ค้นพบพลังวิเศษ
ริมฝั่งแม่น้ำหลังศาลเจ้าก่อนนี้เงียบสงบไร้ซึ่งผู้คนสัญจรผ่านไปมาด้วยบรรยากาศที่แสนวังเวง บัดนี้ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งน้ำ กลับมีผู้คนถึงสามคนถูกมัดติดกับลำต้น ในสภาพอันน่าอุจาดบริวารทั้งสองเปลือยท่อนบนเหลือเพียงกางเกงที่ใส่ไว้ ส่วนผู้เป็นนายยังดีที่หวังเฉินล่ะเว้นไม่มีสภาพเช่นบริวารทั้งสองที่แต่ใบหน้ายังถูกคาดปิดตาไว้ด้วยผ้า เพื่อมิให้แลเห็น ข้างๆกันขนาบไว้ด้วยสองบุรุษ บุรุษหนึ่ง ถือไม้เรียวยาวไว้ในมือ สะบัดไปมาเพื่อทดลองน้ำหนัก
คนทั้งสามใช่ใคร อ๋องน้อยหยู่เกาและสองบริวารนั่นเอง ไม่นานทั้งสามก็ตื่นขึ้น ทันทีที่อ๋องน้อยหยู่เกาได้สติ พบว่าตนไร้ซึ่งอิสระภาพด้วยการถูกมัดล่ามไว้กับต้นไม้ใหญ่ บริวารทั้งสองแม้มีวรยุทธขั้นห้า จะดิ้นรนเกร็งลมปราณเท่าไหร่ก็หาได้หลุดพ้นจากพันธนาการอันแสนประหลาดนี้
" บังอาจ...!! เจ้ามือปราบชั้นต่ำ บังอาจทำกับข้างเยี่ยงนี้ข้าจะฟ้องท่านพ่อให้จัดการเจ้า ค่อยดูข้าจะเป็นผู้ทรมานเจ้าด้วยตัวเองเอาคืนให้สาสม ให้เจ้าตายอย่างน่าอนาถ จงปล่อยข้าเดี๋ยวนี้...."
เพี๊ยะ......!!
เสียงกิ่งไม้ฟาดไปยังก้นของอ๋องน้อยผู้กักขฬะ
" อ๊าาค... ข้าจะฟ้องท่านพ่อ เจ้าเจียงสง "
อ๋องน้อยส่งเสียงอย่างโหยหวนทันทีที่ก้นอันบอบบางถูกกระทบจากไม้ในมือของคนผู้หนึ่ง
" เจ้านี่ มันว่าใคร อ่ะ บีสอง "
บีหนึ่งก็คือ หวังเฉินในร่างเจียงสงนั่นเอง
ก่อนหน้านี้ เฟิงอิงออกความคิดที่จะสั่งสอน อ๋องน้อยหยู่เกาและบริวาร จึงตกลงกับหวังเฉินให้ใช้ชื่อ บีหนึ่ง ตนเป็นบีสอง แทนการเรียกชื่อ ซึ่งหวังเฉินก็ไม่เข้าใจ แต่เฟิงอิงยืนยันบอกให้ใช้ชื่อตามนี้ คอยรับมุขที่ตนส่งให้
" ไม่รู้สิ บีหนึ่ง ผู้ใดคือเจียงสง ข้าผ่านมาก็เห็นเจ้าอยู่ในสภาพนี้แล้ว ถือโอกาสสั่งสอนแทนชาวบ้านที่ถูกพวกเจ้ารังแก"
" บีหนึ่ง บีสอง เล่นบ้าอะไรของพวกเจ้า ข้าจำเสียงเจ้าได้ เจ้าสารเลวสุนัขรับใช้เจียงสง"
อ๋องน้อยหยู่เการ้องอย่างเดือดดาล
เพี๊ยะ....... เพี๊ยะ......
ไม้ยาวถูกฟาดไปอีกสองครั้ง
" เจ้านี่ดื้อด้านยิ่งนักข้าก็บอกว่าข้าคือ บีหนึ่ง และเจ้านั่น บีสอง ช่างไม่รู้จักประเมินสถานะการณ์ของตนเอาซ่ะเลย "
" อ๊าาาค ข้าจะฟ้องท่านพ่อให้จัดการเจ้า ให้อนาถที่สุด "
อ๋องน้อยกล่าวอย่างเคียดแค้น
" เพี๊ยะ เพี๊ยะ...."
" เอาที่เจ้าสบายใจ วันนี้ข้าจะขอสั่งสอนแทนบิดาเจ้า "
" อ๊าาค...…!! "
อ๋องน้อยเกาหยู่ทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงสลบไปอีกรอบ
" เอาล่ะถึงตาเจ้าสองคนแล้ว ข้าถาม เจ้าตอบ และตอบให้ตรงคำถาม"
เฟิงอิง หันไปถาม หลี่ลิ่วและขู่โต้ว
" เจ้ามือปราบกระจอกๆอยากพวกเจ้าถือดียังไงมาขู่ข้า ข้าไม่กลัว แน่จริงก็เคี่ยนพวกข้าให้เต็มที่เลย ดูสิจะทำอะไรข้าได้มั้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า..."
ผู้ติดตามอ๋องน้อยถือดีว่าตนมีวรยุทธขั้นห้า ไม้เรียวเพียงเท่านี้พวกตนหาได้สะทกสะท้านไม่
" อ่อ งั้นเหรอ เจ้าสองคนนี่ไว้เป็นหน้าที่ข้า บีหนึ่ง "
บีสองรึอีกนัยหนึ่งเฟิงอิงกล่าวขึ้น อดขำในชะตากรรมของมันทั้งคู่มิได้ หารู้ไม่ ตนเพิ่งค้นพบความสามารถพิเศษขึ้นมาได้หลังจาก ฟื้นขึ้นมาจากดินแดนนรกภูมิ เฟิงอิงประกบสองนิ้วจิ้มไปที่ นักโทษทั้งสอง ได้ผล หลี่ลิ่วและขู่โต้วถึงกับสั่นสะท้าน ชักดิ้นไปมา ด้วยรู้สึกเหมือนมีพลังประหลาดอะไรบ้างอย่างวิ่งผ่านร่างแม้เกร็งลมปราณก็สุดแสนจะต้านทาน พลังประหลาดชำแรกไปตามจุดชีพจรทำให้แสนเจ็บปวดทรมาน เส้นผมทุกเส้นชี้ขึ้นตั้งชัน
เปรี๊ยะ...... เปรี๊ยะ....
" อ๊าาาาค.......!!"
เสียงร้องอย่างโหยหวนดังจนสะท้อนไปทั้งคุ้งน้ำ จากการถูกทรมานด้วยวิธีพิสดารทำให้ทั้งคู่คายข้อมูลความลับเท่าที่ตนรู้ออกมาทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อ ทั้งหวังเฉินและเฟิงอิงเห็นว่าไม่มีข้อมูลสำคัญใดๆตกค้างเท่าที่เจ้าสองนักเลงนี่ที่จะปกปิดต่อไปได้อีก หวังเฉินซึ่งใช้ความสามารถจากการพันธการของยมฑูต ปล่อยคนทั้งสามให้เป็นอิสระนอนสลบไสลกองกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำนั้นนั่นเอง
" น้องสามเจ้าไปเอาความสามารถพิสดารนี่มาจากไหน ตอนเจ้าดาบไวขู่โต้วอะไรนั่นฟันดาบมาที่เจ้า ข้าชำเลืองไปก็ไม่พบเจ้าแล้ว นี่ขนาดสายตายมฑูตระดับข้าเชียวนะ"
หวังเฉินถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
" ไม่รู้สิ พี่รองอยู่ข้าก็เห็นเจ้านั่นเคลื่อนไหวยังกะเต่าคลาน ไม่เห็นเหมือนฉายาดาบไวของมันเลย "
" นั่นเพราะเจ้าเคลื่อนไหวไวกว่ามันต่างหากเล่า แล้วไอ้ท่าดัชนีอะไรนั่นมัน มันคือสิ่งใด ข้าสัมผัสได้ถึงพลัง ใช่ๆพลังจากอัสนีทัณฑ์สวรรค์ รึว่า.... ใช่แล้ว ร่างกายเจ้าดูดซับพลังอัสนีทัณฑ์สวรรค์สี่สิบเก้าครั้งโดยไม่รู้ตัว จนเจ้าเคลื่อนไหวชั่วพริบตาและยังได้พลังนั้นมาใช้ผสานกับปราณพลังวิญญาณในร่างอีกด้วย เจ้านี่มันตัวประหลาดชัดๆ "
หวังเฉินสิเคราะห์ที่มาแห่งพลังความสามารถพิเศษของผู้เป็นน้องสามของตน
" คงจะจริงอย่างที่ท่านว่า ว่าแต่ อ๋องหยู่เซียงอะไรนี่ เท่าที่เราสอบสวนข้อมูลที่ได้มาแสนจะน้อยนิด ไม่มีหลักฐานที่จะสาวถึงตัวผู้บงการคดีเงินหลวงที่หายไปได้เลย "
เฟิงอิงถามขึ้นด้วยความสงสัย
" ก็แน่ล่ะสิ เจ้าสองคนนี่เป็นแค่ปลายแถวจะรู้อะไร ในฐานความทรงจำของเจียงสง เบาะแสที่มีก็แค่ข้อมูลกว้างๆไม่มีหลักฐานอะไรจะชี้ชัดไปที่ตัวการใหญ่ได้เลย "
" ท่านเป็นถึงมือปราบยมฑูต ยังไม่รู้อีกเหรอ...... "
" เจ้าบ้า!! ข้าเป็นมือปราบยมฑูตก็จริง แต่ก็มีข้อจำกัดเฟ้ย กำหราบแต่ มารและปีศาจ ปัญหาของมนุษย์ก็ให้มนุษย์ตามสืบตามแก้กันเอาเอง แต่ยามใดที่ตกนรกรับรอง กรรมที่ได้กระทำไว้ยามเมื่อมีชีวิต ต้องได้ชดใช้อย่างสาสมแน่นอน "
หวังเฉินพูดไว้ให้คิด เฟิงอิงฟังพลางกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ ตนเมื่อยามอยู่อีกมิติหนึ่งแม้คนที่ตนฆ่าจะล้วนแต่สมควรตายแต่ ตนก็ไม่มีสิทธิ์ใช้ศาลเตี้ยตัดสิน
กรรมอันนี้คงต้องรอชดใช้ยามเมื่อตนตกนรก แต่จะเป็นนรกในอีกมิติใดก็ค่อยว่ากัน
สองพี่น้องเดินกำลังพ้นเขตศาลเจ้า พลันมีเสียงที่คุ้นเคยทักขึ้นมาจากเบื้องหลัง
" เจ้าสองคนดูติ๋มๆอย่างนี้โหดมิใช่เล่นนะเรา"
ผู้มามิใช่ใคร น้าสาวแสนสวยของเจ้าตัวแสบทั้งคู่ ฉู่เชียนเหนียงนางมองไปที่อ๋องน้อยหยู่เกาแว๊ปหนึ่งและมองมาที่หวังเฉินผู้เป็นหลานชาย หวังเฉินยังคงแสดงสีหน้าเป็นปรกติโดยเฟิงอิงมิได้ทันสังเกตอาการของทั้งสองน้าหลาน
" โถ่ท่านน้า มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ข้าตกใจหมดเลย"
หวังเฉินสัพยอกไปยังน้าสาวของตน
ส่วนเฟิงอิงแม้จะเจอกันแล้วครั้งหนึ่งก็อดที่จะตกตะลึงในความงามของนางมิได้แม้จะมาในชุดดำสนิทตัดกับผิวพรรณที่สว่างไสวดุจพระจันทร์ในยามราตรี
" เจ้านี่ก็อีกคนจะมองข้าอีกนานมั้ย "
นางหันไปถามยังเจ้าหลานชายคนน้อง
" ก็ ท่านน้างามซ่ะยิ่งนางฟ้านี่ขอรับ ข้าเลยอดที่จะหวั่นไหวมิได้"
" คริ คริ.... ปากหวานจริงนะเจ้า มา ตามข้ามา"
นางกล่าวจบเดินนำคนทั้งคู่เข้าสู่ศาลเจ้า
บัดนี้ศาลเจ้าเล็กๆที่ดูรกร้างว่างเปล่า
พลันที่ทั้งสามเหยียบย่างเข้ามา กลับเปลี่ยนเป็นสถานที่รโหฐาน เฟิงอิงชมดูอย่างละลานตากำลังยิงคำถามไปที่พี่รองของตน หวังเฉินดูเหมือนจะรู้เจตนาของอีกฝ่ายจึงกระซิบบอกไป
" ไม่ต้องตกใจ ที่นี่ในสายตามนุษย์ดูเหมือนศาลเจ้ารกร้างวังเวงน่ากลัว แต่แท้ที่จริงคือหนึ่งในประตูเชื่อมต่อโลกปีศาจ"
" ห๊า.... ใกล้ขนาดนี่เลยเหรอ"
เฟิงอิงอุทานอย่างไม่เชื่อหูตนเอง
" ไม่ใช่แค่นี้ มนุษย์บางคนที่เราเดินสวนกันไปมา ก็อาจเป็นปีศาจที่จำแลงแปลงกายแฝงมาในร่างมนุษย์ก็ด้วยเช่นกัน "
คำตอบที่แสนธรรมดาแต่ แทบทำเอาเฟิงอิงตาค้างอย่างไม่เชื่อหูตนเอง
" อ้าว... ในเมื่อท่านรู้ ไฉนไม่จัดการล่ะ ท่านเป็นถึงยมฑูตมือปราบนะ"
" เจ้าสามฟังข้าให้ดีๆนะ อันว่าเผ่าปีศาจเนี้ย ก็เหมือนมนุษย์ มีทั้งดี และไม่ดี หน้าที่ข้าคือ ส่งเสริมปีศาจที่ดี กำจัดปีศาจที่เลว มนุษย์บางคนซ่ะอีก มีพฤติกรรมน่ารังเกียจยิ่งกว่าเผ่าพันธ์ุปีศาจซ่ะด้วยซ้ำ "
เฟิงอิงรับฟังคำสาธยายจากพี่รองตนพยักหน้าเห็นด้วย มนุษย์เป็นเยี่ยงนี้จริงๆ
จากนั่นทั้งสองเดินตามฉู่เชียนเหนียงที่หยุดยืนรอทั้งคู่ยังแท่นประหลาดสีเขียว
" หวังเฉินเจ้าอาจรู้แล้วว่านี่คือสิ่งใด เฟิงอิง นี่คือ แท่นผลึกหยกนิทรา "
จากนั้นนางกวาดมือคราหนึ่งปรากฏ จอกชาขึ้นสองใบ
" คิดจะจับมารฝันพวกเจ้าต้องนอนที่แท่นผลึกหยกนิทรานี่ เพื่อที่ข้าจะได้ช่วยพวกเจ้ายามฉุกเฉิน และนี่ ชานิทรา ของโลกปีศาจ มันจะช่วยกลบพลังยมฑูตในตัวเจ้าหวังเฉิน โปรดจำไว้ว่า เมื่ออยู่ในมิติอำนาจของมารฝันพวกเจ้าจะเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาไร้ซึ่งพลังวิเศษ หากตายในมิตินั้น วิญญาณพวกเจ้าก็อาจสูญสลายไปได้ ฉะนั้น วิธีที่พวกเจ้าจะตื่นขึ้นมาได้คือ ต้องมีสติแยกแยะภาพมายาของมารฝันว่าสิ่งไหนคือโลกความจริงรึมิติแห่งความฝัน เมื่อเจ้าได้สติ มารฝันจะเผยตัวตน และฉวยโอกาสจังหวะนั้น หวังเฉินเจ้าจงใช้เส้นด้ายสีขาวที่ข้าให้ไปจับตัวมันเอาไว้ เพียงเท่านี้พวกเจ้าก็จะตื่นขึ้นมา "
นางงามฉู่อธิบายขั้นตอนการพิชิตมิติมารฝันให้หลานทั้งสองฟัง
" เอะ... ท่านน้าข้าต้องไปด้วยเหรอ "
หวังเฉินร้องท้วงขึ้น
" เจ้าควรจะไป หนึ่งเผื่อคนใดคนหนึ่งพลาดอีกคนจะได้ช่วยเตือนสติ อีกอย่างพึงระวัง มิติของมารฝัน ว่ากันว่า เชื่อมต่อหลายมิติซ้อนทับกัน ด้ายแดงที่ข้าให้ไว้ จะนำพวกเจ้าทั้งสองกลับมายังมิติเดิมของพวกเจ้า "
หลังจากทั้งสองได้ฟังคำอธิบายจากฉู่เชียนเหนียงเข้าใจเป็นอย่างดีจึงดื่มชานิทราและนอนไปที่แท่นผลึกหยก จากนั้นทั้งคู่จึงถูกดึงเข้าสู่มิติของมารฝัน
จากนั้นนางกลับตรงไปที่ๆอ๋องน้อยหยู่เกาและบริวารนอนสลบไสล นางกวาดมือคราหนึ่ง บังเกิดรัศมีประหลาดขึ้นที่ตัวอ๋องน้อย ครู่หนึ่งก่อนจางหายไป
นางยิ้มอย่างอบอุ่น จ้องหน้าอ๋องน้อย พร้อมรำพึงออกมาเบาๆ
" อีกไม่นาน รอก่อน นะ อีกไม่นาน "
จากนั้นจึงเดินกลับสู่ภายในโถง
" โอ้ย.... ยานอนหลับของน้าเจ้านี่แรงจริงๆ อ้าว พี่รองๆ ไปไหนซ่ะหล่ะเนี้ย "
เฟิงอิงยกมือตบไปที่ท้ายทอยตัวเองเพื่อเรียกสติ หลังจากตื่นขึ้นมา พบว่าพี่รองของตนไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
" จะ จะ เจ้า.... เจ้าสาม ท่ะ ท่ะ ที่นี่มันที่ไหนกัน ดูนั้น เจ้านกยักษ์ประหลาดตัวมหึมา บิน อยู่บนนั้นได้ไง "
%%%%%%%%%%%%%%%%%%
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณครับ