักเช่นที่ต้องการนี้ให้พบได้จากแห่งหนใด...? มันจะเกิดขึ้นกับคนธรรมดาสามัญเช่นเขาได้จริงๆ ละหรือ...?
เขายังสงสัย แต่กระนั้น ก็ยังปฏิเสธที่จะยอมรับว่าสิ่งที่เขาได้พบเจอมานั้น มันอาจเป็นรักลวง เมื่อเขาไม่สามารถตัดสินหรือชี้ชัดในเรื่องของความรักลงไปได้ ทุกวันนี้หัวใจของเขาจึงยังคงมีแต่ความว่างเปล่า อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยยอมให้ความรู้สึกนึกคิดอันสับสนเกี่ยวกับเรื่องของความรักเข้ามารบกวนความสุขในชีวิตเลย อีกครั้งหนึ่งที่เขาเหลือบมองไปยังโน้ตกรุ่นกลิ่นหอมที่โอลีฟส่งมาถึง มันยังคงกางอยู่ตรงหน้า ลึกลงไปในใจ เขาอดคิดไม่ได้ ว่าถ้าหล่อนเกิดตัดสินใจเลือกใครคนใดคนหนึ่งในสองคนนั้นมาเป็นสามี เขาคงจะอาวรณ์ในตัวหล่อนไม่น้อยเลย
แต่ในช่วงเวลาก่อนหน้าที่วันแต่งงานของหล่อนจะมาถึง เขาจะต้องใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะตักตวงความสุขจากหล่อนให้มากที่สุด แม้ในขณะที่หล่อนลองเสื้อชุดวิวาห์และเฝ้าฝันถึงวันที่จะได้อยู่อยู่ร่วมกับสามีในอนาคตก็ตาม...
เขาออกจะมั่นใจ ว่าโอลีฟจะไม่มีวันยอมอนุญาตให้ดยุคหรือมาควิส เข้าถึงห้องนอนของหล่อนได้ จนกว่าคนใดคนหนึ่งที่หล่อนเลือกจะสวมสอดวงแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของหล่อนเสียก่อน ในขณะที่สำหรับเขาแล้วประตูด้านหลังสวนและหน้าต่างที่ไม่ได้ขัดกลอนจะเปิดรับเขาเข้าสู่ห้องนั่งเล่นของหล่อนตลอดเวลา
ฝันกลางวันของลอร์ด อลิสแตร์ ถูกขัดจังหวะ เมื่อคนสนิทซึ่งทำหน้าที่เป็นต้นห้องเดินเข้ามาหาเขาซึ่งนั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหาร อันเป็นห้องที่ได้รับการตกแต่งแบบสมัยควีน แอนน์ ผนังฉาบด้วยสีขาว เดินลวดลายด้วยสีทอง
มันเป็นห้องรับประทานอาหารที่ค่อนข้างเล็ก เพราะลอร์ด อลิสแตร์ ไม่ใคร่ใช้ในการรับรองเพื่อนฝูง ซึ่งถ้าจะมีบ้างก็เป็นเพื่อนสนิทเพียงแค่สี่หรือห้าคนเท่านั้น ทว่า ก็ยังเป็นห้องที่ได้รับการตกแต่งเลิศหรูเช่นเดียวกับห้องรับแขกด้านหน้า
โดยความเป็นจริงแล้ว การตกแต่งทั้งหมดภายในห้องนี้ เป็นของขวัญจากสุภาพสตรีที่แสนจะน่ารักคนหนึ่ง ที่เขาเกิดไปมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งด้วย เป็นความสัมพันธ์ที่ดำเนินติดต่อกันอยู่เกือบสองปี...!
สภาพทางเศรษฐกิจของเขาเปลี่ยนไปในทันทีที่เขากับหล่อนมีสัมพันธ์อันเร้นลับต่อกัน และแม้เขาจะมีความสามารถพอจะหาซื้อของกำนัลที่ราคาสูงกว่าดอกไม้หรือเข็มกลัดประดับอัญมณี แต่เนื่องจากสามีของหล่อนร่ำรวยมหาศาล หล่อนจึงสามารถตอบแทนเขาอย่างคนใจกว้างมากกว่าที่เขามอบให้หล่อนร้อยเท่าพันทวี...
นอกจากม้าตัวใหม่ๆ ที่ยืนเด่นอยู่ในคอกที่ลอร์ด อลิสแตร์ เช่าไว้ที่ถนนฮาล์ฟ มูน สตรีทแล้ว เขาก็ยังได้ไม้เท้าที่มีด้ามเป็นทองคำกล่องยานัตถุ์ที่ประดับด้วยอัญมณีและบางชิ้นก็ประดับเพชรแพรวพราว นอกจากนั้น ยังมีภาพวาดฝีมือจิตรกรเอกแห่งยุค เป็นภาพชั้นเยี่ยมราคาแพงจนแม้แต่เพื่อนสนิทก็ยังอดอิจฉาเขาไม่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเพื่อนสนิททั้งหลายเหล่านั้น จะรู้แก่ใจว่าใครคือผู้ที่ส่งมอบของกำนัลชิ้นต่างๆ เหล่านี้มาให้ แต่พวกเขาก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยออกมา เพียงแต่แสดงความชื่นชมในรสนิยมอันเลิศหรูอย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายในห้องรับประทานอาหารนี้ ภาพวาดที่ติดตั้งอยู่บนผนังห้องที่ดึงดูดสายตาของใครทุกคนที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมโต๊ะอาหารกับเจ้าของบ้าน คือภาพวาดตัวลอร์ด อลิสแตร์ ซึ่งวาดขึ้นในลักษณะภาพเหมือนจริง
เป็นภาพที่วาดขึ้นไว้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขายังเป็นเพียงเด็กชาย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบชาวสก๊อตต์ คือนุ่งกระโปรงผ้าตาหมากรุก ที่เป็นฉากหลังอยู่ในภาพนั้นคือปราสาทที่เขาเกิด ปราสาทที่เขาไม่เคยได้เยี่ยมกรายกลับไปอีกเลยตั้งแต่อายุสิบสองปี
เนื่องจากมันเป็นปราสาทหลังที่เด่นเป็นสง่าและสวยงามที่สุดหลังหนึ่งในสก๊อตแลนด์ ดังนั้น ใครก็ตามที่ได้เห็นภาพนี้ จะจ้องมองปราสาทจนตาค้างแทบไม่ได้ให้ความสนใจกับเด็กชายคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าปราสาทนั้นเลย และพวกเขามักจะกล่าวถึงปราสาทแห่งนี้คล้ายๆ กันว่า
“ผมได้ยินชื่อเสียงของปราสาทคิลโดนอนมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งได้มาเห็นอย่างนี้ ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่ามันสวยงามน่าประทับใจกว่าปราสาทไหนๆ ที่เคยเห็นมาจริงๆ นะครับ”
พวกเขาอยากจะแสดงความชื่นชมออกมาเป็นคำพูดที่มากกว่านั้น แต่ลอร์ด อลิสแตร์ มักจะชวนเปลี่ยนเรื่องพูดเสียก่อน
เขาค่อนข้างจะอ่อนไหวกับความจริงประการที่ว่าเขาไม่ได้กลับไปสู่บ้านเกิดเมืองนอนมาเป็นเวลาเกือบจะสิบห้าปีแล้ว...
แชมป์คินส์ คนสนิทของลอร์ด อลิสแตร์ วางหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าลงข้างตัวเจ้านาย หยิบจานขนมปังสวีทเบรด ที่เขาไม่ได้แตะต้องเลยแม้แต่น้อยขึ้นมาถือไว้
“มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งมารอพบใต้เท้าอยู่ขอรับ” เขารายงาน “ซึ่งกระผมก็เรียนให้เขาทราบแล้วว่า เช้าตรู่อย่างนี้ใต้เท้ายังไม่รับแขกขอรับ”
“ถูกต้องแล้วละแชมป์คินส์” ลอร์ด อลิสแตร์ ตอบ “ยิ่งตอนนี้ด้วยแล้วฉันไม่อยากเจอหน้าใครเลย บอกให้เขามาใหม่พรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
“กระผมได้เรียนให้เขาทราบเช่นนั้นแล้วขอรับใต้เท้าแต่เขาบอกว่าเขาเดินทางมาจากสก็อตแลนด์ขอรับ”
ลอร์ด อลิสแตร์ สะดุ้ง เงยขึ้นมองหน้าคนสนิททันที
“เจ้าว่าเขามาจากสก็อตแลนด์งั้นเรอะ...?”
“ขอรับใต้เท้า แต่หน้าตาท่าทางของเขาดูไม่เหมือนชาวสก็อตสักเท่าไหร่หรอกขอรับ แถมยังพูดภาษาอังกฤษได้ชัดเจนเหมือนคนอังกฤษแท้ๆ อีกด้วยขอรับ”
“มาจากสก็อตแลนด์...!” ลอร์ด อลิสแตร์ ย้ำ “ไม่มีทาง...เป็นไปไม่ได้”
“งั้นให้กระผมไปบอกให้เขากลับไปจะดีไหมขอรับ?” น้ำเสียงของแชมป์คินส์จริงจังมาก ลอร์ด อลิสแตร์ นิ่งอึ้งไปเป็นครู่ ราวคาดคำนวณในอะไรบางอย่างอยู่ก่อนตอบ
“ไม่ต้อง แชมป์คินส์ ไปเชิญเขาเข้ามาได้เลย หาอะไรมาให้เขาดื่มด้วย”
“แต่ท่าทางเขาไม่เหมือนคนที่ชอบดื่มเลยนะขอรับ” แชมป์คินส์ทำเสียงเหมือนจะค้าน แบบเดียวกับคนรับใช้ที่รับใช้ใกล้ชิดเจ้านายมานานจนสามารถจะแสดงบทบาทหรือความคิดเห็นได้
“สำหรับตอนนี้ให้ฉันรู้เสียก่อนดีกว่า ว่าเขามีความประสงค์อะไรถึงมาหาฉันถึงนี่...เอาละ ไปเชิญเขาเข้ามาได้แล้ว” ลอร์ด อลิสแตร์ สั่ง
แชมป์คินส์จับตามองเจ้านาย และลอร์ด อลิสแตร์ ก็รู้ว่าคนสนิทกำลังสงสัยว่าควรจะแนะนำให้เขาแต่งตัวให้เรียบร้อยมากกว่าเพียงแค่สวมเสื้อคลุมแพรต่วนอยู่ในขณะนี้หรือไม่...
ที่จริง ลอร์ด อลิสแตร์ แต่งกายเรียบร้อยแล้ว มีคราวาทผูกอยู่ตรงเอว เพียงแต่ยังไม่ได้สวมเสื้อนอกหางเต่าเท่านั้น ทั้งนี้เพราะ ลอร์ด อลิสแตร์ เป็นสุภาพบุรุษประเภทที่ชอบรับประทานอาหารเช้าให้เสร็จเสียก่อน จึงค่อยแต่งตัวให้เรียบร้อยพร้อมจะรับรองแขกเหรื่อ
แต่ไม่ว่าแชมป์คินส์จะคิดอะไรอยู่ในใจก็ตามในที่สุดเขาก็หายตัวออกไปจากห้อง ครู่ต่อมา ประตูห้องรับประทานอาหารก็ถูกผลักเปิดกว้างออก พร้อมกับประกาศชื่อผู้ที่มาขอเข้าพบ
“มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ขอรับใต้เท้า”
บุรุษในวัยกลางคน ปอยผมตรงขมับทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีเทาเดินตรงเข้ามาในห้อง ลอร์ด อลิสแตร์ มองจ้องเขาอยู่เป็นครู่ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ช้าๆ พร้อมกับยื่นมือออกไปให้สัมผัส
“ผมไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าคุณคือแอนดรูว์ ฟอล์คเนอร์”
“กระผมก็ยังกริ่งเกรงใจอยู่เหมือนกันขอรับ ว่าใต้เท้าจะจำกระผมได้หรือเปล่า”
“แต่ผมคิดว่า... นั่นมันน่าจะเป็นคำพูดของผมมากกว่านะ” ลอร์ด อลิสแตร์ ตอบ
“ใต้เท้าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลยขอรับ...” มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์เอ่ยขึ้นอย่างตั้งข้อสังเกต “แต่ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะพบเห็นที่ไหน กระผมแน่ใจขอรับว่าจะต้องจำใต้เท้าได้เสมอ”
สายตาของผู้เป็นอาคันตุกะไปหยุดนิ่งอยู่ที่ภาพวาดเหนือเตาผิง ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของลอร์ด อลิสแตร์ ขณะนี้และในที่สุด ก็มาหยุดลงตรงใบหน้าของชายหนุ่มที่ยังคงจับมือเขาไว้อยู่
“กระผมกล้าที่จะกล่าวได้เลยนะขอรับ ว่าใต้เท้าเป็นเช่นที่กระผมคาดคิดไว้ทุกอย่างเพียงแต่หล่อขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก...”
“ขอบใจมาก...ขอบใจจริงๆ” ลอร์ด อลิสแตร์ ตอบ
“เชิญนั่งลงก่อนสิฟอล์คเนอร์ ดื่มอะไรดีล่ะ ไวน์ หรือว่า อยากได้กาแฟมากกว่า...?”
“กาแฟดูจะดีที่สุดขอรับ...ใต้เท้า” มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ลอร์ด อลิสแตร์ เพียงแต่ผินไปพยักหน้าให้คนสนิทและแชมป์คินส์ก็ถอยออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูตามหลังลงทันที
มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ทรุดตัวลงนั่งช้าๆ ท่าทางไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด และลอร์ด อลิสแตร์ ก็เป็นฝ่ายเอ่ยต่อว่า
“ผมเดาเอาว่า ที่คุณอุตส่าห์ดั้นด้นมาหาผมถึงที่นี่คงจะเอาข่าวจากท่านพ่อมาฝากผมละกระมัง...เพราะมันไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่า คุณมาที่นี่เพียงเพื่อมาเยี่ยมเยียนธรรมดา”
“ที่ใต้เท้าคิดน่ะถูกต้องแล้วละขอรับ ข่าวที่กระผมนำมากราบเรียนครั้งนี้ ออกจะเป็นข่าวที่สร้างทั้งความผิดหวังและเสียใจให้เกิดขึ้นกับใต้เท้าทั้งสองประการเลยขอรับ”