บทที่ 10 กล่อมนารา
“ช้อยเธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ” วีรดาพูดดัก
“ค่ะคุณหญิง” สิ้นเสียงของหญิงกลางคน แม่บ้านก็เบี่ยงตัวเดินจากไป ก่อนวีรดาจะพูดบางอย่างออกมา
“เอาเป็นว่าครั้งนั้นฉันขอโทษละกัน ฉันกลับมานอนคิดอยู่หลายวัน และรู้สึกไม่สบายใจมาก เลยให้ทินเขาตามเธอกลับมาอีกครั้ง เพื่อเลี้ยงอาหารเป็นการไถ่โทษ หวังว่าเธอจะไม่ถือสาฉันนะ” นาราได้ยินดังนั้นจึงปล่อยยิ้มอ่อนหวานออกมา
“หนูไม่กล้าถือสาคุณแม่หรอกค่ะ อีกอย่างวันนี้อาหารก็อร่อยมาก ๆ ด้วย” นาราพูดจบจึงตักบัวลอยเข้าปากช้า ๆ ด้วยกิริยาผ่อนคลาย ก่อนวีรดาจะเอ่ยบางอย่างออกมา
“พักนี้ทินเขาทำงานหนักมาก พอมีเวลาว่างนิดหน่อยก็จะถือโอกาสไปพบกับเธอ เขามักจะพูดถึงเธอเสมอเลยนะว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด” หญิงสาวรู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่วีรดาพูด หัวใจบอบบางเบาหวิวลอยขึ้นมาเพราะ ผู้ชายอบอุ่นอย่างทินธรหาไม่ได้ง่าย ๆ ในโลกปัจจุบัน
“แต่ทินเขาก็มีเรื่องเครียดมากมายที่เก็บไว้ โดยที่เธอเองอาจไม่รู้ ฉันอยากฝากให้เธอคอยสังเกตเขาหน่อยก็ดี”
“พี่ทินเครียดเรื่องงานเหรอคะ”
“ก็ด้วย แต่หลัก ๆ เขาเครียดเรื่องเตมินทร์” นาราชะงักนิ่ง ก่อนวีรดาจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักใจ
“เตมินทร์เป็นลูกชายแท้ ๆ ของคุณไตรภพ มันคิดว่ามันมีสายเลือดของคุณไตรภพอยู่เต็มตัว จะทำอะไรก็ทำ โดยไม่สนใจความรู้สึกของใคร ทุกวันนี้ทินเขาก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างแทนเตมินทร์ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้ทินเขากังวลใจมาก ๆ”
“กังวลเกี่ยวกับคุณเตมินทร์งั้นเหรอคะ”
“เพราะเตมินทร์เป็นคนทำอะไรไม่คิด เอาแต่ใจและชอบเอาชนะ นี่ก็ไปเปิดสถานบันเทิงอีก” หญิงกลางคนพูดพลางสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหนักใจเช่นเดิม
“เห็นทินเปรย ๆ ว่าจะหาคนที่ไว้ใจได้เข้าไปสอดแนม ดูว่าด้านในมีสิ่งผิดกฎหมายอะไรหรือเปล่า แต่ยังก็หาคนที่ไว้ใจไม่ได้ ด้วยเพราะเตมินทร์เป็นคนฉลาด ขืนเอาคนที่ไว้ใจไม่ได้เข้าไปสอดแนม ถ้าถูกจับได้ทินธรจะลำบากกว่านี้” หญิงสาวเอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความงุนงง
“แล้วพี่ทินจะส่งคนไปสอดแนมสถานบันเทิงนั้นทำไมคะ นาไม่เห็นความจำเป็น ว่าเราต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับคนแบบนั้นเลย” หญิงสาวเผลอพูดออกมาด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนวีรดาจะถอนหายใจแล้วจับจ้องมองตรงมายังหญิงสาวด้วยสายตาตั้งมั่น
“เธอยังไม่รู้อะไร ทุกการกระทำของเตมินทร์จะมีผลกระทบต่อบริษัทเสมอ การที่เขาเปิดสถานบันเทิงไม่ผิดหรอก แต่คนอย่างเตมินทร์มันไม่ทำอะไรง่าย ๆ แบบนั้นแน่ ฉันรู้นิสัยมันดี ทินเขาก็แค่อยากตัดไฟแต่ต้นลม ถ้าหาคนเข้าไปสอดแนมไม่ได้เขาก็จะเข้าไปเอง ฉันห้ามยังไงก็ไม่ฟัง” นาราได้ยินดังนั้น สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน รู้สึกเป็นห่วงแฟนหนุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะหันไปยังวีรดา
“หนูเคยเห็นคุณเตมินทร์ผ่าน ๆ เขาเป็นคนน่ากลัวยังไงไม่รู้ หากพี่ทินเข้าไปในสถานที่นั้น ยังไงก็ไม่รอดสายตาเขาแน่ ๆ ค่ะ” นาราก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วเสนอความคิด
“จะทำยังไงได้ล่ะ ทินเขาก็ไม่ไว้ใจใครเลย พนักงานในบริษัทหลายคนก็ยังนับถือเตมินทร์อยู่มาก กระทั่งแม่บ้านที่เธอเห็นเมื่อครู่ นั่นก็คนของเตมินทร์ทั้งนั้น หูตาของเตมินทร์มีมากมายนัก จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไว้ใจใครไม่ได้สักคน ไม่ใช่ว่าฉันไม่ห้ามลูกชายหรอกนะ แต่ฉันห้ามแล้วเขาก็ไม่ฟัง ทินกลัวแต่ว่าเตมินทร์จะทำให้ตระกูลเสียชื่อเสียอีก” วีรดาพูดพลางจับตามองไปยังหญิงสาว พร้อมแอบยิ้มมุมปากอย่างคนมีแผนการ ขณะที่นารานั่งนิ่ง เลื่อนสายตาสั่นไหวไปมาด้วยความเป็นห่วงทินธร อย่างถึงที่สุด
“ทินเขาเป็นคนดีมาก อะไรที่ไม่ถูกต้อง เขาจะไม่ยอมเด็ดขาด ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขาไม่มีวันปล่อยให้เตมินทร์ทำอะไรตามใจตัวเองอีก” หญิงกลางคนสังเกตท่าทางของนาราครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ฉันขอโทษเธอด้วยนะ ที่มาพูดอะไรแบบนี้ให้เธอไม่สบายใจไปด้วย แต่ฉันไม่สามารถระบายเรื่องนี้ให้ใครฟังได้อีก เธอสัญญากับฉันนะ ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ให้ทินฟัง เพราะเขาไม่คงไม่อยากให้เธอต้องกังวล”
“แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะคะ คุณเตมินทร์เขาไม่ใช่คนดีแน่ ๆ เขาอาจทำอะไรมากกว่านี้ก็ได้ ยิ่งถ้ารู้ว่าพี่ทินไปวุ่นวายกับเขาแบบนั้น เขาอาจจะ...” นาราพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก
“เพราะฉันรู้นิสัยของเตมินทร์ดีกว่าใครไง ฉันถึงต้องหนักใจกับเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา พยายามพูดกับทินแล้ว แต่เขาก็ไม่ฟังเลย ให้เหตุผลเพียงแต่ว่าไม่อยากปล่อยให้เตมินทร์ทำร้ายคุณไตรภพ หรือแม้กระทั่งชื่อเสียงของบริษัทอีก” ระหว่างนั้นท่าทางของนาราก็เปลี่ยนไป เธอนิ่งเงียบลงผิดปกติ เพราะเฝ้าวนเวียนคิดหาทางช่วยแฟนหนุ่ม ท่ามกลางสายตาของวีรดาที่มองอยู่ห่าง ๆ
ทั้งสองนั่งคุยกันต่ออีกสักระยะ ก่อนเสียงรถของทินธรจะเลี้ยวเข้ามารับนารากลับห้องพัก สองแม่ลูกมองหน้ากันพลางพยักหน้าส่งสัญญาณบางอย่างที่รู้กันอยู่เพียงสองคน
“นากลับก่อนนะคะ อาหารวันนี้อร่อยมากจริง ๆ ค่ะ” รอยยิ้มของหญิงสาวพูดออกมาอย่างจริงใจพร้อมยกมือไหว้ ก่อนวีรดาจะรับไหว้ด้วยความเมตตา
