บทที่ 9 เมืองอะไร
ผู้นำทางผายมือไปข้างหน้าซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ตกแต่งด้วยผ้าม่านแพรเนื้อดีสีเขียวสลับกับสีควันบุหรี่ ตรงกลางห้องเป็นลานกว้างมีแท่นหินขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่ ผ้าที่ปูบนแท่นหินเป็นผ้าทอสีเขียวเช่นสีผ้าม่าน ผนังห้องวับวาวด้วยเพชรเม็ดเล็กๆ พลอยสีต่างๆ นิลสลับกับก้อนหินหรืออาจเป็นก้อนทองกลมๆ นีราจ้องอย่างลืมตัว ชลชาติบีบมือหล่อนเรียกสติให้อยู่กับตัว
สายตาของชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งบนแท่นหินมองมาที่ชลชาติและนีรา รอยยิ้มปรากฏบนเรียวปากหยักสีชมพู ชลชาติจ้องมองรอยยิ้มนั้นด้วยความทึ่งปนชื่นชม ผู้ชายคนนี้ยิ้มสวยมาก หน้าตาหล่อเช่นพระเอกละคร นี่คือเจ้าเมืองนี้อย่างนั้นหรือ
“เชิญนั่งตามสบายนะท่าน”
เสียงดังออกมาเมื่อชลชาติจบคำถามในใจลง นีรายิ้มแหยอีกครั้งเพราะหล่อนจ้องผู้ชายที่เชิญหล่อนนั่งตาไม่กะพริบ ความรู้สึกของหล่อนเป็นเช่นเดียวกับชลชาติ ทำไมผู้ชายคนนี้หล่อมาก รอยยิ้มก็สวยจนต้องจ้องตาค้างทีเดียว
“พวกท่านสงสัยใช่หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใดและพวกท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
คำถามนั้นดังตามมาอีก ชลชาติก้มศีรษะนิดหนึ่งยิ้มออกมาเต็มที่ นีรายิ้มฝืด หล่อนยังคงกลัวและแปลกใจกับสถานที่แห่งนี้ เมืองนี้อยู่ส่วนไหนของประเทศไทย
“ครับ ใครช่วยผมกับเพื่อนครับ”
ชลชาติเป็นคนตอบคำถามของชายหนุ่มที่นั่งบนแท่นหิน
“ข้าเอง”
เสียงที่ตอบออกมานั้นดังมาจากมุมของห้องโถงหินและชายหนุ่มก็เดินออกมาจากหลังม่านผ้าสีเขียวตามด้วยหญิงสาวร่างบาง ทั้งคู่สวมชุดสีเงินเหลือบเขียวเช่นชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนแท่นหิน นีราจ้องมองทั้งชายหนุ่มและหญิงสาว พวกเขาช่วยชีวิตหล่อนกับชลชาติอย่างนั้นหรือ
“คุณสองคนช่วยชีวิตฉันกับเพื่อนหรือคะ”
“ใช่.ข้ากับพี่ชายช่วยพวกท่านมาที่นี่”
หญิงสาวที่เดินตามชายหนุ่มเป็นคนตอบคำถามของนีรา หล่อนเดินไปนั่งแท่นหินก้อนต่ำกว่าก้อนใหญ่ทางซ้ายมือส่วนชายหนุ่มเดินไปนั่งด้านขวามือ
“ขอบคุณค่ะ”
นีรายกมือไหว้ชายหนุ่มก่อนแล้วหันมาไหว้หญิงสาว ชลชาติทำตามหล่อน
“พวกท่านรู้จักบุญคุณเยี่ยงนี้ ทำการใดไม่ผิดหวังดอก ลูกชายกับลูกสาวข้าไปพบท่านกำลังจะจมน้ำสิ้นลมแต่ชีวิตของพวกท่านยังไม่ถึงคาดจึงทำให้ลูกชายข้าเห็นพวกท่าน”
ชายที่นั่งบนแท่นหินกลางห้องโถงเอ่ยน้ำเสียงนุ่มน่าฟัง ชลชาติกะพริบตาเร็วๆ นีราหันมามองหน้าเขาเหมือนจะถามว่าหนุ่มสาวที่เดินมาเมื่อครู่คือลูกชายกับลูกสาวจริงหรือทำไมหน้าตาของผู้เป็นพ่อจึงยังไม่แก่หากว่าเป็นพี่น้องจะน่าเชื่อมากกว่า
“นามของพวกท่านว่าอย่างไร”
ผู้ที่บอกว่าเป็นพ่อเอ่ยถามนีราและมองมาที่ชลชาติแม้จะไม่คุ้นกับคำพูดแปลกๆ แต่ชลชาติก็รีบตอบคำถามนั้น
“ผมชื่อชลชาติครับ ส่วนนี่นีราครับ เราเป็นหมอครับ มาจากกรุงเทพฯ มากันแปดคน ไม่รู้ว่าเพื่อนผมอีกหกคนเป็นยังไงบ้าง”
“มีคนมาช่วยขึ้นฝั่งไปแล้ว”
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนแท่นหินซ้ายมือเอ่ยออกมา ชลชาติกับนีราหันไปมองพร้อมกันและยิ้มเกือบพร้อมกัน
“จริงหรือครับ เพื่อนผมปลอดภัยใช่มั้ยครับ”
“จริงสิ ข้าไม่โกหกท่านดอก”
“เอาละ ข้าจะให้พวกท่านชมเมืองของข้า จากนั้นข้าจะไปส่งท่านขึ้นฝั่ง ม่านเพชร ม่านแพร แม่ของเจ้าอยู่ที่ใด”
ผู้ชายที่เป็นประมุขของเมืองนี้ลุกยืน นีราสังเกตชุดของเขาตอนนี้เอง เสื้อแขนยาวถึงข้อมือสีเงินเหลือบเขียว กางเกงเข้ารูปสีเขียว มีผ้าทอสีควันบุหรี่นุ่งทับกางเกงปล่อยชายผ้าเป็นเส้นห้อยถึงเข่า ที่คอมีผ้าทอผืนยาวคล้องปล่อยชายลงสองข้างคล้ายกับคนอินเดีย ที่ศีรษะมีผ้าคาดเหมือนห่วงนักมวยสวมก่อนขึ้นชกแต่สีเส้นของผ้าเป็นสีทอง ลูกชายของประมุขสวมชุดเหมือนกันส่วนลูกสาวสวมเสื้อแขนกระบอกสีเขียวเหลือบเงินมีผ้าทอสีเงินพาดเบี่ยงที่ไหล่ ศีรษะไม่สวมห่วงผ้าเช่นผู้ชาย
การแต่งตัวแปลกไปจากคนธรรมดา นีราคิดไปถึงนวนิยายจักรๆ วงศ์ๆ ที่แต่งตัวตามเนื้อเรื่องเป็นสิ่งที่นักเขียนจิตนาการขึ้นมา ขณะนี้หล่อนหลุดเข้าไปอยู่ในละครเรื่องไหนหรือ ชลชาติแตะมือหล่อน
“นีราลุกได้แล้ว”