บท
ตั้งค่า

๒ ความเปลี่ยนแปลง (๒)

ลงจากเครื่องเดินตามทางที่แสนยาวมาจนถึงโซนที่นัดกับเพื่อนเอาไว้ ใช้เวลาบนเครื่องแค่หนึ่งชั่วโมง ไม่รวมกับการนั่งรอขึ้นเครื่องและลงจากเครื่อง แต่เขาไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่ สิ่งที่คิดในหัวคืออยากกลับบ้านมากกว่าทั้งที่กิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยจะเริ่มพรุ่งนี้

ไม่อยากเรียนแล้ว...อยากกลับไปหาแฟน

กระทั่งดวงตาปะทะเข้ากับแผ่นกระดาษเอสี่ที่เรียงต่อกันยาวเกือบหนึ่งเมตร พร้อมเขียนข้อความต้อนรับซะยาวเหยียด

‘ยินดีต้อนรับปลื้มใจสู่เมืองหลวงอันกว้างใหญ่’

ปลื้มใจบ้านพ่อมึงสิ!

ด่าในใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกไป ทำเพียงส่ายศีรษะระอากับเพื่อนสนิทของตัวเองทั้งสองคนที่มาถึงเมืองหลวงก่อนหน้าไม่กี่วัน แต่เที่ยวเล่นจนเริ่มชำนาญเส้นทางแล้ว

“เพื่อนปลื้มมาแล้วครับ! ทางนี้ๆๆ” กวักมือเรียกเสียงดังคนรอบข้างจึงหันมามอง เขารีบเดินไปหาเพื่อนแล้วคว้ากระดาษต้อนรับมาขยำทันที พร้อมมองด้วยแววตาคมดุจนคนที่เหลือไม่กล้าจะเอ่ยหยอกล้อ ไม่รู้ไปกินรังแตนมาจากไหน

“พวกมึงก็ตามติดกูไม่ห่าง มากรุงเทพฯ ยังจะเข้ามอเดียวกันอีก กูล่ะเบื่อหน้าจริงๆ” ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนสมัยประถม มัธยมยังตามมาถึงมหาวิทยาลัยอีก ชีวิตนี้จะหนีสองคนนี้ได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย ไม่น่าจะเป็นพรหมลิขิต เรียกว่าเวรกรรมเหมาะกว่า

“มึงยังไม่หมดเวรหมดกรรมจากพวกกูง่ายๆ หรอกครับไอ้ปลื้ม อยู่ตามเกาะหลังมึงไปอีกนานยิ่งกว่าชัตเตอร์เกาะติดวิญญาณอีก” คนที่ชอบดูภาพยนตร์เป็นชีวิตจิตใจอย่างปารมี วาดสินกาลหรือป๊อดบอกกับเพื่อนแล้วเกาะหลัง แต่ก็โดนสะบัดหลุดทันที

เพื่อนช่วยเข็นกระเป๋าใบใหญ่ไปยังรถยนต์ที่จอดรออยู่ข้างหน้าสนามบิน อิษวัต พหลวัชลูกชายหัวแก้วหัวแหวน พ่อแม่เปิดร้านขายของชำนับสิบสาขาอยู่ทั่วจังหวัด พอสอบติดมหาวิทยาลัยชั้นนำในเมืองหลวงก็ได้รถยนต์ทันทีจึงคิดจะขับไปเรียน

มาถึงกรุงเทพฯ สามวันสองหนุ่มพากันตระเวนเที่ยวจนหนำใจ แล้วค่อยมารับเพื่อนในกลุ่มอย่างอติกานต์เป็นคนสุดท้ายพร้อมพากันไปยังคอนโดมิเนียมหรูที่บิดาของอีกฝ่ายซื้อไว้ให้สำหรับพักอาศัยยามลูกมาร่ำเรียนโดยเฉพาะ

“เดี๋ยวกูปลุกเสกน้ำมนต์มาไล่พวกมึงเอง” ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายระหว่างเดินมาที่รถยนต์

“รุ่นนี้ไม่กลัวน้ำมนต์ครับ แล้วคอนโดมึงไปทางไหนวะ รีบพาพวกกูไปเลย จะได้แหล่งกบดานใหม่แล้ว” ขนของขึ้นท้ายรถ จากนั้นจึงเปิดประตูนั่งเบาะหลัง ถอนหายใจโล่งอกหลังจากผ่านความแออัดของคนที่ใช้บริการในสนามบิน ไม่คิดว่าจะมีคนเยอะขนาดนี้

“ห้องกูเอาไว้นอนอย่างเดียว ไม่อนุญาตให้จัดปาร์ตี้อะไรทั้งนั้น” บอกชัดเจน เขาต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่อยากให้ห้องนอนที่เงียบสงบกลายเป็นแหล่งบันเทิงของเพื่อน

“อะโธ่ อ่อนว่ะ” ปารมีที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับถึงกับส่ายหน้า อุตส่าห์วาดฝันจะไปดื่มเบียร์ที่คอนโดของเพื่อนสักหน่อย เพราะห้องของตนค่อนข้างเล็ก บรรยากาศไม่ดีเท่าห้องอติกานต์

แต่มีหรือที่เจ้าของห้องจะฟัง กลับเลือกหยิบโทรศัพท์แล้วกดโทรออกถึงคนรักที่ห่างกันยังไม่ทันข้ามวัน ทว่าหัวใจกลับเรียกหาด้วยความคิดถึง รอสายไม่นานหล่อนก็รับจึงได้กรอกเสียงทักทายพร้อมฉีกยิ้มกว้าง เล่นเอาคนที่อยู่บนรถต้องส่ายหน้าระอาในความติดแฟน

“ฮัลโหลต่าย พี่อยู่บนรถกับพวกไอ้ป๊อดไอ้ดิษแล้วนะ กำลังจะไปคอนโด” รายงานตัวตามที่เคยสัญญาเอาไว้

‘รับทราบค่ะ’ ปลายสายตอบรับแต่ก็มีเสียงขับขี่รถยนต์แทรก จนเขาสงสัยว่าเธออยู่ที่ไหน ยังไม่ทันได้ถามเพื่อนสนิทก็โพล่งขึ้นมาซะก่อน

“น้องต่ายครับ เดี๋ยวพี่จะดูแลไอ้ปลื้มให้เองนะ รับรองว่ามันจะไม่มีโอกาสหลีหญิงแน่นอน พี่จะกำราบเสือร้ายในตัวมันให้เอง” ได้ยินเสียงหลุดขำจากปลายสาย เขาเลยต้องประเคนฝ่ามือลงที่กบาลของปารมีสักป๊าบ

“มึงหุบปากสิ กูจะคุยกับแฟน” เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ แต่อติกานต์ไม่ได้สนใจ

“อย่าไปฟังไอ้พวกนั้นนะ ถึงมันไม่ดูแลพี่ก็ไม่คิดมีใครหรอก พี่มีต่ายแค่คนเดียว” ย้ำชัดอีกครั้งจนหล่อนถึงกับเงียบไปพักหนึ่ง แล้วค่อยลดเสียงพูดลงเหมือนไม่อยากให้คนรอบข้างได้ยิน

‘ปากหวานเข้าไป ถึงห้องแล้วค่อยโทรมานะ ต่ายยังไม่ถึงบ้านเลย ม้าจอดรถพากินข้าวอ่ะ บ้ายบาย’ สงสัยหล่อนคงกินข้าวกับครอบครัวเขาเพิ่งเสร็จ ไม่น่าล่ะทำไมถึงได้ยินเสียงรถขับผ่านชัดนัก นึกว่าถึงบ้านแล้วซะอีก

ชอบที่ลัลนาสนิทกับครอบครัวของเขา เพราะตนก็สนิทกับพ่อของหล่อนเช่นเดียวกัน ส่วนแม่ของหญิงสาว...ไม่ค่อยต้อนรับเขาเท่าไหร่

“เฮ้อ น่ารักว่ะ แฟนกูน่ารักเนอะ คิดถึงต่ายแล้วทำไงดี บินกลับไปบ้านอีกทีดีไหม บ้านกูรวยอยู่แล้วขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก” วางสายแล้วดูรูปคู่ของพวกตนที่ตั้งเป็นหน้าจอโทรศัพท์ พึมพำอยู่อย่างนั้นโดยที่ดวงตาไม่คลาดเคลื่อนจากใบหน้ามน

เริ่มอยากบอกเพื่อนให้วกรถกลับไปสนามบินซะแล้วสิ

“มึงช่วยคลั่งรักดูเวลาหน่อย พรุ่งนี้มหา’ลัยมีกิจกรรมสำหรับเฟรชชี่นะครับ มึงจะโดดไม่ได้” เตือนสติคนที่แววตาเพ้อฝัน เหมือนโดดดูดเข้าโลกสีชมพู คนที่ไม่มีความรักมองหน้ากันแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าระอา

“ฝันถึงวันแต่งงานของเรา ฝันว่าเราแก่ไปด้วยกัน...”

“ไปไกลแล้ว เพื่อนกูเป็นเอามาก” ถึงกับพึมพำนึกอนาถยามที่อติกานต์ร้องเพลงถึงคนรัก เขาคิดว่าคู่นี้คงคบกันจนแต่งงานนั่นแหละ

ระยะทางไม่น่าจะมีผลอะไร...

เข้ากิจกรรมของกลุ่มเด็กใหม่ เขากลายเป็นที่สนใจจากรูปลักษณ์หล่อเหลา และมีรุ่นพี่มาขอสัมภาษณ์ลงบอร์ดมหา’ลัย ทั้งมีเป็นคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ กว่าจะหลุดออกจากกลุ่มคนมายังคณะของตัวเองได้ เหงื่อไหลโทรมกายทั้งยังกระหายน้ำจนต้องซื้อมาดื่มหมดไปหนึ่งขวดภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ความสนุกสนานพอทำให้เขาคลายความคิดถึงบ้านได้บ้าง เจอเพื่อนร่วมคณะและอยู่สาขาวิชาเดียวกันก็รีบทำความรู้จัก ไม่แน่ใจอนาคตอาจได้พึ่งพาอาศัย

ชายหนุ่มเลือกเรียนคณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครอง เพื่อนต่างแย้งเพราะเขาค่อนข้างเก่งคำนวณ สงสัยว่าทำไมถึงได้ฉีกแนวมาเลือกสายสังคมทั้งที่คะแนนสูง สามารถเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้สบาย

ความจริงเขาชอบเรียนวิชาสังคมมากกว่า แต่มารดาอยากให้เรียนสายคณิต-วิทย์เพื่อจะได้มีทางเลือกเยอะยามสอบเข้ามหา’ลัย พอตอนนี้ที่เขาสามารถเลือกเองได้คนที่บ้านจึงไม่อยากขัด คิดว่าเรียนจบกลับมาก็ให้ลูกรับกิจการของทางบ้านต่ออยู่ดี

“มุก! นึกว่าจะไม่เจอเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน” ระหว่างนั่งรอเรียกเข้ากิจกรรม สายตาก็สบเข้ากับหญิงสาวหน้าตาหมดจด เขาจำได้ทันทีว่าเธอคือเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน แต่ไม่ค่อยสนิทเพราะอยู่คนละห้อง ได้พูดคุยบ้างตอนที่ทางโรงเรียนจับให้ถือป้ายตอนงานสำคัญด้วยกันบ่อยครั้ง

จนคนทั้งโรงเรียนต่างพูดถึงความเหมาะสมของพวกเขา ทว่าไม่มีการพัฒนาความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อน

“เราก็ดีใจที่เจอปลื้ม..แล้วก็อยู่คณะเดียวกับปลื้ม เป็นไงบ้าง พักที่ไหนเหรอ” ร่างบางเดินเข้ามายืนตรงหน้าเขา หล่อนฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ

ประกายมุก พาวลัยการณ์สาวสวยเป็นที่หมายปองของผู้ชายหลายคน แม่เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังประจำจังหวัด อีกทั้งบิดายังมีตำแหน่งเป็นถึงผู้ว่าราชการอีกต่างหาก หล่อนจึงเหมือนดอกฟ้าที่ไม่มีใครกล้าอาจเอื้อม

“คอนโดใกล้มอ มุกล่ะ” นอกจากเรียนคณะเดียวกันแล้ว ยังเลือกภาควิชาเดียวกันอีก เขาดีใจเมื่อได้พบคนบ้านเดียวกัน ไม่ต้องทนเหงาลำพัง

“เราก็คอนโด...” บอกชื่อคอนโดยิ่งทำให้ร่างสูงตกใจ

“เฮ้ย คอนโดเดียวกันเลย เราอยู่ชั้นห้า”

“เราอยู่ชั้นสี่! ไม่น่าเชื่อว่าจะบังเอิญขนาดนี้ ไว้ตอนอ่านหนังสือช่วยติวให้เราด้วยนะ” ไม่น่าเชื่อว่าความบังเอิญจะมีอยู่จริง ทุกอย่างราวกับถูกจัดวางเอาไว้ให้เขาคู่กับเธอ แต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากคิดอะไรมาก เลือกจะชวนคุยระหว่างรอรุ่นพี่จัดสถานที่

“มุกแหละต้องติวให้เรา ตอนนี้สมองโล่งมาก...เหมือนพี่ๆ เรียกแล้ว เราเข้าไปกันไหม” ทุกคนเดินไปนั่งเป็นแถวยาวตรงลานหน้าคณะ

“อือ” อติกานต์ให้ความสนใจด้านหน้า โดยไม่ได้มองว่ามีสายตาหนึ่งคู่จ้องเขาด้วยความรักที่ลึกซึ้ง หล่อนแอบยกยิ้มมุมปากยามคิดว่าทุกอย่างเป็นใจเสียเหลือเกิน

ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์หลอกถามปารมีเรื่องที่พักของเขาสำเร็จ ต่อจากนี้เธอจะเริ่มเข้าหาโดยใช้ความเป็นเพื่อนบังหน้า

ให้รู้ไปสิว่าคนไกลจะชนะคนที่อยู่ใกล้...

ส่งอติกานต์ไปเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนตนก็เปิดเทอมขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า ความรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินเพราะไม่มีคนข้างกาย ต้องมาเรียนและกลับพร้อมบิดา ตอนเที่ยงก็กินข้าวกับกลุ่มเพื่อนสนิท สิ่งที่เพิ่มคือหล่อนตั้งใจอ่านหนังสือมากขึ้น

มักจะมีสมุดโน้ตเล่มเล็กติดมือเสมอ จุดมุ่งหมายคือสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับอติกานต์ เมื่อก่อนไม่เคยคิดจะสอบเข้าที่นี่ จนเป็นแฟนกับเขา...

เหมือนชายหนุ่มเข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในชีวิตของเธอ จนทำให้กลายเป็นลัลนาที่ดีกว่าเดิม

“ทำเป็นขยันอ่านหนังสือ อีตอแหล” โรงอาหารช่วงเย็นไม่ค่อยมีคนมานั่งเท่าไหร่ โต๊ะเรียงรายมีเพียงโต๊ะของเธอที่ถูกจับจอง ความเงียบโอบล้อมระหว่างรอบิดาไปซื้อของสำหรับทำอาหารมาขายวันพรุ่งนี้

แต่แล้วก็มีเสียงดังเบื้องหลัง พอเหลือบมองก็เห็นกลุ่มผู้หญิงห้าคนยืนเรียงแถวแบบหน้ากระดาน ด้วยแววตาคมดุพร้อมกับท่าทีคุกคามจนน่ากลัว คนหัวเดียวกระเทียมลีบเก็บของบนโต๊ะเข้ากระเป๋า ลุกยืนแล้วคิดจะหลีกหนี

เธอไม่ใช่คนที่จะชอบต่อสู้หรือลับฝีปากกับใคร เลือกจะถอยห่างเรื่องพวกนี้ดีกว่า ทว่ายังเดินไม่ถึงสามก้าวก็ถูกขวาง

“หลีกทางด้วยค่ะ” กดเสียงต่ำทั้งยังต้องข่มใจตัวเองไม่ให้แสดงความกลัว ถึงมือจะชื้นเหงื่อ ตัวสั่นแล้วกวาดสายตามองโดยรอบเพื่อหาตัวช่วย

แต่ไม่มีใครเลยสักคน...

“โห พูดเพราะซะด้วย คิดว่ากูดูไม่ออกเหรอว่ามึงร่านแค่ไหน คิดจะอ่อยผัวคนอื่นก็ช่วยดูด้วยว่าเมียเขาเป็นใคร” หัวหน้ากลุ่มที่ยืนตรงกล้าพูดจิกพร้อมกำผมหล่อนจนลัลนาที่ไม่ได้ตั้งตัวเจ็บศีรษะ ทว่าเธอยังคงเงียบไม่ร้องโอดครวญให้ดูว่าตนเจ็บปวด เลือกจะเหลือบตามองป้ายชื่อ เห็นว่าเป็นรุ่นพี่มัธยมศึกษาปีที่หก

ที่น่าสงสัยมากกว่านั้นคือเธอไปอ่อยใคร...

มีแฟนอยู่แล้วและรักแฟนมาก ช่วงนี้ก็เรียนกับอ่านหนังสือ ทำเพียงแค่สองอย่างจนแทบไม่ได้กินข้าวบางมื้อด้วยซ้ำ

มากล่าวหากันได้ยังไง

“แต่งชุดนักเรียนก็ช่วยพูดจาให้เกียรติชุดที่สวมหน่อยเถอะ อีกอย่างใครไปอ่อยแฟนพี่...เอาจริงแฟนพี่เป็นใครหนูยังไม่รู้จักเลย” เอียงศีรษะแล้วยืดกายตามแรงดึงเพื่อให้ความเจ็บทุเลาลง พยายามพูดเสียงเรียบไม่ดูเป็นการหาเรื่องมากเกินไป

อยากจบด้วยดีแต่เหมือนฝ่ายตรงข้ามจะคิดมาเป็นอย่างดีว่าสุดท้ายต้องลงไม้ลงมือ

“ไม่รู้จัก ไม่รู้จักแล้วแฟนกูคุยแชทกับมึงได้ยังไง!” หล่อนงุนงงเมื่อถูกกล่าวหาเพราะตนแทบไม่ได้เข้าอินเตอร์เน็ต นอกจากโทรคุยกับอติกานต์อย่างเดียวหรือส่งข้อความหากันบ้างแต่ส่วนมากเลือกโทรเพื่อให้ได้ยินเสียง

“ไม่ต้องพูดมากหรอกมึง อีนี่มันตอแหล กูว่าตบเลยดีกว่า” จังหวะที่อีกฝ่ายง้างมือจะตบ เธอหลับตาแน่นเตรียมพร้อมรับความเจ็บ

“ทำอะไรกันน่ะ!”

แต่มีเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยทันเวลาพอดี...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel