โฉมสะคราญแห่งหอยูงทอง
หอยูงทอง....
นับเป็นสถานบันเทิงอันดับหนึ่งของแคว้นต้าหมิง ที่ๆเหล่าคหบดี ผู้มีทรัพย์รึแม้แต่กระทั่ง เหล่าขุนนางรึเชื้อพระวงศ์ ต่างแวะเวียนกันมาใช้บริการ ยิ่งได้ ฉู่เชียนเหนียง สาวงามอันดับหนึ่ง มาอยู่ภายใต้สังกัดหอยูงทอง ยิ่งส่งเสริมกิตติศัพท์สถานบันเทิงแห่งนี้ลื่อลั่นขึ้นไปอีก ฉู่เชียนเหนียง มิใช่หญิงคณิกา เหตุเพราะนางให้ความบันเทิงด้านดนตรีเพียงอย่างเดียวมิได้ขายศักดิ์ศรี แม้บรรดาผู้มีฐานะรึ ผู้มีศักดิ์ใหญ่ จะทุ่มไม่อั้นตามที่นางร้องขอแต่ก็มิอาจ ได้ดั่งใจปราถนา ผู้ใดที่ ได้ฟังสดับสำเนียงเสียงนาฎดนตรี ที่นางบรรเลงล้วนตกในพะวังเคลิบเคลิ้มไปกับการขับกล่อมดนตรีของนาง จึงมิแปลกที่นางคือนางในฝันของเหล่าบุรุษของใครหลายคน
หวังเฉินในร่างเจียงสงเดินตามมาม่าซังเข้าสู่หอยูงทองโดยมีเฟิงอิงเดินตามไปติดๆ หอยูงทองคราคร่ำไปด้วยเหล่าบุรุษล้วนมีฐานะในสังคมถึงเข้ามายังที่แห่งนี้ได้ ภายในตกแต่งด้วยวัสดุอย่างดีหรูหรา ชั้นล่างเป็นที่รับแขก ชั้นบนแบ่งกั้นห้อง เป็นสัดเป็นส่วน แต่ล่ะห้องตกแต่งด้วยรสนิยมที่ต่างกันออกไป มีทั้งห้องรวมรึห้องที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มาม่าซังพาสองมือปราบหนุ่มเดินเข้าสู่อาคารชั้นใน เป็นที่จับจ้องของเหล่าบุรุษจ้องมาด้วยความสงสัย ในส่วนนั้นเป็นที่รู้ๆกันว่าเป็นเขตหวงห้ามด้วยเป็นพื้นที่ส่วนตัวของหญิงงามอันดับหนึ่ง ฉู่เชียนเหนียง บุรุษทั้งสองแต่งกายด้วยชุดธรรมดาหาใช่ลูกผู้ลากมากดีเช่นตนไม่เหตุไฉนจึงได้สิทธิ์พิเศษเช่นนี้
มาม่าซังเดินนำสองหนุ่มมาหยุดตรงประตูทางเข้าด้านในสุด ที่นั้นมีหญิงรับใช้ยืนรออยู่แล้ว เมื่อมาถึงมาม่าซังจึงขอตัวเดินจากไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่หญิงรับใช้ของฉู่เชียนเหนียงเป็นผู้นำทางไปยัง พื้นที่ส่วนตัวของสาวงามอันดับหนึ่ง ภายในกว้างขวางตกแต่งอย่างเรียบง่าย สระน้ำมีน้ำตกจำลอง ปลาน้อยแหวกว่ายไปมา บรรยากาศนิ่งสงบต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง เฟิงอิงรู้สึกทึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ติดตามมากับหวังเฉิน แต่นั่นมันก่อนที่พี่ใหญ่จะฟื้น เพียงนั่งดื่มสุราอยู่ที่ห้องรับแขก เพื่อรอพี่รองของตนที่เดินหายไปกับมาม่าซัง วันนี้ตนขอติดตาม ด้วยอยากยลโฉมนางงามอันดับหนึ่งว่างามสมคำร่ำลือรึไม่ หญิงรับใช้เดินนำมาจนถึงเก๋งกลางน้ำ มีทางเดินทอดยาวไป ภายในถูกบดบังไว้ด้วยผ้าม่านผืนบาง ทำให้มองเข้าไปมิได้อย่างชัดเจน เมื่อมาถึงหญิงรับใช้เดินเข้าไปแจ้งผู้เป็นนายอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินออกมาบอก
" คุณหนูขอเชิญท่านทั้งสองเข้าไปด้านในเจ้าคะ "
หวังเฉินเดินเข้าไปโดยมีเฟิงอิงตามไปติดๆ ภายใน มีตั่งรับรองอยู่สองตัวเท่ากับจำนวนแขกที่มา บนตั่งมีสุราและกับแกล้มสองสามอย่างวางจัดเตรียมเอาไว้แสดงถึงเจ้าบ้านได้จัดเตรียมการต้อนรับบุรุษทั้งสองไว้ก่อนแล้ว เมื่อทั้งคู่มาถึงแยกย้ายกันนั่งโต๊ะคนล่ะตัว ไม่นานมีเสียงใสดุจระฆังแก้วกังวาลดังมาจากผ้าม่านด้านใน
" ฉู่เอ้อขอคารวะคุณชายทั้งสองเจ้าคะ "
หวังเฉินรินสุราก่อนยกจอกขึ้นรับการคารวะเฟิงอิงเห็นดังนั้นจึงทำตาม ตาจับจ้องไปยังผ้าม่านที่บดบังสาวงามอันดับหนึ่งอยู่ด้านใน
" มิเป็นไรหามิได้เจ้าออกมาเถอะ เจ้าคนนี้คือน้องชายข้าเอง นาม เฟิงอิง "
"ไม่ยักรู้ว่าท่านจ้าวก็มีบุตรชายด้วยอีกคน ข้านึกว่า มีแต่ คุณชายหวังผู้เดียวซ่ะอีก "
ทันทีที่เฟิงอิงได้ยินประโยคนี้ถึงกับชะงัก ด้วยความประหลาดใจ เหตุไฉนนางถึงรู้ฐานะของเรา แต่เมื่อมองไปที่หวังเฉินกลับไม่มีทีท่าแปลกอันใด เพียงยกจอกสุราขึ้นจิบเบาๆ
ไม่นานผ้าม่านพลันเลิกเปิดออกมา ภายในมีสตรีในชุดแดงเฉิดฉายผิวกายขาวละเอียดดังหยวก ลำแขนดังลำเทียน ใบหน้าผุดผ่องดวงตาเป็นประกายภายใต้ผ้าผืนบางที่บดบังริมฝีปากไว้
" ข้าหล่ะอยากรู้จริงๆ ถ้านางรู้ว่า ท่านจ้าวมีบุตรชายอีกคนนางจะรู้สึกยังไงน่า...."
คำพูดประโยคนี่ยิ่งสร้างความครางแครงใจให้แก่เฟิงอิงขึ้นไปอีก
" มิใช่ เจ้านี่คนเดียวที่เป็นน้องชายข้า แต่ข้ายังมีพี่ชายอีกคนนึงด้วย "
หวังเฉินกล่าวโดยมิได้มองหน้านางเพียงสนใจแค่สุราที่อยู่ภายในจอก
ทันทีที่ได้ยินหวังเฉินเอ่ย ฉู่เชียนเหนียงรีบถลามายังหวังเฉิน
" เจ้าเด็กบ้า .... ไฉนมีเรื่องเช่นนี้รีบเล่ามาเร็ว มิเช่นนั้น เจ้าน่าจะรู้ดีนะ บิดาเจ้าเดือดร้อนแน่ นี่หล่ะสันดานผู้ชายไม่รู้จักพอ ปากก็บอกรักนางคนเดียวๆ แค่ดันไปแอบมีลูก กะใครตอนไหน ชิ..."
ฉู่เชียนเหนียงยืนเท้าสะเอว กิริยาต่างกับเมื่อครู่ดังฟ้ากับเหว เฟิงอิงชมดูจนปากค้างจับต้นชนปลายไม้ถูก เหตุไฉนมันซับซ้อนถึงเพียงนี้
" ท่านน้า ขอรับ ใจเย็นๆฟังข้าอธิบายก่อน อย่าเพิ่งด่วนสรุปคิดเองเออเอง เท่านี้ข้ายังเดือดร้อนไม่พอรึไงขอรับ "
หวังเฉินตอบกลับไปยังนางงามฉู่ ที่กำลังรอฟังคำอธิบาย แต่ เฟิงอิง นิ่งสนิทอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลงมือยังถือจอกสุราคาเอาไว้ ในใจนึกเพียง คำสั้นๆที่หลุดจากปาก หวังเฉินผู้เป็นพี่รองของตน
" ท่ะ ... ท่ะ ท่านน้า ...!!"
ในโสตประสาทของเฟิงอิงได้ยินเพียงเสียงอธิบายขยายความของหวังเฉินที่บอกเล่าที่มาของตนและไป้หลงว่าสาบาน เป็นพี่น้องกับเจ้านี่ได้เช่นไร แต่นั่นหาสำคัญไม่ เท่าปริศนาที่อยู่เบื้องหน้าตน ตกลง แม่นางฉู่เชียนเหนียงผู้นี้คือใครกันแน่ เหตุไฉนรู้จัก กับอ๋องหวังตี๋ผู้เป็นบิดาบุญธรรมของตน ซ้ำเจ้าพี่รองตัวแสบยังเรียกขานนางว่าท่านน้าอย่างสนิทชิดเชื่อ ทั้งที่ดูแล้ววัยของนางน่าจะอ่อนกว่าตนห้าหกปี แท้ๆไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริง ภพนี้ มิตินี้ มันมีเรื่องให้น่าปวดหัวเกินไปแล้ว เฟิงอิงคิดวนเวียนไปมา จนหวังเฉินต้องร้องทักเตือน จึงตั้งสติได้
" อ่อ เฟิงอิง ขอโทษที ข้าลืมแนะนำ ท่านนี้ อีกฐานะหนึ่งนางคือ ท่านน้าของข้าเอง "
" ท่ะ ท่ะ ท่านน้า ข้าน้อย เฟิงอิง ขอคารวะขอรับ "
เมื่อได้สติ เฟิงอิง รีบแสดงการคารวะ
แม้จะยังไม่เข้าใจอยู่ดี ไฉนนางถึงกลายเป็นท่านน้า บุตรแห่งราชันย์ยมโลก บิดาบุญธรรมของตนไปได้หนอ นั่นเท่ากับว่านาง นางมิใช่ .....
" อืม หน่วยก้านไม่เลวหลานชายข้าผู้นี้พี่เขยข้าตาแหลมยิ่งนัก รับดาวพยัฆค์ขาวจุติเป็นบุตรบุญธรรมไม่พอ รับเจ้า ผู้ซึ่งรับทัณฑ์สวรรค์ถึงสี่สิบเก้าครั้งโดยไม่เป็นอะไร
ถามจริงๆเจ้ามันตัวอะไร "
ฉู่เชียนเหนียงเดินเข้าพินิจพิเคราะห์เฟิงอิงอย่างใกล้ชิด จนเจ้าตัวประหลาดเฟิงอิงรับรู้ได้ถึงกลิ่นบางอย่างจากนางที่ช่างหอมจรุงใจ ชวนให้หลงใหล
" ข้ารู้เจ้าคงมีคำถามในใจมากมาย ไว้มีเวลาข้าค่อยอธิบายให้ฟัง "
หวังเฉินเจ้ามาแตะบ่าผู้เป็นน้องชาย เพราะรู้เจ้านี่ตกในมนต์สะกดของผู้เป็นน้าสาวของตนเข้าให้แล้ว
" เอาหล่ะแนะนำกันตามสมควรแล้ว เฉินเอ่อ เจ้ามาหาข้าวันนี้คงไม่ใช่แวะมาทักทายตามทำเนียมหรอกกระมัง "
ฉู่เชียนเหนียงเดินกลับไปนั่งจิบสุรายังตั่งของนาง พลางหยิบพัดฉลุลายเป็นรูปดอกไม้ที่สวยงามอย่างประหลาดชนิดหนึ่ง เฟิงอิงชมดูด้วยใจระรานตาด้วยไม่เคยเห็น จนหวังเฉินต้องกระแอมถึงได้สติ
" ข้าขึ้นมายังแดนมนุษย์ครั้งนี้ ด้วยภาระสำคัญ ในนรกเกิดคดีประหลาดยมฑูตไม่สามารถรับดวงวิญญาณที่สิ้นอายุไข หายสาบสูญอย่างไร้ร่องลอย จนต้องแทงเป็นบัญชีสาปสูญ แดนสวรรค์ก็มิได้นิ่งดูดายเร่งรัดให้นรกภูมิหาสาเหตุครั้งนี้ให้จงได้
ครั้นข้าขึ้นมาปฎิบัติหน้าที่ในฐานะมือปราบแฝงในร่างมือปราบเจียงสงผู้นี้บางครั้งก็ติดเงื่อนไขตรงที่ไม่สามารถใช้พลังยมฑูตกับมนุษย์ เมื่อเร็วๆนี่ได้ข่าวมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งหลับอยู่ดีๆก็ไม่ยอมตื่น ผู้หลานไปตรวจสอบดูคนเหล่านั้นยังไม่สิ้นอายุไข ยังมีลมหายใจเพียงแค่กลับไปแต่ไฉนปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ไม่ทราบท่านน้าพอทราบเบาะแสในเรื่องนี้รึไม่ขอรับ "
หวังเฉินถามไปยังน้าสาวตน ถึงยังไงก็ต้องได้ข้อมูลมาบ้าง หอยูงทองต้อนรับแขกเหรื่อมากมาย มีหรือข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถึงหูนางบาง
ฉู่เชียนเหนียงขมวดคิ้วบางๆอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด แต่ก็นิ่งเสีย จนสองพี่น้องต้องมองหน้ากันไปมา กระทั่ง
" อ่อ ผู้หลานลืมไปเมื่อครั้งผู้หลานไปทำธุระให้บิดาที่แดนสวรรค์ บังเอิญไปเจอผลไม้สวรรค์ชนิดนี้เข้า จึงคิดถึงท่านน้าเหลือประมาณจึงเก็บเอามาฝากขอรับ"
หวังเฉินกล่าวจบวาดมือออกคราหนึ่ง บนโต๊ะพลันปรากฎถุงแพรปักดิ้นทองเป็นลวดลาดหงษ์กำลังโผบิน ภายในบรรจุผลไม้ชนิดหนึ่ง ฉู่เชียนเหนียงเหลือบมองมาพลันวาดสะบัดพัดในมือออกคราหนึ่ง ปรากฎถุงผ้าลายปักนั้นกลับย้ายไปปรากฎอยู่เบื้องหน้าของนาง
เฟิงอิงชมดูความพิสดารของทั้งคู่พลางคิดในใจ หากคนพวกนี้ไปอยู่ยังโลกมิติที่ตนจากมาเห็นทีอาชีพดีลิเวอร์รี่คงตกงานกันหน้าดู จริงอย่างที่โบราณว่าเอาไว้หากคิดเข้าหาสตรี โดยเฉพาะสตรีที่รักสวยรักงามอย่าได้ไปมือเปล่า ด้วยฉะนี้ ไม่ว่ามิติที่ตนจากมารึมิติพิสดารแห่งนี้เห็นที่ประโยคดังกล่าวยังใช้ได้อยู่จริงๆ
ฉู่เชียนเหนียงชมดูผลไม้ที่อยู่ในถุงถึงกับอุทานมาด้วยความดีใจ
" ว้าว ผลพุทราสวรรค์ ข้าว่าเจ้าไม่ได้เก็บมาเฉยๆเป็นแน่ พุทรานี้มีเฉพาะในสวนของธิดาเทพเท่านั่น เฮ้อ....เจ้าเด็กคนนี้ รู้ทั้งรู้ว่าพี่ชายเค้าไม่ชอบขี้หน้าเจ้ายังไปข้องแวะกับน้องสาวเค้าไม่เลิก ไงล่ะ แผลคราวก่อนหายดีแล้วรึ "
หวังเฉินยิ้มรับเบาๆหัวเราะแก้เขินด้วยน้าสาวตนรู้ซึ่งถึงที่มาพุทราสวรรค์ถุงนั้น
" เออ ข้าขอขัดจังหวะ นิดนึง พวกท่านทำได้ไง วาดมือไปวาดมือมา สิ่งของก็ปรากฎเก็บกันที่ไหนเหรอ "
เฟิงอิงถามด้วยตนสงสัยมานานในหนังแฟนตาซีที่ตนดูก็ทำเยี่ยงนี้ไม่เห็นเฉลย
หวังเฉินมองหน้าผู้เป็นน้องชายแล้วหันไปมองน้าสาวที่ใช้พัดปิดปากอดขำในความไม่รู้ของหลานต่างมิติผู้นี้มิได้
" เอาหล่ะเมื่อเจ้าเป็นน้องร่วมสาบานของหลานชายข้าก็เสมือนเป็นหลานข้าด้วยอีกคนจะให้ข้าใจดำไม่มีสิ่งรับขวัญก็กระไรอยู่ "
นางกล่าวจบวาดพัดในมือคราหนึ่ง พรันปรากฎแหวนหยกขึ้นที่นิ้วนางด้านขวาของเฟิงอิง
" สิ่งนี้คือแหวนมิติ ภายในใช้เก็บสิ่งของ จะได้ไม่ต้องพกไปพกมาให้เกะกะน่ารำคาญ ใช้กันเฉพาะเทพ เซียน มาร ปีศาจ ยกเว้นเหล่ามนุษย์ เจ้านึกจะเก็บสิ่งไหนก็แค่นึกไว้ในใจ พอจะเอาออกก็นึกถึงสิ่งนั้นขึ้นมายกเว้นสิ่งที่มีเจ้าของต้องให้เค้าเต็มใจถึงเอามาได้ อีกขอจำกัดหนึ่งคือ เก็บสิ่งมีชีวิตไม่ได้ "
เฟิงอินพยักหน้าอย่างเข้าใจทดลองกับจอกสุราตรงหน้าจนพอใจลูบคลำอย่างกับเด็กได้ของเล่นถูกใจ
ฉู่เชียนเหนียงยิ้มอย่างเอ็นดูในกิริยาดุจทารกของเฟิงอิง พลางกล่าวกับหวังเฉิน
" ตามเบาะแสที่ข้ารู้เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับ มารฝัน ไม่มากก็น้อย..."
" มารฝัน...."
ทั้งหวังเฉินและเฟิงอิง อุทานออกมาพร้อมกัน
%%%%%%%%%%%%%%%%%%
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณครับ