รับภาระกิจ
นับเวลาได้หนึ่งเดือน ที่หวังเฉินในร่างเจียงสง และบุรุษผู้ข้ามมิติเฟิงอิงได้ใช้ชีวิตอยู่ในแคว้นต้าหมิง ด้วยฐานะมือปราบ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของไป้หลง นับว่าทั้งคู่ต้องทำตัวให้กลมกลืนกับสถานะที่เป็นอยู่ แม้ในช่วงแรกจะมีปัญหาบ้างก็ตาม แต่ด้วยคำชี้แนะของไป้หลงผู้เป็นพี่ใหญ่ อุปสรรคการปรับตัวของทั้งคู่จึงดำเนินไปได้ด้วยดี ยามเช้าทั้งคู่จะต้องตื่นขึ้นมาเพื่อฝึกวรยุทธเพราะถึงแม้หวังเฉินจะเป็นถึงยมฑูตแต่ด้วยติดข้อห้ามในการใช้พลังวิญญาณกับมนุษย์จึงต้องฝึกปรือเพื่อข้ามขีดพลังวัตรขั้นที่สี่ของเจียงสงไปให้ได้ ในส่วนของ เฟิงอิงเนื่องด้วยก่อนเดินทางเลขาจวงได้แนะวิธีควบคุมพลังให้แก่เฟิงอิง ถือว่าก้าวหน้ามาได้ในระดับที่น่าพอใจ ส่วนไป้หลงวรยุทธเพิ่งข้ามจากขั้นหกมาสู่ขั้นเจ็ดแรกเริ่ม การใช้ออกซึ่งพลังวรยุทธขั้นที่เจ็ดจึงยังไม่เสถียรเท่าที่ควร แต่จากการฝึกร่วมของทั้งสามพี่น้องทำให้แต่ล่ะคนวรยุทธก้าวหน้าได้เป็นที่น่าพอใจ
จนกระทั้งถึงวันทดสอบสมรรถภาพของฝ่ายมือปราบ หวังเฉินขึ้นประลองล้มมือปราบฝ่ายบู๊ขั้นที่ห้าไปถึงสี่คนโดยใช้แค่พลังวรยุทธ ส่วนเฟิงอิงก็ไม่น้อยหน้า เอาชนะขั้นที่สี่ไปสามคน ขั้นที่ห้าทำได้เพียงเสมอ นับว่าตามหลังหวังเฉินไม่มากเท่าไหร่ แต่มาเสียท่า เมื่อขึ้นประลองกับหวังเฉิน ด้วยหวังเฉินมีความชำนาญในการใช้ออกซึ่งกระบวนท่ามากกว่านั่นเอง
" พี่รอง ไม่ออมมือให้ข้าเลยซัดเอาๆ ชิ..."
เฟิงอิงแสดงอาการหงุดหงิดใส่ผู้ที่เอาชนะตน
" เจ้าบ้า....ข้านี่สิน่าจะแพ้เจ้า อย่านึกว่าข้าดูไม่ออกนะเจ้าแกล้งกลิ้งตกเวที ก่อนหน้าข้าฟัดฝ่ามือใส่เจ้าจังๆ เห็นยังเฉย น่าจะจริง ดังพี่ใหญ่ว่าเจ้านี่มันเจ้าเล่ห์เก็บงำฝีมือไว้ "
หวังเฉินจับศรีษะผู้เป็นน้องชายกดเบาๆเชิงสัพยอกกระซิบไปให้รู้ว่าตนรู้เท่าทัน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงเฟิงอิงมีความสามารถในระดับใดกันแน่ ซึ่งในการฝึกซ้อม ทั้งไป้หลงและหวังเฉิน ทดลองอัดใส่เฟิงอิงเต็มที่โดยมิให้รู้ตัว ก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือน รึ เจ้าตัวเองก็อาจยังไม่รู้ว่าตนมีความสามารถในระดับใด
" พี่รองข้าบอกตรงๆ อันว่าวรยุทธอะไรของพวกท่านเนี้ย ในที่ๆข้าจากมามีแค่ในภาพยนต์ รึในนวนิยาย มันเกินจากที่ข้าเข้าใจจริงๆ ที่ใช้ออกไป ข้าก็ใช้ไปตามที่ท่านสอนนั่นหล่ะ เหอะๆๆๆ"
เฟิงอิงพยายามจะอธิบายแต่ดูเหมือนยิ่งอธิบายหวังเฉินยิ่งไม่เข้าใจ
" ข้าหล่ะยากรู้จริงๆเจ้ามาจากที่ใดกันแน่ ภาพยนต์อะไรของเจ้า วู้.....ไป พี่ใหญ่เรียกให้ไปรวมพลกันแล้ว ไว้คืนนี้ข้าจะพาเจ้าออกท่องราตรี คริ คริ ..."
เป็นอันการทำความเข้าใจของสองหนุ่ม สองโลกต้องยุติลงเพียงเท่านี้
ในที่รวมพลของกองมือปราบไป้หลงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ล่ะหน่วยรับผิดชอบข้างฝ่ายหวังเฉินและเฟิงอิงให้รับผิดชอบงานตรวจการยามวิกาลด้วยวิเคราะห์ดูหวังเฉินต้องรับหน้าที่สองบทบาทหนึ่ง หน้าที่หน่วยตรวจการในส่วนกองปราบและยังต้องทำหน้าที่มือปราบโลกวิญญาณ จึงน่าจะเหมาะในยามค่ำคืนมากกว่า ส่วนเฟิงอิงได้ปรับตำแหน่งเป็นมือปราบขั้นที่สอง เพียงรอหนังสือแต่งตั้งจากทางราชสำนักโดยตนเป็นผู้ยื่นเสนอตามลำดับ
เมื่อเสร็จพิธีรวมพล ไป้หลงเรียกน้องชายทั้งสองเข้าพบเพื่อมอบหมายภาระกิจ
" เจียงสง ไม่สิ หวังเฉินคืนนี้เจ้านำเฟิงอิงออกสืบหาเบาะแส ด้วยมีเรื่องประหลาด พักนี้มีชาวบ้านหลับแล้วไม่ตื่นหลายรายทั้งหมอบ้าน หมอหลวง ล้วนไม่สามารถหาสาเหตุครั้งนี้ได้ ข้าเกรงว่านี้ไม่ใช่ โรคภัยปรกติ "
" อืม มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ "
หวังเฉินพึมพำ ไป้หลงนึกแปลกใจในอาการของน้องรองตน จึงถามซักกลับไป
" ในความหมายของเจ้า คือ สิ่งใด "
" ในข้อนี้ เคยมียมฑูตฝ่ายรับวิญญาณ ทำหน้าที่ตามปรกติ ไปรับวิญญาณของผู้ที่สิ้นอายุไข แต่ แปลกที่ตามหาวิญญาณเหล่านั้นไม่เจอ ทำให้ท่านพ่อและเลขาจวงต้องหาสาเหตุกันให้วุ่น จึงแทงเป็นบัญชีวิญญาณสาปสูญ นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ข้าต้องขึ้นมายังแดนมนุษย์เพื่อสืบหาสาเหตุ "
หวังเฉินอธิบาย ไป้หลงและเฟิงอิงมองหน้ากันไปมา ในนรกภูมิยังมีปัญหาเหล่านี้ด้วยหรือ
" เอาหล่ะ พวกเจ้าทำหน้าที่ให้ดี มีปัญหาอะไรให้แจ้งมายังข้า อย่าได้ทำอะไรโดยพลการ ภาระกิจแห่งโลกวิญญาณจะให้มนุษย์รู้ถึงการคงอยู่ของเจ้ามิได้ ขอให้ยึดปฎิบัติในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด "
ทั้งคู่รับคำจากนั้นจึงเตรียมตัวเพื่อออกตรวจการณ์ยามค่ำคืน
ยามราตรีแห่งแคว้นต้าหมิงนับว่าเกินจินตนาการของเฟิงอิงไปจริงๆ ในภาพยนต์ในโลกที่ตนจากมาล้วนแทบไม่ได้กึ่งหนึ่งเมื่อมาประสบด้วยตนเอง ราตรีที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน แต่งกายหลากสีสรร ของผู้มีฐานะ รึ แม้แต่ตรอกซอกซอย ล้วนมีสิ่งน่าประหลาดใจ ตื่นตาตื่นใจ โลกโบราณที่ตนนึกว่าจะมีเพียงในหนังกำลังภายใน แต่นี้ผู้คนจริงๆบรรยากาศจริงๆ ไหนจะร้านค้าน้อยใหญ่ ประดับโคมไฟหลากสีสรร ค่ำคืนริมแม่น้ำแห่งแคว้นต้าหมิงนับว่าล้วนตื่นตาละลานใจไม่แม้แต่เฟิงอิง หวังเฉินในร่างเจียงสงก็ด้วยเช่นกัน สีสรรในแดนมนุษย์ช่างต่างจากบรรยากาศทึมทึบในแดนนรก รึบรรยากาศไร้สีสรรมีแต่หมอกควันขาวจางๆในแดนสวรรค์ที่ตนไปประสบพบมา นี่หรือ แดนมนุษย์ช่างชวนให้น่าหลงไหลยิ่งนัก
" พี่รองพี่ใหญ่ให้เรามาตรวจการณ์แล้วนี่ ท่านพาข้า เดินชมนู้น ชิมนี่จะดีหรือ "
เฟิงอิงติงพี่รองตนไปเบาๆแต่สายตาจับจ้องไปที่โคมไฟหลากสี ของหอยูงทอง
หอคณิกาอันดับหนึ่งของแคว้นต้าหมิง
" เฮ้ย....เจ้ารู้รึไม่การหาข่าวนี่ แหล่งข่าวที่ดีที่สุด ไม่โรงเตี๋ยม สารพัดงานชุมนุม ก็แหล่งบรรเทิงอโคจร แบบนี้หล่ะ ใช่ว่ามนุษย์จะรู้แต่ฝ่ายเดียวงานสืบของยมฑูตก็ด้วย ...เรามากันนอกเครื่องแบบไม่มีใครจำเราได้หรอก "
ไม่ทันขาดคำ เสียงเรียกหาก็ดังแว่วเข้ามา
" อ้าวท่านมือปราบเจียง วันนี้มานอกเครื่องแบบเชียวน่ะเจ้าคะ ฉู่เอ๋อ บ่นคิดถึงท่านทู๊กกกวันเลยเจ้าคะ เชิญๆเจ้าคะ ..."
" เหอะๆ ไม่มีใครจำได้ งานนี้ท่านรับผิดคนเดียวเลย ข้าไม่รู้ด้วยน่ะ..."
" ได้ข้ารับผิดชอบเอง เจ้าไม่ตามข้ามา งั้นก็รอข้าข้างนอกนี่แหล่ะ ฉู่เอ๋อเจ้าคะ เฮียสงมาแว้ววว......."
หวังเฉินในร่างเจียงสงเดินตัวปลิวมุ่งตรงไปหอยูงทองทันที ทิ้งเฟิงอิง ยืนอึ้งอยู่เบื้องหลัง แล้วจะรออะไรเฟิงอิงถลันติดตามผู้เป็นพี่รองของตนในทันที
" อ้าว รอให้โง่ดิ ข้าไปด้วย...
พี่รองรออาตี๋อิงด้วย "
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณครับ