๑ กลิ่นกายของเธอ (๑)
๑
กลิ่นกายของเธอ
วิศวกรหนุ่มเดินฮัมเพลงออกมาจากลิฟต์พลางอมยิ้มอย่างมีความสุข ชั้นบนสุดของคอนโดหรูใจกลางเมืองที่ราคาเริ่มต้นก็สูงถึงเก้าหลักทำให้ทั้งชั้นมีเพียงนักธุรกิจซึ่งมีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่าแปดหลักมาพักอาศัย ความหรูหราไม่ได้มีเพียงในห้องเพราะตั้งแต่ลิฟต์ก็เป็นส่วนตัวถูกทาด้วยสีทองวาดลวดลายไทยให้ดูสากลแต่ยังคงเอกลักษณ์ของประเทศตนเองเอาไว้ ทางเดินปูด้วยพรมนิ่มจนสามารถนอนเล่นได้ข้างผนังมีไฟดวงเล็กส่องสว่างเพดานประดับด้วยโคมระย้าราวปราสาทในยุโรป
ทางเดินมีกลิ่นหอมสะอาดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ก่อนร่างสูงจะหยุดยืนหน้าห้องของตนใช้นิ้วมือแสกนค่อยทาบคีย์การ์ดลงอีกรอบประตูจึงเปิดออกเดินเข้ามาพบห้องโถงกลมซึ่งมีโต๊ะหินอ่อนตั้งไว้ ด้านบนวางแจกันดอกลิลลี่ส่งกลิ่นหอมทั่วห้อง
และเมื่อมาถึงห้องกลางจะมีการแยกห้องเป็นสองส่วนทางขวาเป็นห้องนอนหลักที่ร่างสูงใช้สำหรับหลับนอน ส่วนด้านซ้ายเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนและห้องทำอาหารยังรวมห้องนอนเล็กซึ่งไม่มีคนใช้งานอีกด้วย ตัวโถงทางเดินถูกทำให้เป็นประตูโค้งเหมือนซุ้มสีไฟค่อนข้างนวลสบายตา
ดวงตากลมกวาดมองทั่วห้องนั่งเล่นที่ผนังเป็นกระจกเพื่อให้มองเห็นทิวทัศน์โดยรอบ มองเห็นท้องฟ้าและลานด้านล่างได้กว้างและชัดมากขึ้น โซฟายาวถูกวางไว้ทั้งสี่ด้านโดยมีโต๊ะกลางขนาดใหญ่ซึ่งส่วนมากเขาก็ไม่ค่อยได้ใช้
ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปากเมื่อเดินไปยังพื้นที่ครัวพบร่างบางกำลังขะมักเขม้นกับการทำอาหารเย็นไม่รับรู้การมาของใครอีกคนหรือบางทีเธออาจจะรู้แต่ไม่อยากจะหันมาทักทายหรือเสวนาด้วยและนั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มค่อยย่องไปข้างหลังก่อนจะโอบรอบเอวเล็กดึงกายให้แนบชิดตนแล้วโน้มใบหน้าไปจุมพิตข้างแก้มนุ่มอย่างเป็นเจ้าของ
“นี่คุณ!” เธอหันมาเหวใส่เขาเสียงเขียวพยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดที่แผดเผาตนเองแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะนอกจากจะไม่หลุดแล้วเขายังรัดแน่นขึ้นอีกด้วย
ไม่รู้ว่าคนหรืองูเหลือมกันแน่รัดแน่นเหลือเกิน
“ขอกอดหน่อยไม่ได้เหรอ กลับมาจากที่ทำงานเหนื่อยมากเลย” ทำเสียงอ่อนหวานข้างหูของคนตัวเล็กพลางสูดดมความหอมที่ซอกคอขาวซึ่งบัดนี้มีรอยสีกุหลาบจางๆ อยู่ด้านหลังแน่นอนว่าคนทำรอยจะเป็นใครไม่ได้นอกจากคนที่กำลังกอดรัดเจ้าของร่างอยู่ในขณะนี้
“มันร้อน”
“หือ พี่กอดแปบเดียวหนูร้อนเลยเหรอคะ มาเดี๋ยวพี่ช่วยถอดเสื้อ” ไม่พูดเปล่ามือหนาเลื่อนไปจับที่ชายเสื้อยืดทำเหมือนจะถอดจนหล่อนต้องคว้ามือเขาเอาไว้ก่อนจะหันมาเผชิญหน้าเพื่อส่งสายตาดุปรามแต่ดูเหมือนว่าการกระทำครั้งนี้จะผิดมหันเพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ร่างสูงช่วงชิงความหวานจากริมฝีปากของเธอได้อย่างถนัด
เขาดูดกลืนความหวานทันทีจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวช่างเป็นนักล่าที่รวดเร็วจนเหยื่ออย่างหล่อนไม่สามารถขัดขืนได้ มือหนายกขึ้นมาจับใบหน้าหวานเพื่อให้เงยรับสัมผัสก่อนจะเอียงเพื่อปรับองศาแล้วก้าวเข้าไปชิดร่างบางมากขึ้นจนเธอต้องถอยจนบั้นท้ายแตะโดนเคาท์เตอร์ครัวปิดกั้นทางหนี
“อื้อ” เสียงการสัมผัสดังก้องหูจนต้องหลับตาไม่อยากรับรู้ถึงเรื่องราวตรงหน้า
“หวานจังเลยเมียพี่”
เกลียดสถานะที่เขาจงใจยัดเยียดแต่สิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าคือตัวเธอเองกลับโอนอ่อนผ่อนตามไม่มีท่าทีจะห้ามปรามอย่างจริงจังจนชายหนุ่มได้ใจ
กี่ครั้งแล้วที่ยอมให้เชยชมร่างกาย
กี่ครั้งแล้วที่ตกเป็นรองให้เขาโดยได้เพียงสถานะคู่นอนชั่วคราว
โดนย่ำยีหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ต้องกล้ำกลืนเหมือนไม่เจ็บช้ำด้วยใบหน้าเรียบเฉยที่แสดงออกเป็นนิจจนผู้คนเข้าใจว่าด้านชาไร้ความรู้สึกทว่าแท้จริงใครเล่าจะรู้ว่าหัวใจของเธอมันแตกออกเป็นเสี่ยงจนไม่สามารถประกอบกลับมาเป็นดังเดิมได้
เขาจูบหล่อนอย่างไม่รู้จักเบื่อราวเป็นขนมหวานที่ขาดไม่ได้ ยิ่งกินก็ยิ่งมีพลังงานจนกระทั่งได้กลิ่นเหม็นไหม้ถึงละออกจากความนุ่มหยุ่นตรงหน้าเหลือบไปมองอาหารก็ตกใจ
“ไข่ไหม้แล้ว” เธอรีบหันไปมองก่อนจะยกกระทะไปยังอ่างล้างจานเทอาหารใส่ถุงขยะสำหรับทิ้งของเปียกก่อนจะรีบล้างกระทะทันที
“ก็บอกแล้วว่าถ้าทำกับข้าวอย่าเข้ามา” หันมาบ่นเขาอย่างไม่จริงจังนักทำให้คนทำผิดไม่สำนึกแต่ถึงเธอจะด่าหรือตีเขามากกว่านี้ร่างสูงก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่ดี
ใบหน้าคมยกยิ้มแล้วเดินเข้าไปกอดเอวหล่อนอีกครั้งไม่รู้ทำไมถึงชอบสัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายยิ่งนัก เรียกได้ว่าเสพติดก็ไม่ผิด สูดดมความหอมนานเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ อยากจะหิ้วไปด้วยทุกที่มองไม่ให้คลาดสายตาเพราะกลัวว่าใครจะมาขโมยไป
“เกะกะจริง ไปรอในห้องหรือไม่ก็ไปอาบน้ำไม่ได้หรือไง เหม็นจะแย่” เมื่อล้างกระทะเสร็จก็เดินไปที่เตาแต่เพราะมีร่างสูงคอยเดินตามทั้งมือก็ยังไม่ละจากเอวจึงรู้สึกอึดอัดทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ กลัวเขาจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตนเองว่ามันดังขนาดไหนจึงพยายามไล่ให้ไปไกลเพื่อกลบเกลื่อนอาการสั่นไหวต่อการกระทำเหล่านั้นของร่างสูง
“ไม่เห็นเหม็นเลย แต่ถ้าหนูบอกให้อาบพี่อาบก็ได้ค่ะ ฟอด” โน้มมาหอมแก้มเป็นการปิดท้ายค่อยผละออกจากคนตัวเล็กเดินไปยังโถงด้านขวาปล่อยให้เธอถอนหายใจพลางยกมือขึ้นทาบอก กลัวว่าสักวันจะเป็นโรคหัวใจเหลือเกิน
ใบหน้าหวานหันกลับมาจดจ่ออยู่กับการทำอาหารอีกครั้งพลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อย
ไม่อยากอยู่ในสถานะนี้เลยสักนิด ต้องหลบซ่อนเพราะผู้ชายที่เผลอมีสัมพันธ์ด้วยคือ..ว่าที่พี่เขย
ใช่ เขาเป็นคนรักของพี่สาวแต่จะเรียกว่าคนรักก็ไม่เต็มปากนักเนื่องจากมีเพียงการหมั้นหมายปากเปล่าจากทางผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
ตืด ตืด ตืด
โทรศัพท์ที่วางอยู่บนเคาท์เตอร์สั่นเสียงดังจนเธอต้องละมือจากงานที่กำลังทำเพื่อกดรับสาย มองดูชื่อของคนโทรเข้าก็สูดลมหายใจเข้าปอดข่มเสียงไม่ให้สั่นก่อนจะยกขึ้นแนบหู
“ค่ะคุณแม่”
‘วันนี้แกจะกลับบ้านไหม’ น้ำเสียงไม่ได้แสดงถึงความห่วงใยอดรู้สึกน้อยใจไม่ได้ เธอไม่ได้กลับบ้านมากว่าหนึ่งสัปดาห์แต่มารดาเพิ่งจะโทรมาถามวันนี้ เหมาะสมแล้วที่คนในบ้านจะเรียกหล่อนว่าลูกชัง
“ไม่ได้กลับค่ะ เอมมีงาน” บอกเสียงเบาทั้งใบหน้าหม่นหมองด้วยไม่ต้องการโกหกบุพการีแต่จะให้พูดได้อย่างไรเล่าว่าตนเองมาค้างอ้างแรมกับผู้ชายคนอื่นที่นอกจากจะไม่ใช่แฟนแล้วยังเป็นคนที่มารดาหมายตาจะให้แต่งกับพี่สาวที่เป็นลูกรักของท่านอีก
‘ย่ะ บ้านช่องไม่รู้จักกลับจำทางกลับได้หรือเปล่าก็ไม่รู้’ กลั้นใจฟังประโยคประชดประชันจนกระทั่งท่านวางสายไปจึงลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบา เงยหน้าขึ้นมองเพดานพยายามกระพริบตาเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยมีช่วงเวลาไหนเลยที่ได้รับความรักจากคนเป็นแม่ แค่อ้อมกอดแสนอบอุ่นที่อยากได้ก็ไม่มี ต่างจากพี่สาวที่ท่านชมไม่ขาดปาก เอ่ยยกยอราวกับว่าไม่มีลูกอีกคนอยู่ในบ้านหลังนั้น งานวันแม่ของโรงเรียนท่านมักจะบอกว่าติดธุระไปไม่ได้ให้แม่นมไปแทน
เรียนโรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้านตั้งแต่ประถมจนกระทั่งมัธยมที่บิดาส่งเรียนโรงเรียนนานาชาติคราวนั้นจำได้ว่าได้ยินเสียงทะเลาะออกมาจากห้องทำงานของบิดาแต่หล่อนไม่กล้าแอบฟังกลัวบทสนทนาที่เกิดขึ้นจะเกี่ยวกับตนเอง
วันเกิดทุกปีไม่เคยจัดให้เธอต่างจากพี่สาวที่ถึงกับเนรมิตบ้านให้เป็นโรงแรมเชิญทั้งเพื่อนและญาติคนรู้จักมาจนเต็มไปหมด นึกน้อยใจจนกลายเป็นความเคยชินแต่ก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไม เหตุใดจึงได้เฉยชากับลูกสาวคนนี้ยิ่งนัก
ร่างบางเรียกกำลังใจให้ตนเองอีกครั้งก่อนลงมือทำอาหารเย็นอย่างตั้งใจไร้คนรบกวนซึ่งก็เป็นการดีเพราะทุกอย่างจะได้เสร็จพร้อมตั้งโต๊ะตามเวลา
เมื่อเวลาเคลื่อนมาถึงสิบแปดนาฬิกาสามสิบนาทีบนโต๊ะอาหารก็ถูกจัดวางอย่างสวยงามทั้งมัสมั่นไก่ ผัดผักรวมมิตรและไข่เจียวใส่ผักชะอมพร้อมน้ำพริกกะปิที่ทำเอาใส่ตู้เย็นไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อน เดินไปตักข้าวสวยมาวางไว้สองจานก่อนจะตรงไปที่ห้องนอนของชายหนุ่ม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“กับข้าวเสร็จแล้วนะ” เคาะประตูเรียกแล้วหันหลังกลับทันทีไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะออกมาหรือไม่ แต่ยังก้าวไม่ทันจะถึงโถงกลมกลางห้องเอวบางก็โดนคว้าเข้าไปก่อนจะหมุนให้หันหน้าไปเผชิญกับเขาแล้วก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากบางทันที
บดคลึงอย่างอ่อนโยนก่อนจะเพิ่มความเร้าร้อนมากขึ้นแล้วเปิดปากหล่อนด้วยการจับคางบีบจนอีกฝ่ายต้องยอมให้ลิ้นของเขาเข้ามาชิมความหวานอย่างไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ เธอมัวเมาไปกลับสิ่งเร้าจนคว้าเอวสอบพลางบดเบียนเข้าหาด้วยความลืมตัว
ไม่รู้เวลาเดินผ่านไปนานเท่าไหร่กว่าที่ชายหนุ่มจะยอมผละออกจากร่างบางที่นับวันก็ยิ่งน่าหลงใหลมากกว่าเดิม
“พี่เพิ่งแปรงฟันมาเลยอยากให้หนูพิสูจน์ว่าสะอาดไหม” สรรพนามยามเรียกกันเวลาอยู่สองคนมันจักจี้หัวใจจนหล่อนต้องส่งสายตาค้อนให้ร่างสูงแล้วหันหลังเดินไปยังโต๊ะอาหารทันทีไม่อยากให้เขาเห็นแก้มที่ร้อนผ่าวของตนเอง
ถึงจูบกันหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยชินสักที หัวใจทำงานหนักจนกลัวว่ามันจะวายตายเสียเดี๋ยวนี้
อาหารบนโต๊ะเป็นที่ถูกปากของวิศวกรผู้โหมงานหนักเป็นอย่างยิ่ง เขากินจนไม่ได้ขยับปากพูดอะไรกับเธอเลยกระทั่งอาหารที่เคยเต็มจานหมดจนไม่เหลือน้ำให้ซดด้วยซ้ำ หล่อนแอบยิ้มเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มชื่นชอบรสมือของตน
ไม่เสียแรงที่เป็นลูกมือในครัวให้แม่นมฝึกสอนการทำอาหารตั้งแต่เด็ก
“เดี๋ยวพี่ช่วยเก็บ” ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่กวนประสาทกันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอจะเปลี่ยนเป็นคนละคนได้ขนาดนี้ ความอ่อนโยนทั้งการกระทำและวาจาทำเอาเธอแทบเสียศูนย์ ทว่าเมื่อคิดถึงสถานะของหล่อนและร่างสูงความอบอุ่นในหัวใจก็พลันมลายทันที
ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะครองรักกัน ใบหน้าหวานก้มลงเก็บจานนำไปวางที่อ่างเพื่อล้างโดยไม่ปริปากพูดอะไรกระทั่งชายหนุ่มเดินมายืนทาบทันจากทางด้านหลัง
“ทำอะไรอีกเนี่ย” เหวใส่เขาเมื่อแขนล้ำยื่นมากักตัวของเธอเอาไว้
“พี่จะช่วยล้างจาน” บอกหน้าตายแล้วแนบชิดกับแผ่นหลังเล็กมากยิ่งขึ้นคว้าจานขึ้นมาล้างโดนมีร่างบางอยู่ในอ้อมกอด
“ถ้าจะล้างก็ล้างไปคนเดียวเลย”
“อย่าเอาเปรียบสิ ปล่อยพี่ล้างคนเดียวได้ยังไง เราต้องล้างช่วยกัน” หล่อนถอนหายใจเสียงดังเพื่อให้เขาได้ยินด้วยไม่สนใจว่าจะเสียมารยาทหรือไม่
“แต่ฉันก็ทำอาหารให้คุณกินแล้ว คุณควรจะล้างไม่ใช่เหรอ” ตามมารยาทในเมื่อหล่อนเป็นคนทำเขาก็ควรล้างจานแต่ดูเหมือนว่าอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนชายหนุ่มช่างเอาเปรียบเสียเหลือเกิน
“ก็ใช่ไง พี่กำลังจะล้าง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยฉันสิ” เขาไม่ยอมเอามือออกและยังคงตั้งใจล้างจานโดยมีเธอโดนกักกันเอาไว้ในอ้อมแขนแกร่ง
ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเพราะอยู่ด้วยกันมากว่าห้าเดือนแล้วจนแทบจะรู้ทางหนีทีไล่ทว่าหัวใจกลับไม่ยอมทำตามสมอง มันขอตักตวงความสุขเดียวที่มีจากเขาถึงรู้ว่าเป็นเพียงสถานะเลื่อนลอยไม่มีความมั่นคงก็ตาม
เป็นแค่เพียงน้องสะใภ้ที่หวังจะครอบครองหัวใจพี่เขยซึ่งไม่มีวันชายตามองเธอเลยสักครั้งเดียว..
กว่าจะจัดการงานตรงหน้าเสร็จก็ถูกคนตัวโตตอดเล็กตอดน้อยจนแทบพรุนไปทั้งตัว ใบหน้าหวานงอง้ำพลางเดินไปเปิดดูโทรทัศน์ยังห้องนั่งเล่นซึ่งกลายเป็นที่ประจำของตนเองไปแล้ว หากเป็นเมื่อหลายเดือนก่อนคงมีความเกรงใจอยู่บ้าง
แต่เมื่อถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นหายไปหมด มีแต่อยากจะผลาญเงินคนใจร้ายเล่นจนหมดเนื้อหมดตัวทว่ารู้ดีวันนั้นคงไม่มาถึง เขารวยล้นฟ้าออกอย่างนั้น
“วันนี้พี่เหนื่อยจังเลย หนูนวดตัวให้หน่อยสิ” เดินมานั่งข้างกายพลางยกแขนวางบนพนักโซฟาเป็นการโอบร่างบางกลายๆ ศีรษะก็เอียงมาซบไหล่มนอย่างออดอ้อน
“ไม่” หล่อนปฏิเสธก่อนจะกดรีโมทดูรายการเกมโชว์พยายามระงับอาการเขินอายเอาไว้ บางทีเธอก็ชินยามมีเขาอยู่ใกล้ถึงจะพยายามห้ามใจแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกินเพราะนักรบมีเสน่ห์ขนาดนี้ใครจะต้านทานไหว
“ทำไมปฏิเสธเสียงแข็งอย่างนั้นล่ะ นวดให้หน่อยนะ” เอ่ยเสียงกระเส่าพลางเปลี่ยนท่านั่งหันหน้าเข้าหาเธอแทน จ้องใบหน้าหวานนิ่งนึกถึงเมื่อหลายปีก่อนที่ดวงตากลมโตยังมีแว่นตาหนาบดบังความงาม
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีณภัสสรก็ยังน่าเอ็นดูอยู่เหมือนเดิม
“ลงไปสปาข้างล่างสิ” แสดงความคิดเห็นโดยไม่หันไปมองเขาทั้งที่รู้ตัวว่าถูกจ้องจนแก้มนวลขึ้นสีแดงระเรื่อ เธอเกลียดสายตาที่ทำราวกับจะกลืนกินของเขาเสียงเหลือเกิน
คอนโดแห่งนี้มีบริการที่ครบครันทั้งห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำ ห้องทำงาน ห้องประชุม ห้องสันทนาการ เล้าจ์หรู ห้องสปา จึงไม่แปลกที่จะมีคนมาจับจองห้องจนเต็มตั้งแต่วันที่เพิ่งเปิดตัวโครงการวันแรก อีกทั้งอยู่ย่านใจกลางเมืองใกล้ห้างสรรพสินค้าและรถไฟฟ้าสะดวกในการเดินทางอีกด้วย
“ไม่เอา พี่อยากให้เมียทำให้” สถานะที่เขากล่าวขึ้นมาทำเอาร่างบางแทบจะเขวี้ยงรีโมททิ้ง ก่อนจะหันมามองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉันไม่ใช่เมียคุณ” ปฏิเสธทั้งที่ทุกอย่างชัดเจนขนาดนี้ นักรบขยับตัวเข้าหาหล่อนพลางยกยิ้มมุมปากอย่างตัวร้ายในละครหลังข่าว