ข้าไม่ยินดีสักนิด
"แต่ข้าไม่ยินดีสักนิดที่ได้พบหน้านาง" ยังไม่ทันที่ม่านเหม่ยจะได้ตอบอะไรกลับไปเขาได้แทรกขึ้นเสียก่อน
“เอ่อ แม่นางเจ้าอย่าได้ถือสาท่านรองแม่ทัพเลย แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนเช่นนี้” เยว่อินบอกหญิงสาวตรงหน้า
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ข้าไม่นำมาใส่ใจหรอกเจ้าค่ะ”
“ข้าเคยบอกเจ้าไปตั้งหลายหนแล้วว่าอย่าทำตัวน่ารำคาญเช่นนี้อีก”
“พี่เฟิ่งฉี ท่านพูดกับนางแรงเกินไปรึไม่”
“หึ! นี่ถือว่าเบาแล้วด้วยซ้ำ หากเทียบกับสตรีอื่นที่เคยวิ่งตามติดข้าราวกับปลิงก็มิปาน”
“แม้ท่านจะพูดจาร้ายกาจกับข้า แต่ข้าไม่มีวันยอมแพ้หรอกเจ้าค่ะ แม้จะต้องใช้เวลานานเท่าใดก็ตามข้าจะทำให้ท่านมีใจให้ข้าให้ได้”
“เช่นนั้นเจ้าก็จงฝันไปก่อนเถิด ข้าไม่มีวันคิดเช่นนั้นกับเจ้าแน่”
“คุณหนู” บ่าวรับใช้จวนตระกูลโจววิ่งหน้าตั้งมาหาม่านเหม่ย
“เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ”
“ใต้เท้าให้บ่าวรับใช้เรียกท่านกลับจวนขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว ขอบใจเจ้ามาก ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับจวนก่อนนะเจ้าคะ” นางหันไปบอกชายหนุ่ม ทว่าไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา
“…”
หลังจากที่เซียวม่านเหม่ยกลับไปแล้ว เยว่อินได้ซักไซ้เขาต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างปิดไม่มิด
“ดูท่าแล้วนางคงชอบพอท่านน่าดู แล้วเหตุใดท่านถึงได้แสดงท่าทีหยาบคายใส่นางมากถึงเพียงนั้น” นางถาม เหตุเพราะตั้งแต่รู้จักเขา ไม่เคยมีสักคราที่ชายหนุ่มจะหยาบคายใส่ผู้ใดอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้มาก่อน
“เป็นเพราะนางตามตอแยข้าไม่เลิก สตรีอื่นเพียงแค่ข้าเอ่ยปากไล่อ้อม ๆ พวกนางก็วิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง แต่มิใช่กับเซียวม่านเหม่ย ข้าไล่นางนับครั้งไม่ถ้วน เคยบอกนางตามตรงตั้งหลายหนแต่นางกลับไม่ยอมปล่อยข้าไป ช่วยไม่ได้ที่ข้าจำต้องทำเช่นนี้”
“ทำไมท่านไม่ลองเปิดใจให้นางล่ะเจ้าคะ ไม่แน่ว่าท่านอาจชอบพอนางก็ได้”
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้า...” เฟิ่งฉีจ้องมองใบหน้าหวานด้วยแววตาสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ทันได้เอ่ยจนจบประโยคเยว่อินได้เอ่ยขึ้นทันทีราวกับว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาต้องการเอ่ยอันใดถึงได้ขัดขึ้น
“พี่เฟิ่งฉี ข้าออกจากจวนนานแล้วเกรงว่าท่านพ่อจะเป็นห่วง ข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ ถ้าหากท่านมีเวลาว่างอย่าลืมแวะมาหาข้าที่จวนบ้าง”
“เจ้าไปเถิด หากข้ามีเวลาย่อมต้องไปเยี่ยมเจ้าที่จวนแน่” เขาบอกพร้อมกับรอยยิ้ม
เหลียนอี้มองปราดเดียวก็รู้ได้ในทันทีว่าเจ้านายของตนคิดกับสตรีคนนี้อย่างไร เพียงแต่เขาไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก หากสักวันคนที่จะมาเป็นนายหญิงตระกูลโจวเป็นแม่นางจากตระกูลเยว่ โคตรเง้าตระกูลของนางหาใช่ว่าจะดีเสียหนักหนา เพราะถ้าหากดีจริงคงไม่ถูกเบื้องบนเนรเทศให้ไปอยู่นอกเมืองหลวงนับสิบปี...
ขณะที่เท้าก้าวเดินคนรับใช้คนสนิทได้เอ่ยถามเจ้านายของตนด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“คุณหนู เหตุใดท่านถึงเอ่ยขัดท่านรองแม่ทัพหรือเจ้าคะ ข้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าท่านแม่ทัพมีใจให้ท่าน”
"ข้าเพิ่งย้ายกลับมาเมืองหลวงได้ไม่นานยังไม่รู้แน่ชัดว่าตระกูลโจวมีความสำคัญต่อราชสำนักมากน้อยเท่าใด ประโยชน์ของตระกูลย่อมต้องมาก่อนความรู้สึกส่วนตัว"
"เช่นนั้น หากใต้เท้าเยว่ประสงค์อยากให้ท่านแต่งงานคุณหนูจะเลือกแต่งกับผู้ใด"
"ข้าย่อมแต่งกับบุรุษที่ช่วยส่งเสริมตระกูลเยว่อยู่แล้ว"
"ตระกูลโจวต้องสนับสนุนตระกูลเยว่อย่างแน่นอน"
"แม้ตระกูลโจวจะเป็นตระกูลใหญ่ แต่ถ้าเทียบกับตระกูลเหนียนที่ครองอำนาจวังหลังไว้ทั้งหมดยังถือว่าด้อยกว่ามาก"
"ได้ยินท่านพูดเช่นนี้ แสดงว่าตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งกับผู้ใด"
เซียวม่านเหม่ยแอบเดินตามหลังพวกนางมาเงียบ ๆ เดิมทีคิดว่าแม่นางจากตระกูลเยว่เป็นคนน่าคบหาจึงได้คิดผูกมิตรด้วย ทว่าพอได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของนางกลับทำให้มิได้อยากสนิทชิดเชื้อด้วยอีก เพราะความคิดของนางกับสตรีนางนี้ต่างกันคนละขั้ว ม่านเหม่ยเพียงต้องการแต่งงานกับบุรุษที่ตนรักเท่านั้น แต่มิใช่กับเยว่อินที่ต้องการแต่งงานกับบุรุษที่มีอำนาจ ความจริงข้อนี้ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดมากทีเดียว แต่ที่เยว่อินกล่าวหาได้เป็นความจริงเสียทั้งหมด
