บทที่ 1
ค.ศ.1803
ลอร์ด อลิสแตร์ แมคโดนอน ลงมือรับประทานอาหารเช้า…
การรับประทานอาหารเช้าตอนเกือบเที่ยงเช่นนี้…ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับโลกของชาวสังคมชั้นสูงที่เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งอยู่
เมื่อคืนที่ผ่านมา เขาเป็นแขกรับเชิญคนแรกที่ไปถึงงานเลี้ยงอาหารค่ำ ที่พรินซ์ ออฟ เวลส์ ทรงเป็นเจ้าภาพและจัดขึ้นที่คาร์ลตัน เฮ้าส์ หลังจากนั้น เขาก็สบทบกับแขกคนอื่นๆ ไปต่อที่สถานบันเทิงอันเป็นโรงเต้นรำชั้นหรูแห่งกรุงลอนดอน ซึ่งจะมีสาวๆ ชาวไซเปรียนคอยบริการหว่านเสน่ห์ พร้อมที่จะให้บริการระดับสูงแก่ชายหนุ่มแห่งวงสังคมทั้งหลายได้ตลอดเวลา
และราวกับว่าเพียงแค่นั้นยังไม่พอ เขากับบรรดาเพื่อนสนิททั้งหลายยังไปต่อกันอีกที่ “บ้านสาวสวรรค์” ซึ่งตั้งอยู่ที่ เฮย์มาร์เก็ต อันเป็นสถานบริการที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงลิบลิ่ว และสถานที่หลังสุดนี้เองที่ทำให้เช้าวันนี้ ลอร์ด อลิสแตร์ ต้องมานั่งเสียใจที่ดื่มไวน์ฝรั่งเศสมากจนเกินไป
อันที่จริงมันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการใช้ชีวิตให้หมดไปวันหนึ่งๆ…
แต่ขณะเดียวกัน… มันก็จะออกฤทธิ์แรงร้ายให้ประจักษ์ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ซึ่งทำให้ลอร์ด อลิสแตร์ ต้องโบกมือปฏิเสธ เมื่อคนรับใช้นำอาหารเช้าที่ได้รับการปรุงรสอย่างดีเยี่ยมมาตั้งลงตรงหน้า เลือกที่จะจิบบรั่นดีแกล้มขนมปังปิ้งแทน
อย่างไรก็ตาม ในยามนี้ ความคิดของเขาไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับปากคอที่แห้งผาก หรืออาการปวดร้าวใน ศีรษะแต่ไพล่ไปคิดถึงเสน่ห์อันรุนแรงของเลดี้ บีเวอลี่ย์
ที่วางอยู่ตรงหน้าบนโต๊ะอาหารขณะนี้คือโน้ตสั้นๆ จากเธอที่เขียนบนกระดาษสีสวยอบกลิ่นหอมกรุ่นข้อความนั้นมีโน้ตเพียงว่า…หล่อนต้องการให้เขาไปพบตอนบ่ายสี่โมงเย็นวันนี้…
ถ้อยคำที่หล่อนใช้คล้ายจะเป็นคำสั่งมากกว่าจะเป็นการขอร้อง แต่นั่นย่อมเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้อยู่แล้วสำหรับสาวงามในสังคมระดับไฮโซเช่นหล่อน
เลดี้ บีเวอลี่ย์ เป็นแม่ม่ายของเศรษฐีที่ดินผู้มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ทางตอนเหนือของอังกฤษ หล่อนเดินทางเข้าสู่กรุงลอนดอนภายหลังจากที่สามีได้เสียชีวิตลง โดยมีป้าแก่ๆ เป็นผู้ปกครองและอยู่ในเมืองหลวงมาได้ประมาณหนึ่งปีแล้ว
เนื่องจากหล่อนเป็นบุคคลที่ปราศจากความมัวหมองทั้งชื่อเสียงและการเงิน ทั้งยังมีสายเลือด “สีน้ำเงิน” อยู่ในตัวจึงทำให้หล่อนเป็นที่ยอมรับของวงสังคมไฮโซอย่างรวดเร็ว
สาวสังคมหน้าใหม่มักจะเป็นที่ตื่นเต้นสำหรับพวกหนุ่มๆ ในสังคมเดียวกันเสมอ ซึ่งในสังคมระดับนี้ สาวงามมักจะถูกปลดระวางเมื่อมีคนใหม่ผงาดขึ้นมาแทนที่อยู่แล้ว อย่างเช่นครั้งหนึ่ง พรินซ์ ออฟ เวลส์ ทรงหลงใหลนางละครที่ชื่อมิสซิสโรบินสันอย่างมาก แต่แล้วเจ้าหล่อนก็ถูกแทนที่โดยจีออเจียน่า ผู้มีฐานันดรศักดิ์เป็นดัชเชสแห่งเดวอนไชร์ เป็นต้น
คลื่นลูกใหม่ย่อมไล่คลื่นลูกเก่าเสมอ…มันคือสัจธรรมและเมื่อมาถึงวันนี้ ถ้อยคำที่กล่าวถึงโอลีฟ บีเวอลี่ย์ ในสโมสรเซ้นท์ เจมส์ ก็คือ “หล่อนผู้มีความงามอย่างยากที่จะหาหญิงใดเทียบ” และบัดนี้ ความงามของหล่อนได้บดบังความงามของหญิงสาวทั้งหลายในแวดวงสังคมไฮโซแห่งกรุงลอนดอนไว้จนสิ้นเชิง
แต่หล่อนก็เป็นผู้หญิงที่มีความงามเหนือหญิงใดจริงๆ ดวงตาดำขลับแกมม่วงเข้มคู่นั้น ราวจะเน้นความงามของเรือนผมดำสนิทให้เฉิดฉาย นวลหน้าของหล่อนนวลผ่องและผุดผาดปานกลีบดอกแม็กโนเลีย เป็นสีผิวแบบเดียวกับที่ลอร์ดไบรอน เปรียบไว้ว่าประหนึ่งเทพธิดากรีกนั่นเทียว…
แม้แต่ผู้ชายที่ขี้เหนียวเอาใจยากที่สุดก็ยังยอมสยบอยู่แทบเท้าหล่อน และถึงแม้ลอร์ดอลิสแตร์จะไม่อยากเป็นผู้ชายคนหนึ่งในจำนวนนั้น แต่เขาก็ไม่อาจตัดใจจากหล่อนได้
อาจจะเป็นเพราะว่า เขาเป็นผู้ชายที่หล่อนจับได้ยากกว่าคนอื่นๆ เลดี้ บีเวอลี่ย์ จึงปรารถนาในตัวเขา และในที่สุด ไม่เพียงแต่ประตูบ้านของหล่อนเท่านั้นที่พร้อมจะเปิดรับเขาทุกเมื่อ แต่อ้อมแขนของหล่อนที่จะกางออกโอบเขาไว้เช่นกัน
แม้โดยความเป็นจริงแล้ว ลอร์ด อลิสแตร์ จะได้ชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิง แต่เขาก็เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม มีสติปัญญาพอตัวทีเดียว เขาตระหนักดีว่า เรื่องสัมพันธ์สวาทระหว่างตัวเขากับโอลีฟ บีเวอลี่ย์นั้นจะต้องเก็บงำไว้เป็นความลับสุดยอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องให้รอดพ้นหูตาของชาวสังคมที่สนใจและชอบซุบซิบนินทาอย่างที่สุด
ในฐานะที่เขาเป็นบุตรชายคนที่สามของดยุคผู้ครองแคว้นหนึ่งแห่งสก๊อตแลนด์ ดังนั้น จึงไม่มีทางที่เขาจะได้รับตำแหน่งทายาท ครอบครองอาณาจักรเล็กๆ นั้นต่อจากท่านบิดา และเขารู้ดีว่าโอลีฟเป็นผู้หญิงที่มีความมักใหญ่ใฝ่สูงในตัวเองไม่น้อย
และยิ่งขณะนี้ เขารู้อยู่แก่ใจว่านอกจากตัวเขาเองแล้ว หล่อนยังมีดยุคแห่งทอร์เชสเตอร์ ที่ควงคู่พาหล่อนไปดูโอเปร่า มีมาควิส แห่ง ฮอโรว์บี เศรษฐีที่ดินผู้มั่งคั่งคนหนึ่งของลอนดอนที่ขับรถม้าพาหล่อนเที่ยวชมความงามของกรุงลอนดอนและในปาร์ค
ทว่า ยามที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง ไม่ต้องสงสัยเลยเรื่องที่หล่อนจะถือว่า อลิสแตร์ แมคโดนอน คือชู้รักที่หล่อนใหลหลง พิศวาสบาดใจระหว่างเขากับหล่อนดูจะเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ เป็นไปได้ว่า การที่ต้องเก็บงำความสัมพันธ์อันลึกซึ้งนี้ไว้เป็นความลับมมีส่วนเพิ่มรสชาติและความตื่นเต้นให้มากขึ้น
ดูมันเป็นเรื่องผิดปรกติอย่างมากสำหรับการที่โอลีฟจะส่งจดหมายมา และเรียกร้องให้อลิสแตร์ไปพบหล่อนในตอนกลางวัน…
ขณะที่ยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบ เขาอ่านซ้ำโน้ตสั้นๆ นั้นอีกครั้ง ให้คิดสงสัยว่าหล่อนมีธุระอะไรจึงต้องการพบเขาเป็นการด่วนเช่นนี้
ลึกลงไปในใจเขารู้สึกอึดอัดไม่สบายใจเลย เพราะกริ่งเกรงไปว่า หล่อนกำลังจะบอกเล่าให้เขาได้รับรู้ไว้ ว่าบัดนี้ ดยุคแห่งทอร์เชสเตอร์ หรือไม่ก็อาจจะเป็นมาควิส แห่งฮอโรว์บี ได้เอ่ยวาจาขอหล่อนแต่งงานเข้าแล้ว และบัดนี้หล่อนก็ได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกับใครคนใดคนหนึ่งนั่นแล้ว…
ถ้าเขาต้องสูญเสียหล่อนไป เขาต้องเสียใจอย่างที่สุดในชีวิต…ลอร์ด อลิสแตร์ ครุ่นคิดอยู่ในใจ เขาคงไม่อาจทนได้เมื่อถึงช่วงเวลาที่หล่อนจะต้องไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีที่ถูกต้อง
แต่เขาก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ความตื่นเต้นจากการได้เป็นคุณหญิงของใครคนใดคนหนึ่งในสองชายนั้นหมดลง เมื่อนั้นหล่อนจะต้องหวลหาอาวรณ์ในรสจุมพิตของเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย…เมื่อคิดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มหยันก็จุดขึ้นตรงมุมปาก
“ทำไมหนอ… ความรู้สึกที่ฉันมีต่อคุณมันถึงได้แตกต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ มากมายนัก…?” หล่อนเพิ่งเอ่ยถามด้วยคำพูดประโยคนี้เมื่อสองคืนที่ผ่านมานี้เอง
คืนนั้น เขาได้เข้าไปรอหล่อนอยู่ในห้องนอนภายหลังจากที่รับประทานอาหารค่ำที่ริชมมอนด์ เฮ้าส์ แล้ว เป็นคืนที่มาควิสแห่งฮอโรว์บี ได้มาส่งหล่อนถึงหน้าประตูและหล่อนอนุญาตให้เขาจุมพิตได้เพียงหลังมือเท่านั้น
ลอร์ด อลิสแตร์ ได้เข้ามาในบ้านของหล่อนโดยผ่านเข้ามาทางประตูสวนทางด้านหลัง ซึ่งเขามีกุญแจสามารถไขเข้ามาได้
หน้าต่างฝรั่งเศสตรงห้องรับแขกเปิดทิ้งไว้ เขาจึงแอบย่องขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบน หลังจากคนรับใช้แยกย้ายกันเข้านอนแล้ว และในที่สุด เขาก็ทอดร่างลงนอนรออยู่บนเตียงนอนที่มีผ้าต่วนสีสวยคลุม
กลิ่นน้ำหอมฝรั่งเศสที่โอลีฟใช้จนเป็นกลิ่นประจำตัวลอยล่องอยู่ในอากาศ เขารู้สึกมีความสุขยิ่งนักที่ได้เข้ามารอคอยหล่อนอยู่ในนี้ รู้ดีว่า เมื่อใดก็ตามที่หล่อนเหยียบย่างเข้ามาในห้องนอน เมื่อนั้นเพลิงพิศวาสก็จะลุกโชติช่วงขึ้นครอบงำทั้งเขาและหล่อนไว้
ซึ่งมันก็เป็นความจริงเช่นที่คิด เพราะทันทีที่หล่อนกลับถึงบ้าน หล่อนก็โถมร่างเข้าสู้อ้อมแขนของเขา และหลังจากนั้น อีกนานนัก กว่าที่เขากับหล่อนจะได้มีเวลาพอที่เริ่มพูดจากันได้…
“คุณช่างสวยเหลือเกิน…” ลอร์ด อลิสแตร์ เอ่ยขึ้นเป็นคำแรก
อ้อมแขนข้างหนึ่งของเขาโอบประคองร่างหล่อนไว้ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ลูบไล้อยู่กับเรือนผมดำขลับอย่างทะนุถนอม และปลดเข็มเสียบผมที่ตรึงมุ่นมวยออก ปล่อยให้ ปล่อยให้พวงผมสยายลงคลุมช่วงไหล่เปล่าเปลือย พวงผมนั้นเนียนนุ่มเช่นเดียวกับผิวเนื้อของหล่อน ตรึงใจเขาไว้ยิ่งกว่าจะใช้โซ่เส้นใดมาคล้องให้แน่นกระชับ
“ปาร์ตี้สนุกไหม...” เขาเอ่ยถามเสียงเบา
“เซ็งจะแย่” โอลีฟทำหน้าบึ้ง “ทุกคนแต่งตัวหรูหรากันทั้งนั้น โดยเฉพาะดยุคดูจะหรูหรากว่าทุกครั้งทีเดียว”
“ผมดีใจที่ตัวเองไม่ได้รับเชิญ”
“สิ่งที่อยู่ในความคิดฉันตลอดเวลาก็คือ ขอให้ ถึงเวลากลับบ้านเร็วๆ เถอะ ฉันจะได้เจอคุณเสียที แต่แหม...เวลามันช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน ฉันคอยแต่จะมองดูเข็มนาฬิกาตลอดเวลา รู้สึกเหมือนกับว่ามันหยุดอยู่กับที่ยังงั้นแหละ”
“ฮอโรว์บีเป็นคนพาคุณมาส่งสินะ” อลิสแตร์เอ่ยขึ้นอย่างตั้งข้อสังเกต “แล้วเขาล่วงเกินอะไรคุณบ้างหรือเปล่า?”
“เขาก็คงจะทำหรอกนะ ถ้าฉันเปิดโอกาสให้” โอลีฟตอบอย่างทะนงในความสวยของตน “แต่อาจเป็นเพราะฉันเองก็ได้นะที่กลัวว่า ถ้าขืนยอมให้เขาล่วงเกินแล้วมันจะทำให้เสียเวลาที่จะพบกับคุณไป” หล่อนยั่วด้วยยิ้มยวน
“ผมจะตัวลอยแล้วนะนี่”
“คุณไม่หึงเลยหรือนี่?” หล่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกึ่งผิดหวัง “ฉันจะบอกให้นะคะว่า ถ้าขืนผู้ชายทุกคนรวมทั้งดยุค และคาเธอร์ ฮาโรว์บี รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคุณเข้าละก้อ รับรองได้เลยว่าพวกเขาจะต้องยิงทิ้งคุณด้วยความหึงหวงสุดฤทธิ์แน่”
“ก็แล้วทำไม ผมจะต้องไปอิจฉาคนพวกนั้นด้วยเล่า?”
ลอร์ด อลิสแตร์ กลับย้อนถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ก็เพราะฉันรักคุณ...ได้ยินไหมว่าเพราะฉันรักคุณน่ะสิอลิสแตร์” โอลีฟเชิดหน้าขึ้นเผชิญอยู่กับเขา “คุณไม่เคยนึกรู้บ้างเลยหรือว่า ตั้งแต่เรารู้จักกันมาจนกระทั่งถึงวันนี้คุณยังไม่เคยเอ่ยปากฝากรักฉันสักคำ...?”
“ผมคิดว่า นั่นมันเป็นสิ่งที่เราต่างก็รู้กันอยู่แก่ใจโดยไม่จำเป็นจะต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูดอยู่แล้วนี่” ลอร์ด อลิสแตร์ ตอบคลุมเครือ