บทที่ 13 แอริน
ทินธรยังคงเข้าทำงานในบริษัทเป็นปกติ พร้อมเอกสารกองใหญ่วางอยู่ด้านข้าง ชายหนุ่มตั้งมั่นทำผลงานให้บอร์ดบริหารเห็นถึงสามารถ ก่อนเสียงเคาะประตูห้องทำงานจะดังขึ้นเป็นจังหวะ ให้เขาละหน้าจอคอมฯ แล้วหันมองไปยังผู้มาเยือนสองเท้าของแอรินก้าวเข้ามาพร้อมถ้วยกาแฟร้อน ๆ ใบหน้าและรูปร่างอรชรของเลขาสาว ทำให้สายตากรุ้มกริ่มของทินธรเผยออกมาอย่างพอใจ เขาเอนกายพิงเก้าอี้ แล้วปล่อยยิ้มกว้างออกมา
“ทำไมวันนี้เอากาแฟมาให้ผมช้าจัง” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พอดีฉันติดงานด่วนน่ะค่ะ จะให้แม่บ้านเอามาให้ก็กลัวว่าจะดูแลคุณทินไม่ดีพอ” น้ำเสียงอ่อนหวานของอีกฝ่ายทำให้ทินธรตัดสินใจลุกขึ้นมาดึงมือเลขาสาวนั่งยังโซฟาตัวใหญ่ด้านหน้า
“ก็จริง..แม่บ้านจะดูแลผมดีเหมือนคุณได้ยังไงกัน จริงไหม” เขาไม่ถามเปล่า หากแต่ลูบไปที่ใบหน้าของเลขาด้วยความเคยชิน
“เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าค่ะ” แอรินหันไปยังประตูทางเข้าด้วยความกังวล เพราะวีรดาขึ้นชื่อว่าเป็นจงอางหวงไข่ เธอหวงแหนลูกชายชนิดที่ว่าไม่ให้พนักงานผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้
“นอกจากคุณแล้ว ไม่มีใครมาหาผมเวลานี้หรอก” เขากระซิบให้ความมั่นใจ พลันหอมแก้มหญิงสาวในทันที ก่อนเธอจะเบี่ยงตัวหลบ แล้วถามบางอย่างขึ้นมา
“ทำไมพักนี้คุณทินมีเวลาให้ฉันล่ะค่ะ” ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวขึ้นมาหอมแล้วปล่อยยิ้มกว้าง
“ไม่ดีเหรอ”
“ก็ดีค่ะ แต่ฉันอยากได้เวลาจากคุณทินมากกว่านี้”
“ผมจะพยายามหาเวลาอยู่กับคุณละกัน เอางี้ดีไหม วันนี้ผมจะไปค้างคอนโดฯ ของคุณดีไหม” เขาพูดพร้อมสายตาเป็นประกายมีความหมาย พร้อมรอยยิ้มหญิงสาวแสดงออกมาด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุด
“คุณทินพูดจริงนะคะ ไม่ได้หลอกฉันใช่ไหมคะ” เขาส่ายศีรษะแล้วหอมแก้มเธออย่างถนอม
“ผมเคยหลอกคุณด้วยเหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนหญิงสาวจะทำหน้างอเมื่อนึกถึงนาราแฟนสาวของเขา
“แต่คุณก็ผิดนัดฉันบ่อย ๆ นี่คะ ทุกครั้งที่นาราโทรหา คุณไม่เคยปฏิเสธเธอเลยสักครั้ง กลับกันฉันต้องเป็นฝ่ายรอคุณทุกที” ทินธรยังคงยิ้มอ่อนโยน พลันยกมือลูบศีรษะหญิงสาวอย่างถนอม แล้วจับปลายคางหญิงสาวเบา ๆ
“แต่นอกเหนือจากนาราแล้ว ผมก็มีคุณแค่คนเดียว ไม่ได้มีใครเพิ่มเสียหน่อย คุณน่าจะดีใจนะ”
“จะดีใจมากกว่านี้ค่ะ ถ้าฉันได้เป็นที่หนึ่ง จริง ๆ แล้วนาราก็ไม่ใช่คนโดดเด่นอะไรมากนัก ฉันเชื่อว่าฉันสามารถเคียงข้างคุณได้ดีกว่าเธอแน่ค่ะ” แอรินต่อรอง ก่อนชายหนุ่มจะถอนหายใจ แล้วลุกขึ้นเดินกลับมายังเก้าอี้ทำงาน และนั่นทำให้แอรินรับรู้ถึงความไม่พอใจลึก ๆ ของทินธร เธอจึงปั้นหน้ายิ้ม แล้วเดินตามไปจับมือเขาแนบแน่น
“ฉันขอโทษนะคะ ที่พูดถึงนาราแบบนั้น” เขาทำเป็นหยิบเอกสารขึ้นมาเซ็นโดยไม่ตอบโต้กับอีกฝ่าย ก่อนหญิงสาวจะก้มหน้าลงหอมแก้ม
“เป็นการไถ่โทษที่ฉันพูดไม่คิด วันนี้ฉันจะดูแลคุณอย่างดี จะไม่ทำให้คุณต้องเหนื่อยเลยค่ะ” หญิงสาวพูดพลางเลื่อนมือมายังแผงอกของเขาเป็นการยั่วยวน ก่อนรอยยิ้มพอใจของทินธรจะเผยออกมา
“ถ้าคุณรับปากว่าจะไม่พูดถึงนาราแบบนั้นอีก ผมก็จะไปค้างคอนโดฯ ของคุณ ให้คุณช่วยดูแลผม”
“ฉันดีใจที่สุดเลยค่ะ ที่คุณทินยอมเจียดเวลา” หญิงสาวพูดพลางหอมแก้มชายหนุ่มทิ้งท้าย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ความสัมพันธ์ของทินธรและเลขาสาวเป็นไปอย่างลับ ๆ มานานนับปี โดยไม่มีใครรู้
ภายในสถานบันเทิงของเตมินทร์ ลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามาในร้าน วาสนาจึงให้นาราไปบริการโซนฝั่งซ้าย ก่อนจะแจ้งรายละเอียดงานคร่าว ๆ ให้หญิงสาวฟัง
“เธอดูแลโต๊ะโซนนี้ไปแล้วกันนะ และหากมีปัญหาอะไรก็ไปเรียกฉันที่ตรงนั้นได้เลย” หญิงสาวชี้มือไปยังมุมหนึ่งของร้าน ที่มีสัญลักษณ์ไฟสีเขียวเปิดอยู่
“ฉันจะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดค่ะ”
“โอเค งั้นเตรียมรับลูกค้าได้เลย” สิ้นเสียงของวาสนา ลูกค้าวัยกลางคนจำนวนสามคนเดินเข้ามานั่ง และนาราก็เข้าไปบริการทันที ท่ามกลางสายตาของวาสนาที่จับจ้องอยู่ไม่ห่าง เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เธอจึงเดินกลับไปยังมุมของตัวเอง เพื่อดูแลความเรียบร้อยภายในร้าน
เตมินทร์เท้าคางนั่งดูเอกสารทางการเงินของร้าน พร้อมยิ้มกว้างออกมาด้วยความพอใจ แล้วหันไปหาแดนเทพ คนสนิทที่ไว้ใจได้เพียงคนเดียวในตอนนี้
“เดือนนี้รายรับไม่เลวเลยนะ ถ้าหากว่าเราสามารถทำกำไรอยู่ในระดับนี้ได้ตลอด ผมขอเวลาเพียงสามปีเท่านั้น ผมจะนำเงินทั้งหมดไปลงทุนเปิดบริษัทแข่งกับพ่อ” ก่อนแดนเทพชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อรู้ถึงความคิดแท้จริงของอีกฝ่าย
“คุณเตมินทร์ครับ ทำแบบนี้มันจะดีเหรอครับ”
“ผมอยากพิสูจน์ให้พ่อเห็น ว่าผมไม่ได้ไร้ความสามารถเหมือนที่สองแม่ลูกนั้นคอยกรอกหูพ่อมาตลอด คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอ ว่าที่ผมตกอยู่สภาพแบบนี้มันเพราะใคร” แดนเทพเป็นคนเก่าแก่ของบ้านวายุภักษ์ ที่เห็นทุกอย่างมาตั้งแต่แรกเริ่ม จึงยอมสละตำแหน่งสูง ๆ ในบริษัท ก้าวเท้าออกมาพร้อมกับเตมินทร์
