บทที่ 14 ทำงานวันแรก
“สามปี...จะว่านานก็นานนะครับ คุณเตมินทร์อย่าลืม ว่าที่ร้านเราทำกำไรได้มากแบบนี้ เพราะเราอนุญาตให้ลูกค้ามั่วสุมยาเสพติด เราเปิดห้องให้ลูกค้ามีอิสระในการร่วมเพศ เราเปิดสถานบันเทิงเกินเวลากว่าที่กฎหมายกำหนด ถ้าวันหนึ่งเราพลาดขึ้นมา เราจบแน่” แดนเทพยังคงกังวลถึงปัญหาข้อนี้อยู่ตลอดเวลา หากแต่เขาไม่อาจทัดทานความคิดของเตมินทร์ได้ จึงต้องทำตามคำสั่งของเขาเรื่อยมา
“ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ขอแค่ทางไหนได้เงินมาก ผมก็ยอมหมดแหละ” เตมินทร์พูดพลางยกแอลกอฮอล์ขึ้นมาดื่ม ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม ที่มีเสียงเพลงดังอึกทึกลอดเข้ามาเป็นระยะ
“ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะครับ ที่จ่ายเงินแล้วปัญหาจะจบ ตำรวจเองก็เล่ห์เหลี่ยมเยอะเอาการ ตอนนี้มันเรียกเงินเท่านี้ แล้วอีกห้าเดือนข้างหน้าถ้ามันเรียกมากกว่านั้น คุณเตมินทร์จะทำยังไง” แดนเทพย่อตัวลงนั่ง แล้วคำนวณความเสี่ยงต่าง ๆ ด้วยความกังวลใจ
“เรื่องนั้นผมยังไม่คิด แต่ระหว่างนี้ก็แล้วแต่ดวง ถ้าจะถูกจับก็ช่างมัน ชีวิตผมมีทางเลือกไม่มากนักหรอก สิ่งที่ผมกลัวคือ...ยิ่งใช้เวลานาน โอกาสที่สองแม่ลูกจะฮุบบริษัทที่แม่กับพ่อสร้างมา มันสูงขึ้น” แดนเทพทอดสายตาไปยังชายหนุ่มด้วยความเห็นใจ
“ผมขอเวลาอีกสามปีเท่านั้น ขอเพียงแค่สามปี เพื่อสะสมเงินทุน ไปเปิดบริษัทใหม่ และคุณก็ต้องช่วยผม” แดนเทพได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ
นาราให้บริการแขกไปได้สักระยะ ก่อนจะเห็นความผิดปกติบางอย่าง เมื่อลูกค้าจำนวนหนึ่งหยิบผงสีขาวขึ้นมา แล้วทำการเสพต่อหน้า นาราเบิกตากว้างรีบวิ่งกลับไปยังวาสนาทันทีด้วยความตกใจ
“พี่วาสคะ ลูกค้าโต๊ะนั้น...” หญิงสาวชี้มือไปยังโซนที่ตัวเองรับผิดชอบด้วยท่าทางตระหนก
“มีอะไรเหรอ” วาสนาขมวดคิ้วแปลกใจ
“รู้สึกเหมือนโต๊ะนั้น จะมี...จะมี..” ท่าทางของนาราทำให้วาสนานึกบางอย่างได้ จึงปล่อยยิ้มกว้างออกมาแล้วดึงนาราเข้าไปยังหลังร้าน
“พี่วาสพาฉันมาตรงนี้ทำไมคะ”
“ฉันลืมบอกไป ว่าที่ร้านของเราอนุญาตให้ลูกค้าเสพสารเสพติดได้ เธอก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นละกันนะ ปล่อยให้ลูกค้ามีความสุขไป หน้าที่ของเธอคือบริการแขกให้เขาประทับใจมากที่สุด”
“พี่วาสหมายถึง...ใครจะเสพยาในนี้ก็ได้งั้นเหรอคะ” นาราเริ่มเก็บรายละเอียดพร้อมหัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เธอไม่อยากนึกว่าถ้าทินธรเข้ามาเห็นจะเกิดอะไรขึ้น คนอย่างเขาไม่มีวันปล่อยให้เตมินทร์ทำอะไรเลว ๆ อย่างนี้แน่นอน และการตัดสินใจในครั้งนี้ นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของเธอ
“แต่เธอไม่ต้องกลัวหรอกนะ พนักงานอย่างเรามีหน้าที่ทำตามคำสั่งเจ้าของร้าน แค่เธอทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ตั้งใจเก็บเงิน ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด เท่านั้นก็พอ” นารากำมือแน่น นึกเจ็บใจแทนทินธรและชื่อเสียงตระกูลวายุภักษ์ ที่มีคนอย่างเตมินทร์คอยทำลายอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวพยักหน้ารับ แล้วเบี่ยงตัวไปยังโซนที่รับผิดชอบ หญิงสาวเลื่อนสายตามองลูกค้าคนอื่น ๆ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ดื่มด่ำอยู่กับสารเสพติดอย่างไม่ปิดบัง ทำราวกับบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย
“ไม่คิดเลย ว่าคุณเตมินทร์จะทำอะไรเลว ๆ ได้ถึงขนาดนี้” หญิงสาวคิดในใจ พลางทำหน้าที่ของตัวเองอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง และวันนั้น หญิงสาวตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในร้านเพื่อเก็บหลักฐานการกระทำผิดของเตมินทร์ให้มากที่สุด แล้วนำไปมอบให้กับทินธร
“ห้องนี้อยู่ริมสุด ไม่ค่อยเสียงดังเท่าไหร่ เธออยู่ได้ไหม” วาสนาเดินนำหญิงสาวที่หอบเสื้อผ้ามาเต็มกระเป๋า ก่อนสายตาของนาราจะเลื่อนมองด้านในห้อง แล้วพยักหน้ารับ
“อยู่ได้ค่ะ”
“ถ้างั้นก็ตามสบายเลยแล้วกัน เดี๋ยวสองทุ่มพี่ให้คนมาเรียก”
“ขอบคุณค่ะ” นารายกมือไหว้ แล้วตัดสินใจปิดประตูห้อง หันไปจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนแสงสว่างจากมือถือของเธอจะทำให้นาราหันไปสังเกตเห็น แล้วเอื้อมไปกดรับ
“ทำไมพี่โทรไปแล้วไม่ค่อยรับสายเลยล่ะ รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงมากแค่ไหน นี่ถ้านาไม่รับสายพี่อีก พี่จะโทรแจ้งตำรวจแล้วนะ” เสียงกระวนกระวายใจของทินธรดังขึ้น ทำให้นารายิ้มกว้างออกมา
“นาขอโทษค่ะ พอดีนาปิดเสียงไว้ นี่ก็เพิ่งไปขนเสื้อผ้ามา” ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นาขนเสื้อผ้าไปไหน นาพูดอีกทีสิ”
“ขนมาอยู่ที่ห้องพัก ในร้านของคุณเตมินทร์นี่แหละค่ะ”
“นารู้ไหมว่าเสี่ยงแค่ไหน นาเก็บเสื้อผ้าออกมาตอนนี้เลย ยังไงพี่ก็ไม่ยอมให้นาเสี่ยงขนาดนั้น” เสียงของทินธรสั่นเครือด้วยความเป็นห่วง ก่อนหญิงสาวจะรีบพูดขึ้น
“พี่ทินใจเย็น ๆ แล้วฟังนาก่อนนะคะ ตอนนี้นาเข้ามาเป็นพนักงานในร้านได้แล้ว และนาพยายามจะเก็บหลักฐานทั้งหมด ถ้าหากนาไม่ย้ายเข้ามาอยู่ในร้าน นาจะรู้ได้ยังไงว่าเขาทำอะไรผิดบ้าง”
“แต่ว่าพี่เป็นห่วงนา” หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมา ก่อนจะตั้งสติแล้วพูดกับแฟนหนุ่มอีกครั้งด้วยความตั้งมั่น
“การจะเข้ามาเป็นพนักงานในร้านไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ มีขั้นตอนเข้มงวด ใครจะเข้าจะออกต้องผ่านขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย คุณเตมินทร์ค่อนข้างรัดกุมพอสมควรกับการเลือกคนเข้าทำงาน โชคดีที่นาเจอกับพี่วาสนา เขาเมตตาและเอ็นดูนาก็เลยรับเข้าทำงานเลย และนี่ก็ถือเป็นโอกาสสุดท้ายที่นาจะต้องเก็บหลักฐานให้มากที่สุด หากนาไม่ย้ายเข้ามา แล้วทำตัวเป็นพวกเดียวกับเขา นาจะสืบต่อไปได้ยังไงล่ะคะ พี่ทินเชื่อใจนานะ ว่านาทำได้ และนาต้องทำให้ได้ เพื่อพี่ทินค่ะ” หญิงสาวพูดด้วยความมั่นใจ ก่อนปลายสายจะนิ่งเงียบไป
