บทที่ 2
ขณะที่เอ่ยคำพูดประโยคนั้นออกไป เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองกำลังทำให้โอลีฟผิดหวังอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรต่อจากนั้นอีก
ทั้งนี้เพราะ มันเป็นอะไรบางอย่างที่เขาก็ไม่อาจอธิบายแก่ตัวเองได้เหมือนกัน ว่าเพราะอะไรเขาจึงไม่เคยเอ่ยคำว่า “รัก” กับผู้หญิงคนใดก็ตามที่เขามีสัมพันธ์สวาทด้วยเขาต้องการความแน่ใจเสียก่อน ว่าความรู้สึกที่เขามีต่อเธอผู้นั้น มันเป็นอะไรที่แตกต่างกว่าไฟราคะที่ร้อนแรงแผดเผาทั้งเขาและหล่อนอยู่ อลิสแตร์ไม่ต้องการแปลความหมายของคำว่า “รัก” ให้มากไปกว่าความหมายที่มีอยู่ในตัวของคำนั้นอีก
เขารู้อยู่แก่ใจ ว่ามันไม่ใช่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำให้เขาแตกต่างไปกว่าผู้ชายอื่นๆ ยังมีเรื่องต่างๆ อีกมากมายนัก
บัดนี้ มันได้กลายเป็นแฟชั่นไปแล้ว สำหรับการที่สุภาพบุรุษทั้งหลายจะเขียนโคลงกลอน สรรเสริญเยินยอสุภาพสตรีผู้ที่ตนกำลังชื่นชมและสนใจ สำหรับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้ภาษา ย่อมได้รับประโยชน์จากความรู้นั้นยิ่งกว่าใคร
แต่อาจจะเป็นเพราะลอร์ด อลิสแตร์ เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับการศึกษาสูง จนได้พบว่า เขาทนไม่ได้กับการที่จะมานั่งเขียนกลอนแสดงความชื่นชมความงามในตัวผู้หญิงที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย เพราะมีความรู้สึกคล้ายกับเป็นการลดค่าของภาษาลงอย่างไรบอกไม่ถูก มันทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไปอย่างมาก
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขาก็ยังไม่เคยเอ่ยปากกับผู้หญิงคนไหนว่าเขารักหล่อนอยู่ดี ดังนั้น มันจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ถ้าจะมีผู้หญิงสักคนสังเกตเห็นในเรื่องนี้และไม่พอใจทั้งยังแสดงปฏิกิริยากับเรื่องนี้ด้วย
“ช่วยบอกหน่อยสิคะว่าคุณรักฉัน” โอลีฟเฝ้าร่ำร้อง “แล้วบอกด้วยว่าถ้าฉันแต่งงานไปกับคนอื่นละก้อ คุณจะต้องหัวใจสลายแน่”
“ผมไม่ใคร่แน่ใจนะ ว่าตัวเองจะมีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ” ลอร์ด อลิสแตร์ ตอบออกไปตามความรู้สึกแท้จริง “เพราะที่ผ่านๆ มา มีผู้หญิงสวยน่ารักหลายต่อหลายคนที่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอกับตัวผมนั้น มันเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ทางด้านร่างกายเท่านั้นนี่”
“โอ...อลิสแตร์ ทำไม คุณถึงเป็นคนใจร้ายอย่างนี้คะ...?” โอลีฟร้อง “นี่คุณกำลังทำให้ฉันคิดแล้วนะคะ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณเห็นฉันเป็นเพียงเครื่องเล่นชิ้นหนึ่งเท่านั้น ทั้งที่ฉันรักคุณด้วยใจจริง ก็เพราะความรักที่ฉันมีต่อคุณนี่แหละที่ทำให้ฉันมานั่งโศกช้ำระกำใจอยู่อย่างนี้”
“เอ...ผมไม่อยากเชื่อเลยนะ ว่าคุณจะรู้สึกกับผมมากมายถึงขนาดนั้น แต่ก็เอาเถอะ ตอนนี้เชื่อไว้ก่อน” อลิสแตร์ว่า “แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าแค่คำพูดเพียงคำเดียวนั้นมันสำคัญแค่ไหนกันเชียว ผมว่าการแสดงออกของคนเรามันน่าจะสำคัญกว่าคำพูดเป็นไหนๆ ทั้งยังทำให้เรามีความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่ายด้วย”
ขณะพูด ฝ่ามือที่ลูบไล้เรือนผมก็เลื่อนลงมายังลำคอประคองใบหน้าเธอขึ้นไว้พร้อมกับประทับริมฝีปากลง แต่เพราะโอลีฟไม่ได้คำตอบอย่างที่ใจต้องการ เธอจึงขืนตัวไว้
ทว่า ความรุนแรงของจูบที่เขามอบให้ก็ทำให้ไฟในทรวงที่มอดลงเมื่อครู่กลับลุกโชนขึ้นอีกครั้ง และในที่สุด ไฟพิศวาสอันแรงร้อนนั้นก็สนองตอบต่อเปลวไฟในทรวงของเขาในยามนั้นที่โอลีฟไม่อยากจะคิดอะไรทั้งนั้น รู้แต่เพียงว่าจะต้องสนองความปรารถนาอันแรงร้อนของตนเองให้ถึงที่สุด
เมื่อวันวาน ลอร์ด อลิสแตร์ ไม่ได้พบโอลีฟ แต่ก็รู้อยู่ว่าทั้งช่วงบ่ายและค่ำ เธอวุ่นวายกับการต้อนรับขับสู้ทั้ง ดยุคและมาควิส และเกือบจะแน่ใจเสียด้วยซ้ำ ว่าในที่สุดเธอจะต้องยอมให้คนใดคนหนึ่งสอดสวมแหวนหมั้นลงในนิ้วเรียว เพราะแม้แต่ฐานันดรศักดิ์ของดยุคจะสูงส่งกว่า แต่มาควิสแห่ง ฮอโรว์บีก็ร่ำรวยกว่ามาก ดังนั้น ในสายตาของลอร์ด อลิสแตร์ แล้ว บุรุษทั้งสองต่างทัดเทียมกัน
เมื่อใดก็ตาม ที่โอลีฟเป็นภรรยาของใครคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้ เมื่อหล่อนได้นั่งปลายโต๊ะในตำแหน่งเจ้าภาพฝ่ายหญิงของบ้าน ได้ประดับเรือนร่างด้วยเครื่องเพชรประจำตระกูล หล่อนย่อมจะเป็นของรางวัลล้ำค่าอีกชิ้นหนึ่งที่บุรุษทั้งหลายจะต้องหมายปอง โดยเฉพาะเมื่ออลิสแตร์ครุ่นคิดอยู่ว่า ครั้งหนึ่งหล่อนเคยเป็นสมบัติของเขาอยู่แทบทุกค่ำคืน
แต่เขาก็ยังเชื่อว่า ผู้หญิงคนใดก็ตาม ถ้าได้แต่งงานไปแล้ว ชีวิตของหล่อนย่อมจะจืดชืดไร้รสชาติอย่างไม่ต้องสงสัยเลย...
ถ้าสามีของหล่อนเป็นบุคลที่มีความสำคัญพอสมควร หล่อนย่อมมีส่วนในการส่งเสริมสนับสนุนฐานะของเขาให้เด่นดังยิ่งๆ ขึ้น ย่อมไม่ปรารถนาอิสระไม่ว่าจะเป็นทางด้านความคิดหรือความรู้สึก
เขายังจำได้ ว่าครั้งหนึ่งหญิงสาวในวงสังคมชั้นสูงคนหนึ่งที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยเพียงแค่ครั้งหรือสองครั้งเคยเอ่ยออกมาว่า
“พวกผู้ชายในวงสังคมชั้นสูงต่างเหมือนกันหมดทุกคนนั่นแหละพวกเขามีความปรารถนาในตัวผู้หญิงแบบเดียวกับความปรารถนาที่จะได้ภาพเขียนสวยๆ สักภาพ แจกัน ล้ำค่าสักชิ้น หรือไม่ก็ม้าฝีเท้าจัดรูปร่างงามสายพันธุ์ชั้นดีสักตัวเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาสมใจอยากแล้ว ก็จะเริ่มกวดสายตามองหาสิ่งใหม่ๆ เพื่อจะเอาเข้ามาสะสมเพิ่มในกรุสมบัติของตน”
“อ้าว...ทำไม คุณถึงดูถูกตัวเองอย่างนั้นล่ะครับ?” อลิสแตร์ย้อนถาม เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นคำพูดประโยคที่หล่อนอยากได้ยิน
ทว่า ลึกลงไปในใจ เขารู้ว่าในสิ่งที่หล่อนพูดนั้นมันก็เป็นความจริงอยู่ เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยคิดที่จะเก็บหล่อนมาสะสมไว้ในกรุสมบัติเท่านั้น
เขามีเงินมากพอที่จะซื้อหาความสุขให้กับตนเองได้ เพียงแต่ไม่ต้องการสู้ราคากับใครอย่างที่สุภาพบุรุษทั้งหลายในแวดวงเดียวกันกระทำอยู่เท่านั้น
ทั้งนี้เพราะ เขาไม่มีที่ดินมากมายให้เช่า อันเป็นหลักประกันถึงรายรับประจำปี ไม่ได้มีคฤหาสน์หลังใหญ่ที่จะต้องทะนุบำรุงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เขาจึงมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าคนอื่นๆ จำนวนคนรับใช้ที่บ้านในกรุงลอนดอนก็มีไม่มาก และเขามีม้าไว้สำหรับขี่เที่ยวเพียงแค่สองตัวเท่านั้น
ส่วนใหญ่แล้ว เขาจะมีความสุขอยู่ตามบ้านเพื่อนฝูงมากกว่า...
อีกประการหนึ่ง เจ้าของบ้านทุกหลัง ย่อมพร้อมจะสนิทสนมกับบุคคลที่ไม่มีภาระผูกพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายหนุ่มรูปงามมีชื่อเสียงโด่งดังเช่น ลอร์ด อลิสแตร์ ดังนั้น บัตรเชิญจึงหลั่งไหลเข้าสู่มือเขาไม่เว้นวัน เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงต้องจ้างเลขานุการไว้เป็นพิเศษ เพื่อช่วยตอบจดหมายและอื่นๆ โดยให้ทำงานเพียงวันละสองชั่วโมง
เมื่อเขามีเลขานุการที่คอยจัดรายการนัดหมายต่างๆให้ มีต้นห้องที่คอยรับใช้ดูแลใกล้ชิด มีพ่อครัวฝีมือเอก ไว้ทำอาหารให้กินเมื่อเขาอยู่บ้าน ชีวิตของลอร์ด อลิสแตร์ ย่อมน่าอิจฉาไม่น้อยเลย
ไม่มีประตูบ้านหลังใดในกรุงลอนดอนที่จะไม่เต็มใจเปิดออกต้อนรับเขา ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ในบ้านทุกหลังที่เขาได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งนั้น มักจะมีสาวสวยที่เต็มอกเต็มใจดูแลไม่ให้เขาต้องเปลี่ยวเหงาอยู่เพียงลำพังในยามราตรีเลย
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง พรินซ์ ออฟ เวลส์ ได้รับสั่งกับเขาว่า
“เรารู้ว่าท่านเองก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก แต่ให้ตายสิ อลิสแตร์ เรารู้สึกอยู่ตลอดเวลาเลยนะ ว่าท่านมีชีวิตที่เปี่ยมด้วยความสุขยิ่งกว่าเราหลายเท่านัก...!”
ลอร์ดอลิสแตร์หัวเราะด้วยความขบขัน...ก่อนจะสนองตอบต่อรับสั่งนั้นว่า
“แต่ข้าพระพุทธเจ้ากลับคิดว่า จะต้องมีบุคคลอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่อยากจะอยู่ในตำแหน่งนี้ของใต้ฝ่าพระบาทนะพระเจ้าค่ะ”
“แล้วท่านล่ะ เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นด้วยหรือเปล่า...?” พรินซ์ ออฟ เวลส์ ทรงย้อนถาม
“โอ...ไม่ละพระเจ้าค่ะ เพราะข้าพระพุทธเจ้ารู้ดีว่าในตำแหน่งที่ทรงดำรงอยู่นี้ ใต้ฝ่าพระบาทต้องทรงแบกรับภาระหน้าที่หนักหนาสาหัสขนาดไหนพระเจ้าค่ะ”
“ซึ่งนั่นเป็นความจริงอย่างที่สุด ซึ่งทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย” เจ้าชายรับสั่งด้วยพระพักตร์บึ้งตึงอย่างไม่สบพระทัย “บอกตามตรงนะอลิสแตร์ว่าเราอิจฉาท่านจริงๆ ...ว่าแต่ท่านเคยรู้บ้างหรือเปล่าล่ะ ว่าเราอิจฉาท่านอยู่ตลอดเวลาน่ะ?”
ลอร์ด อลิสแตร์ ได้แต่หัวเราะอย่างขบขัน แต่ลึกลงไปในใจเขารู้ซึ้งถึงความหมายในรับสั่งประโยคนั้นของเจ้าชายอยู่
ขณะเดียวกัน ในตอนนั้น เขายังคิดต่อไปอีกด้วยว่าตนเองช่างเป็นบุคคลโชคดีอะไรเช่นนี้ ที่ทุกวันนี้ยังครองความเป็นโสด ใช้ชีวิตอิสระ ปราศจากข้อผูกพันกับสตรีนางใดอยู่ได้ ทั้งเขาก็ไม่ใช่บุคคลที่มีอารมณ์แปรปรวนไม่แน่นอน อยู่ตลอดเวลาเช่นเจ้าชายอีกด้วย
ในสัมพันธ์สวาททุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัมพันธ์สวาทที่ทรงมีต่อมิสซิส ฟิทเชอเบิร์ท เจ้าชายทรงแสดงออกอย่างคล้อยตามอารมณ์ที่บังเกิดในยามนั้นๆ ไปเสียทุกบททุกตอน ยิ่งเสียกว่าที่นักเขียนบทละครรังสรรค์ขึ้นจากจินตนาการเสียด้วยซ้ำ
เจ้าชายถึงกับเคยกันแสง เอามีดแทงพระองค์ ถึงกับทรงขู่ใครทุกคนว่าจะทรงฆ่าตัวตายถ้าความรักของพระองค์ไม่ได้รับสนองตอบ
แต่ลอร์ด อลิสแตร์ คิดว่าตนเองพอจะล่วงรู้ในเหตุผลว่า เพราะเหตุใด พรินซ์ ออฟ เวลส์ จึงเสกสมรสกับมิสซิสฟิทเชอเบิร์ท อย่างเป็นความลับ เหตุผลประการสำคัญที่ทำให้ทรงฝืนโบราณราชประเพณี และทรงมีอคติต่อตำแหน่งองค์รัชทายาทที่ทรงดำรงอยู่ ก็เพราะไม่ทรงปรารถนาในราชบัลลังก์แม้แต่น้อย
และเนื่องจากเขาได้เห็นตัวอย่างของความผิดพลาดในการตัดสินพระทัยของพรินซ์ ออฟ เวลส์ นั่นเองที่ทำให้ลอร์ด อลิสแตร์ ยิ่งมีความตั้งใจแน่วแน่ ว่าจะไม่มีวันเผยความรู้สึกของตนเองให้ใครได้รู้ จนกว่าเขาจะเชื่ออย่างหมดจิตหมดใจเสียก่อน ว่าความรู้สึกที่เกิดอยู่กับเขานั้น มันเป็นความรู้สึกแท้จริง
แม้แต่ในยามที่ตกอยู่ในบ่วงเสน่หาอันแรงร้อน...ลอร์ด อลิสแตร์ ก็ยังมีสติพอที่จะบอกตัวเองว่า ความรู้สึกที่เกิดอยู่กับตนเองในขณะนั้นมันเป็นเพียงความรู้สึกทางอารมณ์ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกนั้นก็จะจืดจางและเลือนหายไปในที่สุด ไม่ใช่ความรักในอุดมคติเช่นที่เขาปรารถนา ความรู้แบบที่เขาเฝ้าบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่ามันจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับตัวเขาแน่