ตอนที่ 2 (1)
หลังจากสอบเสร็จเกณิกาก็แทบจะไม่ได้ออกไปไหน มีบ้างที่
ปรินทร์โทรมาชวน แต่ชวนไปเดทกันสามคน เมื่อก่อนสมัยเรียนเธอไปด้วยตลอดเรียกได้ว่าเคยไปเดทกับแฟนของชายหนุ่มมาแล้วทุกคน แต่พอมาถึงตอนนี้ไปแล้วจะได้อะไรนอกจากความช้ำใจ ถึงอย่างนั้นวันหลังก็ไม่วายโทรมาชวนอีก คราวนี้หนักถึงกับชวนไปร้านเวดดิ้ง เธอเลยตอกกลับไปว่า
“แกจะแต่งงานแล้วนะโว้ย จะมาทำตัวติดฉันเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ว่าที่เจ้าสาวแกเขาจะคิดยังไง หัดคิดซะบ้างสิ...ตามนี้นะไม่ไป ขี้เกียจไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉัน ฉันจะดูหนัง ห้ามโทรมากวน เข้าใจ๋” แค่นั้นเธอก็ตัดสายทิ้งไป ทิ้งโทรศัพท์ไว้บนห้องและเดินลงมาข้างล่าง ที่มีมารดาของเธอกำลังนั่งดูอะไรสักอย่างอยู่
“ดูอะไรอยู่คะแม่” นางสาวิตรีเงยหน้าขึ้นมายิ้มแล้วยื่นกระดาษบางส่วนให้กับลูกสาว “ข้อมูลของมหาลัยที่โน้น ตาธีส่งมาให้ พ่อของเราเลยปริ้นออกมาให้ดู จากรายละเอียดและบรรยากาศในภาพน่าเรียนทั้งนั้นเลยนะลูก”
“แต่หนูยังไม่ได้รับปากเลยนะคะว่าจะไปเรียน” เกณิกาท้วง แต่ก็รับกระดาษเหล่านั้นมาพลิกอ่านดูอย่างค่อนข้างสนใจ
“แม่ก็ไม่ได้บังคับนี่ แค่เอามานำเสนอก็เท่านั้น”
“น่าสนใจนะคะ แต่หลายที่รีเควสประสบการณ์การทำงานตั้งสองปีแน่ะ” เกณิกาทำหน้ายุ่งเมื่ออ่านรายละเอียดบางมหาลัยที่ตัวเองสนใจ
“บางที่ก็ไม่ต้องมีก็ได้ ตาธีแนะนำที่นี่ เพราะเป็นศิษย์เก่า และถ้าลูกอยากเรียนไปทำงานไปเพื่อหาประสบการณ์ ก็ทำกับตาธีแล้วกัน” นางสาวิตรีแนะนำตามที่ธีรพัฒน์บุตรชายคนเดียวของพี่สาวแนะนำสามีของนางมาอีกที
เกณิกาพยักหน้ารับรู้และเปิดอ่านดูไปเรื่อยๆ ก่อนมือที่เปิดจะค่อยๆ ช้าลงเมื่อสมองมาสะดุดเรื่องปรินทร์กำลังจะแต่งงานผุดขึ้นมาในหัว และเพียงแค่นึกถึงความเจ็บปวดก็แล่นปราดแทงเข้าที่หัวใจ เธอมองสถานศึกษาแล้วเอานิ้วลูบเบาๆ พร้อมกับคิดไปว่า บางทีเธออาจจะใช้ช่องทางนี้หนีไปรักษาแผลใจและถือโอกาสเรียนไปด้วย ขืนอยู่ที่นี่โอกาสที่จะพบเจอพูดคุยกันสูง บางทีเชื่อได้เลยว่าชายหนุ่มอาจจะบุกมาหาถึงที่บ้านวันไหนก็ได้ เมื่อเธอจะเลือกใช้วิธีการเลี่ยงจากเขาโดยการไม่รับสายหรือเปลี่ยนเบอร์ และนั่นจะทำให้เธอตัดใจจากปรินทร์ได้ยากหรือแทบจะตัดใจไปไม่ได้เลย
“น่าสนใจดีนะคะ เอาไว้เดี๋ยวหนูจะถามรายละเอียดกับพี่ธีดูแล้วกันนะคะ”
“ตัดสินใจได้แล้วใช่ไหม”
“ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ บางทีหนูอาจจะขอไปดูสถานที่จริงก่อนการตัดสินใจ แม่จะว่าไงคะ”
“ตามใจลูกละกัน” นางสาวิตรีบอกอย่าไม่ขัดข้อง และมั่นใจว่าถ้าคนเป็นลูกสาวพูดมาอย่างนี้แล้วคงตัดสินใจแล้วละว่าจะเรียนต่อตามความต้องการของนาง
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเข้าไปกอดและหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่ จากนั้นสองแม่ลูกก็ช่วยกันคัดเลือกมหาวิทยาลัยที่น่าสนใจและเข้าเงื่อนไขของเกณิกา ก่อนคืนนี้หญิงสาวจะออนไลน์หาญาติผู้พี่เพื่อสอบถามทั้งเรื่องสถานที่เรียนและเรื่องการเตรียมตัวด้วย
“พักนี้ไม่ค่อยเห็นเกมเลยนะคะ” ผกามาศเอ่ยกับแฟนหนุ่มขณะเดินไปขึ้นรถหลังจากรับประทานอาหารเที่ยง ก่อนไปร้านเวดดิ้ง
“โทรเรียกแต่ยัยนั่นไม่มา บอกว่าผมควรเลิกทำตัวติดเขาเหมือนสมัยเรียนเสียที เขากลัวผึ้งคิดมากน่ะ” ปรินทร์พูดพลางหัวเราะและส่ายหน้าอย่างไม่คิดจะทำตามหรือเอาคำเตือนของเกณิกามาใส่ใจ ก่อนจะหันมาถามแฟนสาวขณะที่เปิดประตูรถให้อีกฝ่าย “ผมรู้ผึ้งเข้าใจผมใช่ไหม”
ผกามาศมองเขานิ่งก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง “ค่ะ ผึ้งรู้ว่าเกมกับปริ๊นซ์เป็นแค่เพื่อนกัน” ได้ยินอย่างนั้นปรินทร์ก็หอมแก้มแฟนสาวเป็นการขอบคุณ “นอกจากแม่และเกมแล้ว คุณเป็นผู้หญิงที่เข้าใจผมมากที่สุด” ผกามาศยิ้มสดใส ก่อนรอยยิ้มนั่นจะเจื่อนลงเมื่อเธอเลื่อนตัวเข้าไปนั่งภายในรถ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดีกับคำชมจากว่าที่เจ้าบ่าว ซึ่งจะว่าไปเธอน่าจะทำตัวให้ชินกับการที่ต้องเป็นรองเกณิกาในเกือบทุกๆ เรื่อง ทว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะชินได้ง่ายๆ ได้ยินครั้งใดมันเจ็บปวดทุกที
“ตื่นเต้นจังเลยนะคะ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้แต่งงานกับคนที่แอบมองมานาน” ผกามาศเอียงคอบอกกับแฟนหนุ่มด้วยท่าทางน่ารัก
“ช่าย...” ปรินทร์ลากเสียงแล้วหัวเราะน้อยๆ พร้อมกับเคลื่อนรถออกจากร้านอาหารมุ่งหน้าไปที่ร้านเวดดิ้งที่มารดาแนะนำมา
“ถ้าไม่ได้แม่สื่อมืออาชีพอย่างยัยเกม ผมไม่มีทางกล้าไปจีบคุณแน่”
“ค่ะ” ผกามาศตอบรับสั้นๆ อย่างเซ็งๆ อุตส่าห์คุยเรื่องของสองคน สุดท้ายปรินทร์ก็ดึงเกณิกาเข้ามาเกี่ยวด้วยจนได้ทุกครั้งสิน่า ดังนั้นเพื่อตัดปัญหาเธอจึงนั่งเงียบไปจนถึงร้าน
และเมื่อถึงร้านผกามาศคิดว่าปรินทร์คงทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น แต่เปล่าเลยมันกลับทำให้เธอรู้สึกแย่ เมื่อชายหนุ่มเอาแต่เอ่ยถึงเกณิกา ว่านึกภาพหญิงสาวใส่ชุดแต่งงานไม่ออกหรือไม่ก็ชุดนั้นสีนี้เหมาะกับเธอแต่ถ้าเป็นเกณิกาใส่คงดูตลก และหลายสิ่งหลายอย่างที่ชายหนุ่มมักจะเอาเพื่อนสนิทขึ้นมาเป็นข้อเปรียบเทียบ บอกเลยว่าเธอหงุดหงิดมาก
“เราไปดูหนังต่อกันไหม ผมดูโปรแกรมแล้วมีเรื่องที่น่าดูอยู่หลายเรื่อง” ปรินทร์เอ่ยชวนเมื่อได้พูดคุยและนัดวันกับเวดดิ้งเพลนเนอร์เสร็จแล้ว
“ที่จริงมีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากดูด้วย ไปดูกันนะ” ว่าพลางทำเสียงอ้อนจับมือบางมาแนบแก้มและจูบเบาๆ และท่าทีอย่างนี้นี่เองทำให้ผกมาศที่ก่อนหน้านี่ใจรุ่มร้อนอกแทบจะแตกตายกลับใจอ่อนยวบ เพราะอย่างน้อยปรินทร์ก็ไม่เคยทำอย่างนี้กับเพื่อนสนิทของเขาแน่นอน มันคือสิทธิพิเศษสำหรับคนพิเศษอย่างเธอเท่านั้น
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่อง...” ชายหนุ่มบอกชื่อหนังฝรั่งแอคชั่นชื่อดังออกมา “ภาคแรกผมดูกับยัยเกมมันมากชวนกันมาดูตั้งสามรอบแน่ะ ภาคสองเลยไม่อยากพลาด ยัยนั่นจะดูหรือยังก็ไม่รู้” ว่าแล้วปรินทร์ก็ล้วงโทรศัพท์ต่อสายหาเพื่อนสนิท โดยไม่สนใจคำสั่งก่อนหน้าว่าหญิงสาวบอกให้ไม่ต้องโทรหา และไม่ได้สังเกตสีหน้าของว่าที่ภรรยาในอนาคตของตนด้วยเช่นกันว่าตอนนี้เธอโมโหแค่ไหน
“ว้า...ไม่รับสาย เราคงต้องดูกันสองคนแล้วละ” แล้วใครอยากดูกันสามคนมิทราบ ผกามาศต่อในใจ และตอนนี้จะดูสองหรือสามคนเธอก็ไม่มีอารมณ์จะอยากดูแล้วละ
“ผึ้งไม่ชอบหนังแอคชั่น ผึ้งจะกลับบ้าน” พูดจบผกามาศก็เดินปั้นปึงไปที่รถ โดยมีปรินทร์เดินเกาศีรษะตามหลังไปอย่างงงๆ
“ผึ้งเป็นอะไรหรือเปล่า” ถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายบึ้งตึง
“ไม่มีอะไรหรอกคะ ผึ้งแค่เหนื่อยเท่านั้น เรากลับบ้านกันดีกว่านะคะ” ผกามาศบอกแค่นั้น หลังจากนั้นเธอก็นั่งเงียบไปจนกระทั่งถึงบ้าน