๒ ความเปลี่ยนแปลง (๑)
๒
ความเปลี่ยนแปลง
เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกินในความรู้สึกของหล่อน ถึงวันต้องส่งอติกานต์ไปยังเมืองหลวงเพื่อเรียนต่อระดับอุดมศึกษา ใบหน้าหวานหม่นลงแต่ก็ยังพยายามยิ้มแย้ม ไม่แสดงอาการเศร้ากับการจากลา คิดว่าอย่างไรก็ติดต่อเขาได้
โทรศัพท์ก็มี ข้อความส่งหากันได้ตลอด...
ร่างสูงลงจากรถยนต์เข็นกระเป๋าสองใบเข้ามาในอาคารใหญ่ เลือกเดินทางไปกรุงเทพฯ โดยใช้เครื่องบิน สะดวกสบายไม่ต้องนั่งนาน พ่อกับแม่มาส่งถึงข้างในพร้อมกับแฟนสาวที่กอบกุมมือกันไว้ไม่ห่าง เพียงแค่คิดว่าจะไม่ได้เจอกันบ่อย ใจก็ห่อเหี่ยวซะแล้ว
“พี่ปลื้ม...” หยุดยืนหน้าเคาน์เตอร์ของสายการบิน เขาเหลือบมองรอบบริเวณที่ไม่ค่อยมีผู้โดยสารเพราะเข้าไปข้างในกันหมดแล้ว
เสียงหวานเอ่ยเรียกแผ่วเบา เขายืนตรงข้ามเธอแล้วยิ้มให้แม้แววตาจะอาวรณ์ ไม่อยากไปเรียนไกลแต่ก็ต้องทำเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเอง
อุตส่าห์เอาชนะคนนับพันที่ยื่นคะแนนพร้อมกันมาได้ จะให้ทิ้งไปเพราะผู้หญิงก็คงโดนทางบ้านดุด่า เขาจำต้องกระชับสายกระเป๋าสะพาย เรียกความเข้มแข็งให้ตนเองยามมองดวงหน้าหวานที่ตาแดงก่ำ
ลัลนาก็พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้เช่นเดียวกัน...
“พี่จะโทรหาเช้า เที่ยง เย็น ไม่ให้ขาดการติดต่อเด็ดขาด” ย้ำหนักแน่นเพื่อให้เธอเชื่อใจ ระยะทางเป็นอุปสรรคของเรา แต่เขาจะไม่มีวันทำให้มันเป็นปัญหาใหญ่ของความรัก
“ถ้าไม่โทรมาตามที่บอก ต่ายจะบุกไปหาถึงกรุงเทพฯ เลย คอยดูสิ” แววตากลมขึงขังเอาเรื่อง เธอทำหน้าบึ้งยามคิดว่าเขาอาจจะอยู่กับหญิงอื่นแล้วทิ้งตน
ชีวิตในกรุงเทพฯ ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนต่างจังหวัด เต็มไปด้วยแสงสีสิ่งล่อตาล่อใจ อีกทั้งสังคมมหาวิทยาลัยที่เขาอยู่ก็มีสิ่งเย้ายวนมากมาย นอกจากเรื่องเรียนก็ห่วงเรื่องผู้หญิงที่อาจทำให้อติกานต์หวั่นไหว
แต่เธอจะเชื่อใจเขา...เราต้องเชื่อใจกันและกัน
“อยากให้ไปหาจัง ไม่โทรดีกว่า” แกล้งเย้าจนคนที่กำลังเศร้าต้องเรียกเขาเสียงดัง
“พี่ปลื้ม!” หล่อนเกือบจะโกรธแล้วหากเขาไม่รีบแก้คำ กอบกุมมือนุ่มเอาไว้ทั้งสองข้าง พลางเอ่ยอ้อนอย่างที่ไม่เคยทำกับใคร
ไม่น่าเชื่อว่าความรักของเราจะมาถึงวันนี้
เขาคือแฟนคนแรก คือรักครั้งแรกของเธอ จึงอยากทะนุถนอมเอาไว้ให้แสนนาน อาจจะดูเพ้อฝันแต่ตนเคยคิดอยากมีแฟนคนเดียวไปตลอดชีวิต หากไม่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเลิกรากันเสียก่อน
“ล้อเล่น พี่จะโทรทุกวันตามที่เราตกลงกันไว้ พี่จะตั้งใจเรียนไม่นอกลู่นอกทาง รอกระต่ายตัวน้อยไปหา...พี่สัญญา” ดวงตาคมหลุบมองสร้อยจี้วัวที่หญิงสาวห้อยคอเอาไว้ไม่ยอมถอด มุมปากหยักยกยิ้มทันที เขาเองก็ห้อยสร้อยจี้กระต่ายเช่นเดียวกัน
เหมือนเป็นคำมั่นสัญญาของเราทั้งสองคน ว่าจะรอวันกลับมาเคียงคู่กันอีกครั้ง
นิ้วก้อยยื่นไปตรงหน้าคนตัวเล็ก คำพูดที่เขาเอ่ยล้วนมาจากใจ หล่อนไม่ลังเลที่จะเกี่ยวก้อยสัญญาใจ ปากหยักเบะเล็กน้อยเกือบร้องไห้จนต้องฮึบไว้อีกรอบ
“ต่ายก็จะขยันอ่านหนังสือ สอบเข้ามหา’ลัยเดียวกับพี่ให้ได้ ถึงมันจะยากแค่ไหน...ต่ายก็จะพยายาม” ให้คำมั่นกับเขาเช่นเดียวกัน หล่อนไม่อยากรั้งอนาคตของคนรัก แต่จะพยายามตามเขาไปเพื่อจะได้ยืนเคียงกันอย่างเหมาะสม
คนรอบข้างอาจจะมองความรักของพวกเขาเป็นแค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยแบบวัยรุ่น แต่ลัลนาอยากให้เราอยู่ด้วยกันตลอดไป...
ใครว่าเด็กจะมีรักที่มั่นคงไม่ได้
“แฟนพี่น่ารักจังเลย แบบนี้จะไม่ให้รักยังไงไหว” อยากโผเข้ากอดด้วยความเอ็นดูและรักที่เต็มเปี่ยม แต่ก็ถูกท้วงจากบุพารีที่ยืนมองอยู่สักพัก
“ล่ำลากันเสร็จหรือยัง ต้องเช็คอินแล้วนะปลื้ม” น้ำเสียงไม่ได้ดุ แต่เอ่ยย้ำเมื่อดูเวลาเห็นว่าเหลืออีกไม่กี่นาทีเคาน์เตอร์จะปิดให้เช็คอิน ควรทำเรื่องสำคัญก่อนแล้วค่อยมาพูดกันอีกรอบก็ไม่สาย
ร่างสูงผละห่างจากลัลนา แล้วค่อยเข้าไปต่อแถวเพื่อจะได้เช็คอิน เหลียวหลังมามองแฟนสาวหลายรอบจนขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อย กระเป๋าที่มีติดตัวไม่เยอะ แม้จะมีสองใบแต่ก็สามารถนำขึ้นเครื่องได้จึงไม่ต้องเสียเงินเพิ่มโหลดใต้ท้องเครื่อง
กลับมายืนล่ำลาครอบครัวที่ยังไม่ยอมไปไหน ใจหายเมื่อต้องจากบ้านเกิดไปอยู่เมืองที่ไม่คุ้นเคย ถึงจะมีญาติที่บิดามารดาฝากฝังให้ดูแล แต่ก็ไม่อุ่นใจเท่าอยู่บ้านของตัวเอง ดวงหน้าคมจึงหม่นลงแล้วเหลือบมองลัลนาที่ยืนข้างแม่ตน
“ม้า...ผมฝากดูแลแฟนผมด้วยนะ” คำแรกที่เอ่ยนึกว่าจะบอกคิดถึงแม่ แต่ดันฝากแฟนซะอย่างนั้น คุณกมลเนตร วัฒนาพิบูลย์ส่องค้อนวงโตให้ลูกชาย แต่ก็ไม่วายรับปากเป็นมั่นเหมาะ เห็นถึงความห่วงใยที่สองคนมีให้ต่อกัน
อีกทั้งความน่ารักของลัลนาทำให้ท่านเอ็นดู ไม่ขัดขวางทางรักที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ของเด็กวัยรุ่น ไม่ต้องคิดถึงอะไรมาก...มีเพียงแค่คำว่ารัก
“อื้อ ม้าจะดูแลหนูต่ายให้เอง ไม่ต้องห่วงหรอก ห่วงแต่เราเถอะ...อยู่ที่นู้นก็ตั้งใจเรียน อย่าไปสนใจพวกอบายมุขมากนัก เข้าใจหรือเปล่า” เตือนเรื่องที่เป็นห่วงลูกชาย แต่รู้ดีว่าคนอย่างอติกานต์ไม่ค่อยชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
แต่หากคบเพื่อนที่ชักชวนไปในทางผิด ก็น่ากังวลเหมือนกัน ท่านจึงคิดจะไปหาลูกเพื่อดูความประพฤติทุกเดือน
“ครับ!” รับคำเสียงหนักแน่น พร้อมรอยยิ้มกว้างแล้วค่อยเดินมาหยุดยืนตรงหน้าคุณวันชัย วัฒนาพิบูลย์
สองพ่อลูกค่อนข้างสนิทกัน ท่านเป็นคนสอนลูกเตะบอลตั้งแต่เล็กจนกลายเป็นชื่นชอบ มีบิดาเป็นตัวอย่างแต่ก็มักหยอกล้อทำเหมือนไม่ค่อยถูกกันจนคนนอกเข้าใจผิดไปหลายราย
“ป๊า ผมไปก่อนนะ ดูแลม้าด้วย แล้วก็อย่ากินของทอดของหวานเยอะ เบาหวานจะถามหาเอาได้” เอ่ยเตือนเมื่อเห็นว่าท่านเริ่มมีโรคมารุมเร้า เขาอยู่ด้วยยังพอห้ามปรามได้บ้างเรื่องการกิน เพราะทั้งครอบครัวต่างตามใจท่านกันหมด
“รู้แล้วน่า รีบไปๆ เหม็นหน้าแกเต็มทน” โบกมือไล่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมไปสักที เอาแต่เดินวนเวียนอยู่รอบกาย จนต้องเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่ค่อยชอบการบอกลาเท่าไหร่
ท่านมีลูกสาวคนเล็กสุดที่รักอภิสรา วัฒนาพิบูลย์แต่ส่งไปเรียนกรุงเทพฯ กับญาติตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่ พอกลับมาแต่ละทีอยู่ไม่กี่วันก็ต้องกลับไปเรียนพิเศษ ยามบอกลารู้สึกใจหายจึงไม่ชอบความรู้สึกนี้
“รู้หรอกว่ากลัวร้องไห้ โอเค ไปแล้ว คิดถึงก็ไปหาผมได้นะ บินชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว” สูดลมหายใจลึก พยายามตัดใจเดินหันหลังเข้าเกท ถึงมันจะยากมากแค่ไหน เขาไล่สายตามองคนในครอบครัวแล้วหยุดลงที่ลัลนา อยากกอดหล่อนแต่ก็ทำได้เพียงโบกมือลา
จังหวะที่กำลังจะหันหลังเพื่อเดินเข้าไปข้างใน เสียงหวานก็ตะโกนเรียกเสียก่อน พร้อมก้าวเท้าเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าเขา
“พี่ปลื้ม!” อติกานต์มองหล่อนนิ่ง เริ่มอยากเปลี่ยนใจเสียเดี๋ยวนี้ แค่คิดว่าต้องห่างกันใจก็โหยหาตั้งแต่ยังไม่ทันได้เดินไปไหน
เขารักลัลนา...รักมากจริงๆ
“นี่เป็นถุงหอมที่ใส่พวกกลีบดอกไม้แห้งแล้วก็เครื่องหอมเอาไว้ ต่ายทำเองตั้งแต่ขั้นตอนเย็บผ้า...อยากให้พี่พกติดตัว” ค่อยหยิบถุงผ้าสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ตนอุตส่าห์นั่งถักอยู่สองนาน ยื่นไปตรงหน้าเขาเหมือนเป็นของที่ระลึก
ร่างสูงหยิบมาพินิจ มันเล็กกว่ามือเขาอีก พกพาสะดวกทั้งยังสวยงามอีกต่างหาก เป็นผ้าสีขาวที่ถูกปักลวดลายจากหญิงสาวผู้เป็นที่รัก เห็นถึงความใส่ใจจนต้องยกขึ้นมาดอมดม มุมปากหยักยกยิ้มเมื่อถุงผ้าใบนี้หอมยิ่งกว่าน้ำหอม
“อื้อ หอมดี เหมือนมีต่ายอยู่ใกล้ๆ เลย” กำถุงผ้าไว้แน่นแล้วยิ้มให้เธอ เกือบหกเดือนที่คบกัน ถึงจะทะเลาะกันบ้างแต่ก็ไม่เคยข้ามวัน ตัวติดกันเจอหน้าที่โรงเรียนตลอด
พอต้องห่างเขาก็ใจหาย...
“ถุงหอมจะมีกลิ่นแค่สองเดือน ถ้ามันไม่หอมแล้ว...พี่กลับมาเปลี่ยนอันใหม่กับต่ายนะ ต่ายจะทำไว้รอ” หลุดยิ้มกับประโยคที่คล้ายเป็นการบังคับกรายๆ แต่เขาก็ยินดีจะทำเมื่อมันเป็นคำขอของบุคคลอันเป็นที่รัก
“แผนให้กลับมาหาหรือเปล่า” เย้าเล่นจนคนตัวเล็กต้องเชิดใบหน้า แต่ก็ยอมรับโดยดี
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
“จะรีบจองตั๋วกลับมาเลย...รอพี่หน่อยนะ” ยกมือลูบศีรษะมน เขาตัดสินใจคว้าเธอมากอดไม่อายสายตาคนที่เดินผ่านไปมา กระต่ายตัวน้อยแทบจะจมลงไปในอกของรุ่นพี่ตัวสูง หล่อนกอดตอบทันทีพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
อยากเร่งวันเวลาเพื่อให้ถึงวันสอบของตัวเองบ้าง หล่อนจะได้ไปหาเขาที่เมืองหลวง ไม่ต้องอยู่ห่างแล้วทนคิดถึงแบบนี้...
“พี่ก็ต้องรอต่ายเหมือนกัน” บอกเสียงอู้อี้แล้วรีบถูใบหน้ากับเสื้อของเขาเมื่อน้ำตาไหลเป็นสาย ไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้
“พี่รักต่าย” กระซิบแผ่วเบาข้างหูหล่อน กอดแน่นเพื่อเป็นการย้ำความรู้สึกของตัวเอง เกยใบหน้าไว้ที่ไหล่เล็ก สูดดมกลิ่นหอมจากร่างแบบบางเอาไว้ อีกสองเดือนเขาจะกลับมากอดเธออีกครั้ง พร้อมทวงถุงหอมที่หญิงสาวสัญญาเอาไว้
ความรักทางไกลไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเรามั่นคงต่อกันมันก็คงไม่ยากนักหรอก คิดไว้อย่างนั้นว่าจะรอเธอจนกว่าจะถึงวันที่หญิงสาวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันได้
“รู้แล้ว รีบไปเลย เดี๋ยวตกเครื่องหรอก” ตีแผ่นหลังกว้างเพื่อบอกให้ปล่อย แต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมให้หล่อนเป็นอิสระ ยังคงกอดไว้อย่างนั้นไม่สนใจสายตาของคนที่มองมา กระทั่งบิดามารดาที่ยืนกอดไหล่กันแล้วมองลูกชายกับคนรักด้วยความเอ็นดู
“บอกรักพี่ก่อนสิ รอฟังคำนี้อยู่นะ ไม่งั้นพี่ไม่ไป” ยังคงดื้อดึงไม่ยอมไปไหน เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าเครื่องจะออก เข้าไปข้างในก็แค่นั่งรอ สู้กอดหล่อนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้
“รีบไป” สั่งเสียงเข้มเมื่อเริ่มเห็นคนที่เดินผ่านไปมาเหลียวมอง เธอไม่ใช่คนหน้าหนาเหมือนเขาสักหน่อยที่จะไม่รู้สึกอาย
“ไม่ไป”
“ต่ายรักพี่ พอใจหรือยัง รีบไปได้แล้ว” รีบบอกเพื่อตัดปัญหา แม้จะเขินมากแค่ไหนก็ตาม ไม่บ่อยที่จะบอกรักเขา แค่คิดก็เขินแล้ว ยิ่งโดนสายตาคมจ้องมองก็ต้องรีบหลบทันที
อติกานต์ยอมปล่อยหล่อนเป็นอิสระ จ้องเข้าไปในดวงตากลมที่เปล่งประกาย ถึงเธอจะหันหนีเขาก็ประคองใบหน้าหวานให้เงยมองตนเองจนได้
“แล้วจะกลับมาหานะ” คำสัญญาของเขา เรียกน้ำตาเธอให้กลับมาอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงต้องปลอบแฟนสาวอยู่นานกว่าจะได้เดินเข้าเกท ปล่อยลัลนาโบกมือลาแล้วยิ้มกว้างทั้งที่น้ำตาไหลเปื้อนแก้มต้องรีบเช็ดออก
บิดามารดาของเขามองตามอยู่ห่างๆ ให้เวลาทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกัน แต่กระนั้นก็อดห่วงบุตรชายที่พ้นจากการเป็นผู้เยาว์ สามารถดูแลตัวเองได้ไม่ต้องอยู่ในความปกครองของพวกท่านตลอดเวลาอย่างตอนเป็นเด็กอีกต่อไป
“ปล่อยให้ลูกไปเองจะดีเหรอป๊า เราน่าจะไปส่งถึงคอนโด...” คนเป็นแม่ยังคงห่วงไม่เลิก มองตามแผ่นหลังที่เคยเล็กแต่บัดนี้กลับกว้างจนโอบท่านได้ทั้งตัว
เด็กชายอติกานต์ในวันวาน...เติบโตขึ้นมากจริงๆ
“ปลื้มโตแล้ว ปล่อยให้ไปคนเดียวนั่นแหละดี อีกหน่อยก็ต้องทำอะไรเอง อย่ากังวลไปนักเลยน่า” ท่านปลอบคู่ชีวิตที่ครองรักกันมาหลายสิบปี ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็อดเป็นห่วงลูกชายไม่ได้ อยู่ด้วยกันมาตลอด พอหายไปหนึ่งคนก็รู้สึกวูบโหวง
“เฮ้อ ลูกชายทั้งคนนี่น่า”
“ทียัยพรีมไปอยู่กรุงเทพฯ เป็นสิบปี ไม่เห็นเธอจะห่วงเท่าปลื้มไปไม่กี่ปีเลย” เย้าแหย่กับความรักของแม่ที่เหมือนจะเอนเอียง จนโดนค้อนวงใหญ่จากคนที่ยืนข้างกาย
“ก็พรีมมีคนดูแล ปลื้มไปอยู่คนเดียว จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง” ลูกสาวคนเล็กไปอยู่เมืองหลวงเป็นสิบปี ใช้ชีวิตที่นั่นจนกลมกลืนกลายเป็นสาวชาวกรุงไปแล้ว อีกทั้งยังมีญาติคอยดูแลไม่ต้องกังวล สถานการณ์สองพี่น้องค่อนข้างต่างกัน
จะห่วงอติกานต์มากกว่าก็ไม่แปลก ลูกคนโตต้องไปอยู่เมืองใหญ่ตัวคนเดียว
“คิดถึงเดี๋ยวจะพาไปเยี่ยม ไม่ต้องกังวลหรอก...กลับบ้านกันดีกว่า” เมื่อลูกชายเดินลับสายตา ก็หมดธุระที่จะต้องอยู่สนามบิน พวกท่านตกลงว่าจะแวะกินข้าวก่อนกลับบ้าน เมื่อเช้ารีบมาเพราะกลัวไม่ทันยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย
“ต่าย กลับบ้านกันลูก” คุณกมลเนตรเรียกสาวน้อยที่ชะเง้อคอมองเขาไม่ยอมผละไปไหนสักที แต่พอได้ยินคำชวนก็จำต้องตอบรับ
“ค่ะม้า” เดินออกจากสนามบิน ไม่วายเหลียวกลับมามองคนตัวสูงที่ไม่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว
ผ่านไปไม่กี่นาที แต่ทำไมมันเหมือนนานเป็นปีแล้วล่ะ...