ตอนที่2 คนไม่มีหัวใจ
สายลมยามเช้าพัดผ่านเข้ามากระทบม่านสีอ่อนให้ปลิวพลิ้วไสวตามแรงลม ร่างเปลือยเปล่าของตะวันฉายนอนแน่นิ่งมีเพียงผ้าห่มผืนหนาปกปิดกายขาวซีด ตามตัวเธอมีแต่รอยที่เขาจับตราจองเอาไว้ เปลือกตาบางกะพริบช้า ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนน้ำตาใส ๆ ของเธอยิ่งไหลออกมา ตะวันฉายพยายามลุกขึ้นก่อนจะมองดูข้าง ๆ ที่ตอนนี้ไร้วี่แววของพายุภัค เมื่อได้ในสิ่งที่พอใจเขาก็จากไป ดวงตากลมโตหันไปมองคราบเลือดที่เปื้อนผ้าปูที่นอนอยู่ หญิงสาวรีบลุกขึ้นก่อนจะกระชากมันออกมา แล้วเดินตรงไปในห้องน้ำ น้ำเย็นถูกเปิดใส่ผ้า เธอพยายามล้าง ล้างให้มันออกให้หมด พร้อมหยาดหยดน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาอย่างเจ็บปวด
'มันควรเป็นแบบนี้สินะตะวัน เธอต้องทนแทนบุญคุณ ห้ามร้องไห้ ห้ามอ่อนแอ!' หญิงสาวกัดฟันพยายามข่มความรู้สึกของตน
ปัจจุบัน
เมื่อเธอนึกถึงอดีตที่เจ็บปวดที่มันไม่เคยหายไปจากความทรงจำของเธอเลยสักครั้ง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เธอมีหน้าที่รองรับอารมณ์ของเขาเสมอมา โดยไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ของเธอและเขา หญิงสาวเพิ่งฟื้นจากพิษไข้ที่สาเหตุก็มาจากเขาคนนั้น ร่างกายเธอแทบไม่พัก แล้วยังจะโดนสั่งให้ช่วยจัดงานวันเกิดให้พายุภัคอีก หญิงสาวเป็นลมจนล้มตกน้ำไป เธอจำอะไรไม่ได้เลยแต่ใบตองบอกว่าคนที่ช่วยเธอก็คือพายุภัค คนอย่างเขาน่ะหรือรู้จักช่วยคนอื่นเป็น
“เป็นไงบ้างลูก” เสียงคุณหญิงรุจีเดินเข้ามาเยี่ยมตะวันฉายในห้องนอน
“ดีขึ้นมาแล้วค่ะคุณแม่ ขอบคุณนะคะที่ดูแลตะวัน”
“ขอบคุณอะไรกัน มันคือหน้าที่ของแม่ อีกอย่างดูพี่เขาจะเป็นห่วงหนูไม่น้อยเลยนะ ใครจะคิดล่ะว่า คนดุ ๆ อย่างพายุจะรู้จักเป็นห่วงคนอื่น แม่เลือกไม่ผิดจริง ๆ ที่จะให้หนูแต่งงานกับพี่เขา”
ตะวันฉายไม่ได้ตอบอะไร นอกจากยิ้มแห้ง ๆ ให้คุณหญิงรุจี
ด้านพายุภัค
เขาเข้ามาช่วยท่านมานพบริหารกิจการหลายหมื่นล้าน เรื่องการทำงานเขาไม่ด้อยกว่าใคร มีแต่นิสัยที่เอาแต่ใจ โวยวายไม่ไว้หน้าใครของชายหนุ่มทำให้ใคร ๆ ต่างไม่กล้าเข้าใกล้
ปัง! เสียงแฟ้มเอกสารปลิวลงพื้นจนพนักงานต่างก้มหน้าก้มตา
“มีปัญญาทำได้แค่นี่รึไง! ผมต้องการได้ผลสรุปไตรมาสนี้ทุกอย่างไม่ใช่รวมอะไรมาก็ไม่รู้ พวกคุณคิดว่าเล่นขายของกันรึไง ผมให้เวลาอีกหนึ่งวันถ้ายังทำงานกันแบบนี้ก็ลาก่อนไปชะ!” เสียงดุดันพูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้าใครจนทุกคนไม่กล้าสบตาชายหนุ่ม
พายุภัคเดินออกมาจากห้องประชุมด้วยอารมณ์คุกรุ่น สีหน้าท่าทางของชายหนุ่มเหมือนกินรังแตนที่ไหนมาจนท่านมานพต้องมาที่ห้องลูกชาย
“พ่อว่าใจเย็น ๆ ลงบ้างก็ดีนะพายุ ทำแบบนี้พนักงานก็กลัวกันหมด”
“ผมไม่สนใจว่าจะกลัวหรือจะชอบ แต่ทุกคนที่ทำงานที่นี่ต้องเต็มที่ไม่ใช่ทำอะไรมาก็ไม่รู้ เงินเดือนเราจ่ายสูงกว่าที่อื่นก็หวังคนที่มีคุณภาพมาทำงานให้นะครับพ่อ” ท่านมานพไม่พูดอะไรต่อ มันก็จริงอย่างที่ลูกชายว่า
“เออนี่ แม่เราโทร.มาบอกว่าวันนี้กลับบ้านเร็วหน่อยนะ สงสัยจะลงครัวทำอาหารมื้อใหญ่บำรุงหนูตะวัน”
พอได้ยินชื่อนี้สีหน้าของพายุภัคก็เปลี่ยนไปอีกแบบ “เธอหายดีแล้วหรือครับ”
“เห็นว่าอย่างนั้นนะ เริ่มดีขึ้นมาก ลูกก็อย่าไปแกล้งหนูตะวันให้มากหน่อยเลย"”
“ผมก็เป็นของผมแบบนี้”
สีหน้าท่าทางยิ้มเจ้าเล่ห์ของพายุภัคทำให้ท่านมานพพอเดาได้ เขารู้จักลูกตัวเองดีว่าเป็นคนอย่างไร อายุเท่านี้ไม่ออกไปเที่ยวผู้หญิง ไม่มีข่าวคบหาใคร ก็คงจะเดาไม่ยาก
ตกค่ำของวัน วันนี้คุณหญิงรุจีเข้าครัวด้วยตัวเองเธอทำซุป
ของโปรดของตะวันฉายและพายุภัค หญิงสาวรับรู้ถึงความรักของคุณหญิงรุจีที่มีให้เธอ รอยยิ้มน้อย ๆ มองดูหญิงวัยห้าสิบด้วยความสุข
“หอมไหมจ๊ะตะวัน มาลองชิมหน่อยแม่ตั้งใจทำเลยนะ ไม่รู้ขาดอะไรรึเปล่า” คุณหญิงรุจีตักน้ำชุบใส่ช้อนพร้อมป้อนหญิงสาว รสชาติอร่อยจนแววตาของตะวันฉายเป็นประกายขึ้นมา
“อร่อยมากเลยค่ะคุณแม่”
“ได้ยินอย่างนี้แม่ก็โล่งใจ กลัวไม่ถูกปาก ยิ่งพายุแล้วนะ รายนั้นเรื่องเยอะกว่าใครแม่ต้องใส่ใจทุกอย่าง”
หญิงสาวยิ้มแห้งเมื่อคุณหญิงรุจีพูดถึงพายุภัค อีกไม่กี่วันก็จะถึง
วันเกิดของเขาแล้ว ทุกคนในบ้านจึงเหนื่อยมากขึ้นก็เพราะต้องจัดงานให้ถูกใจตามที่เขาต้องการ
เสียงรถเลี้ยวเข้ามาแม่บ้านทุกคนรีบออกไปต้อนรับเช่นเดียวกับเธอและคุณหญิงรุจี มันเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันเวลาท่านมานพไปทำงานคุณหญิงรุจีต้องไปยืนรับยืนส่งทุกวัน
ตะวันฉายก้มหน้าก้มตาลงเมื่อเห็นพายุภัคเดินตามท่านมานพ
เข้ามา ชายหนุ่มแยกไปคนละคันกับบิดา ใบหน้าคมสันจมูกโด่ง หล่อเหลามากคนหนึ่ง แต่ความหล่อนั้นกลับไม่มีใครกล้ามอง หึ ก็เขาทั้งดุ ทั้งโหด
“พายุเป็นไงบ้าง เหนื่อยรึเปล่าลูกวันนี้” คุณหญิงรุจีถามลูกชาย เขาหันมามองมารดาก่อนจะแอบมองมาที่ตะวันฉาย
“ไม่เหนื่อยครับ แรงยังเหลือเฟือ” เขาพูดเน้นคำจนตะวันฉายทำตัวไม่ถูก
“งั้นก็ดีแล้วจ้ะ มา ๆ แม่ให้คนจัดอาหารขึ้นโต๊ะพอดี” คุณหญิงรุจีจับแขนลูกชายไปที่ห้องอาหาร ท่านมานพเดินมาพร้อมยิ้มให้ตะวันฉาย เขาลูบหัวหญิงสาวเบา ๆ ก่อนจะเดินตามภรรยาไป
อาหารมากมายถูกจัดขึ้นบนโต๊ะที่มีคนรับประทานแค่สี่คน โดยคนนั่งหัวโต๊ะเป็นท่านมานพ ซ้ายมือคือพายุภัค ฝั่งขวามีคุณหญิงรุจีและ
ตะวันฉาย ทุกครั้งที่หญิงสาวร่วมรับประทานอาหารพร้อมชายหนุ่มเธอจะเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าสบสายตาเขา
“แล้วนี่หนูตะวันดีขึ้นแล้วหรือ” ท่านมานพถามหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง
“ดีขึ้นแล้วค่ะคุณพ่อ”
“พ่อลืมถามว่า ทำอีท่าไหนถึงได้ตกน้ำตกท่าได้ล่ะ”
พายุภัคจ้องรอฟังคำตอบจนตะวันฉายทำตัวไม่ถูก
“คือหนูไม่ทันระวังเลยตกลงไปค่ะ”
“ไม่ได้นะลูก ต้องระวัง ร่างกายผู้หญิงเราต้องดูแลอย่างดี”
พายุภัคได้ยินคำตอบของตะวันฉายก็ยกมุมปากยิ้มขึ้นมา เขาเป็นคนแกล้งเธอเอง แต่รู้ดีว่าคนอย่างตะวันไม่กล้าบอกใครว่าเขาทำอะไรเธอบ้าง ท่านมานพมองหน้าลูกชายอย่างรู้ทัน เขารู้ว่าคนที่แกล้งตะวันฉายก็คือลูกชายตัวดีของเขาเอง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จต่างคนต่างแยกย้ายไปพักผ่อน รวมถึงตะวันฉายเอง อีกไม่นานเธอต้องฝึกงานแล้วท่านมานพและคุณหญิงรุจีให้เธอไปช่วยงานพายุภัค ใจเธอไม่อยากทำแต่ก็ห้ามไม่ได้ แค่คิดเธอก็ยิ่งทุกข์ต้องเจอเขาทั้งที่บริษัทและที่บ้าน
21:45 น.
ร่างบางอรชรลุกเดินไปปิดไฟหลังจากที่อาบน้ำเสร็จเธอไม่ลืมที่จะล็อกห้องนอนอย่างดี แล้วเดินมาที่เตียงก่อนจะล้มตัวนอนลง ทุก ๆ วันเขามักจะเข้ามาหาเธอ แต่ตอนที่เธอป่วยเขาก็ไม่มาอีก มันทำให้เธอดีใจมากที่ไม่ต้องเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของเขา ไม่นานนักตะวันฉายก็หลับเพราะเพิ่งกินยาไปจึงง่วงเร็วกว่าทุกวัน
ลมหายใจเขารดต้นคอขาวระหง ชายหนุ่มขึ้นคร่อมก่อนจะจูบตามร่างกายของเธอ เขาอดทนมาหลายวันเพราะเห็นว่าเธอป่วย พอรู้ว่าเธอดีขึ้น พายุก็แอบมาไขกุญแจเข้าห้องเธอ ริมฝีปากหยักได้รูปบรรจงดูดเนินอกอวบไปมา
“หื้ม!”เสียงครางดังขึ้นมาพร้อมร่างกายของตะวันฉายที่บิดไปมา หญิงส่าวรู้สึกหนักตัวก่อนจะพยายามลืมตาขึ้นช้า ๆ สีหน้าตกใจเมื่อเห็นเงาหนาใหญ่ทับทาบกายเธออยู่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นเขา กลิ่นน้ำหอมของชายหนุ่มเธอจำได้ดี
“คุณพายุ อย่าค่ะ” เธอร้องห้าม
“เคยห้ามฉันได้ด้วยหรือตะวัน” เขาพูดขึ้น มันก็จริงเธอไม่เคยห้ามเขาได้เลยสักครั้ง
“เดี๋ยวมีใครเห็นนะคะ”
“ใครสนกันล่ะ” เขาไม่พูดเปล่ายังยกมือมาปลดกระดุมชุดนอนของตนออก “ฉันทรมานมาหลายวันแล้วนะ เธอไม่สงสารฉันบ้างหรือตะวัน”