บทที่ 17 หาทางหนี
“ผมถึงบอกไง ว่ามีคนจงใจต้องการปิดสถานบันเทิงของคุณ ต่อไปนี้ก็ระวังตัวหน่อยละกัน” พูดจบ นายตำรวจก็หยิบหมวกขึ้นมาคุมศีรษะ ก่อนจะเดินตามการ์ดออกไปยังประตูลับด้านหลัง พร้อมเตมินทร์นั่งนิ่งทบทวนทุกอย่างด้วยสายตาจริงจัง
นารารีบเก็บข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดยัดใส่กระเป๋า รอให้ร้านเปิดแล้วจะทำการหลบหนี ก่อนแสงสว่างจากมือถือจะทำให้หญิงสาวกดรับ
“เป็นยังไงบ้าง นาจะออกจากร้านวันไหน” ทินธรพูดด้วยความเป็นห่วง
“เดี๋ยวนาหาทางจัดการเองค่ะ พี่ทินไม่ต้องห่วง แต่พี่ทินห้ามมาแถวนี้เด็ดขาดนะคะ” หญิงสาวเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา หากเตมินทร์จับได้ ทินธรอาจตกอยู่ในอันตราย
“โอเค แต่นาต้องรีบออกจากสถานที่นั้นให้เร็วที่สุดเลยนะ พี่ไม่อยากให้นาอยู่นานกว่านี้ พี่ไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักคืน พี่เป็นห่วงนาจริง ๆ นะ” ท่ามกลางความหวาดกลัว ทินธรทำให้หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นจนเธอไม่อยากวางสาย หากแต่ด้วยหน้าที่ต้องรับผิดชอบ นาราจึงพูดบางอย่างกับเขา
“นารักพี่ทินมากนะคะ” คำบอกรักของเธอทำให้ชายหนุ่มชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิม
“พี่ก็รักนาเหมือนกัน หากทุกอย่างจบสิ้นแล้ว เราแต่งงานกันนะ” ชายหนุ่มพูดให้ความหวัง ก่อนหญิงสาวจะปล่อยยิ้มกว้างอย่างมีความหมาย
“ค่ะ” เธอตอบรับแล้วกดวางสายแฟนหนุ่มในทันที ขณะที่อีกฝ่ายหันใบหน้ากลับไปยังมารดาที่ยืนฟังอยู่ห่าง ๆ ด้วยท่าทางราบเรียบ
“ผมก็แค่ให้ความหวังเธอไปแบบนั้นแหละ” เขาพูดพร้อมวางมือถือลงด้านข้าง
“ก็ดี..ขอให้ลูกตระหนักไว้ ว่าคนที่เหมาะสมกับลูก ยังมีอีกมาก ถ้าถึงเวลาก็จัดการเขี่ยมันออกไปซะ”
“ครับ..ผมไปทำงานก่อนนะ” ว่าแล้วทินธรก็เบี่ยงตัวเดินออกจากบ้านไป พร้อมความคิดมากมายในสมอง ก่อนเขาจะกดมือถือโทรหาแอรินพร้อมรอยยิ้มกว้างแสดงออกมาอย่างมีความสุข เมื่อเห็นว่าแผนการทั้งหมดใกล้เสร็จสิ้นแล้ว
“วันนี้คุณลางานเลยนะ เดี๋ยวผมไปรับที่บริษัท ผมอยากอยู่กับคุณทั้งวันเลย ดีไหม” แอรินได้ยินดังนั้นจึงรีบรับปากเขา แล้วลางานทันที เพื่อได้ใช้เวลาส่วนตัวกับทินธรตามความต้องการของตัวเอง
เตมินทร์เดินสำรวจตามมุมกล้อง ก่อนจะเข้าไปยังโซนห้องพักที่ซอยไว้เป็นห้อง ๆ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย พลันหันไปยังแดนเทพแล้วพูดบางอย่างออกมา
“ภาพหลักฐานพวกนั้น ถูกถ่ายจากมุมนี้ เป็นมุมที่คนนอกห้ามเข้านอกจากพนักงานของเรา ผมว่าเรามีหนอนบ่อนไส้แล้วล่ะ ผมจะจับหนอนตัวนั้นแล้วมาชำแหละ” เตมินทร์พูดพลางยกมือขึ้นกอดอกด้วยความคับแค้นใจ
“แล้วคุณเตมินทร์จะเอาไงดีครับ ให้ผมเรียกพนักงานทุกคนออกมาเค้นเอาคำตอบตอนนี้เลยดีไหม” เตมินทร์ยกมือขึ้นห้ามอย่างคนใจเย็น
“ไม่ต้อง! วันนี้ผมจะรอให้พนักงานทั้งที่พักอยู่ในร้าน และพักอยู่นอกร้านเข้ามาทำงานให้หมด จากนั้นเราจะปิดประตูตีแมว ห้ามให้ใครหน้าไหนออกจากร้านได้ จนกว่าผมจะทำการสอบพนักงานทุกคนเสร็จสิ้น” แดนเทพได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย
นาราเตรียมเก็บเสื้อผ้ารอทางร้านเปิด แล้วจะอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีไปตามแผนที่วางไว้ หญิงสาวเดินออกมาแล้วชะเง้อคอมองประตูทางเข้าร้าน พบว่ายังปิดอยู่ เธอจึงเดินกลับเข้าไปในห้องพัก ยกมือพนมขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปโดยดี
ขณะที่สายตาคมของเตมินทร์ นั่งรอพนักงานทุกคนเข้ามาทำงานอย่างพร้อมเพรียง การ์ดทุกคนถูกแดนเทพสั่งให้ตรวจนับพนักงานที่เข้ามาทำงาน หากเข้ามาครบแล้วให้ทำการปิดประตูร้านทันที นาราเดินวนเวียนอยู่ในห้อง พร้อมก้มมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะ เมื่อจวนเจียนจะได้เวลา นารารีบหยิบกระเป๋าขึ้นมา แล้วมุ่งตรงไปยังประตู หากต้องรีบหลบเข้ามุมเมื่อเห็นประตูถูกปิดหลังจากพนักงานชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ทำไมถึงปิดประตูร้าน” นาราพึมพำพร้อมสายตาสั่นไหวมองตรงไปยังประตูทางเข้า ด้วยความแปลกใจอย่างถึงที่สุด หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอตัดสินใจวางกระเป๋าทิ้งไว้ แล้วเดินตรงไปยังประตูพร้อมหันไปยังการ์ดสองคน
“ตอนนี้ร้านใกล้จะเปิดแล้ว ทำไมพวกพี่ยังไม่เปิดประตูอีกคะ” การ์ดสองคนมองหน้ากันแล้วหันมายังหญิงสาวที่อยู่ในชุดพร้อมทำงาน
“แล้วน้องมีปัญหาอะไรเหรอ” นาราอ้ำอึ้งแล้วพูดขึ้นมาด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อย
“ปิดประตูแบบนี้ คนจะเข้าออกได้ไง ฉันอยากจะออกไปซื้อของสักหน่อย”
“ตอนนี้ไม่อนุญาตให้ออก” คำตอบของการ์ดทำให้นาราแสดงความสับสนออกมาจนสังเกตได้
"ทำไมจะออกไม่ได้ล่ะ ฉันต้องออกไปซื้อของใช้จำเป็น”
“เป็นคำสั่งของคุณเตมินทร์ ถ้าอยากออก ก็ให้ขออนุญาตคุณเตมินทร์เอาเอง” นารานิ่งเงียบไปพร้อมความกังวลในใจ เธอเลื่อนสายตาไปยังประตูที่ปิดมิดชิด แล้วเอ่ยถามการ์ดสองคนเป็นครั้งสุดท้าย
“ปิดประตูแบบนี้ ลูกค้าจะเข้าร้านได้ไง”
“แล้วใครบอกว่าวันนี้เปิดร้านล่ะ”
“ก็ถ้าร้านไม่เปิด แล้วพี่พนักงานคนนั้นจะเข้ามาทำงานทำไมล่ะ” เธอชี้มือไปยังพนักงานคนสุดท้ายที่เดินเข้ามา ก่อนการ์ดสองคนจะปล่อยยิ้มกว้าง
