๑ คนใกล้มือ (๓)
“เอ่อ อชิ...”
“อยู่นี่ครับแม่”
เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังพร้อมการปรากฏตัวของลูกคนเล็กที่เป็นขวัญใจคนทั้งบ้าน
เกสรไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงไม่หลบอยู่ในห้องน้ำ ทั้งยังยิ้มแย้มเหมือนเมื่อครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นแล้วยังเชื้อเชิญคุณปรางทิพย์เข้ามาในห้องของหล่อนอีกต่างหาก
“เข้ามาข้างในก่อนสิครับ ผมกับน้ำกำลังทำโปรเจคจบ นี่ก็เสร็จไปครึ่งหนึ่งแล้วครับ”
หล่อนมองตามเขาด้วยความทึ่ง อชิราไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย สมกับที่เขาเรียนการแสดงมาต่างจากเธอที่แทบจะหลอมรวมกับกำแพงสีขาวเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่อยากจะเอ่ยปากตอบสิ่งใดทั้งสิ้น
คุณปรางทิพย์มองกองหนังสือและเอกสารมากมายที่อยู่บนพื้นก็ยิ้มกว้าง ลูกชายของเธอช่างขยันเสียจริง แต่ก็ต้องขอบคุณเกสรที่คอยเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้อชิราตลอด ตอนแรกคิดว่าจะไปไม่รอด ที่ไหนได้คว้าเกรดเฉลี่ย 3.5 มาให้พ่อแม่ได้ชื่นชมตลอด
“ป้าเนียงทำแกงเลียงของโปรดเรามาฝาก แล้วก็มีพวกผลไม้กับขอกินเล่นนิดหน่อย นี่แม่อุ่นมาให้แล้วกินเลยไหม จะเที่ยงแล้วด้วย...หนูน้ำก็กินข้าวด้วยกันนะลูก ผอมลงกว่าที่เห็นคราวก่อนอีก โหมอ่านหนังสือหนักใช่ไหม”
ความจริงเธอน้ำหนักขึ้นด้วยซ้ำจากการขุนของลูกชายท่าน แต่คงใส่เสื้อตัวใหญ่เกินไปจึงดูเหมือนว่าตัวเล็กลง เธอไม่ได้ค้านคำพูดของท่านเลือกพยักหน้าตามน้ำไปน่าจะดีที่สุด
“แม่กินด้วยไหม” หยิบถุงกับข้าวจากมือมารดามาถือไว้เอง แล้วเอ่ยชวนท่านแต่กลับโดนปฏิเสธซึ่งเขาก็คิดไว้แล้วว่าคำตอบคงเป็นเช่นนี้
“ไม่ล่ะ แม่แค่เอากับข้าวมาส่ง ส่วนพวกผลไม้เอาวางไว้หน้าห้องให้แล้ว” ห้องของพวกเขาอยู่ข้างกัน ชายหนุ่มจึงเดินไปหน้าห้องแล้วหยิบถุงผลไม้เข้ามาด้วย
คนที่บ้านของเขารู้ว่าหญิงสาวเช่าห้องอยู่ข้างกัน แต่ที่ไม่ทราบคือลูกชายตัวดีเป็นฝ่ายออกเงินค่าที่พักให้สาวทุกเดือนมาเป็นระยะเวลาเกือบปีแล้ว
“แม่รู้ได้ไงว่าผมอยู่ห้องของน้ำ” เจ้าของห้องรีบนำผลไม้ไปล้างในโซนครัวแล้วจัดใส่จานมาเสิร์ฟคุณปรางทิพย์ที่นั่งลงตรงโต๊ะอาหารซึ่งมีเก้าอี้เพียงสองตัวเท่านั้น
“ไม่อยู่ห้องตัวเองทีไรก็มาอยู่ห้องหนูน้ำทุกทีนั่นแหละ” คนพูดไม่ได้คิดอะไรเพราะรู้ว่าหญิงสาวเป็นเพียงเพื่อนสนิทของลูกชาย แววตาของอชิราไม่มีความเสน่หายามมองอีกฝ่าย เพียรถามเกือบทุกครั้งคำตอบก็ยังคงเหมือนเดิมคือเป็นเพื่อนกัน
จนท่านที่เอ็นดูเกสรอยากได้มาเป็นสะใภ้ต้องเสียดายอยู่ร่ำไป แต่ก็ดีใจที่อชิราได้รับมิตรภาพดีๆ ทั้งยังพากันไปในทางที่ดีอีกต่างหาก
“ช่วงนี้งานเยอะต้องเร่งทำหน่อยครับ” อ้อนเป็นปกติกับครอบครัว ขณะที่เธอก็เมียงมองเขา ชอบตอนที่อชิราอยู่กับครอบครัว เหมือนว่าชายหนุ่มจะเป็นตัวเองมากกว่าเดิม
“เอาล่ะแม่ไม่กวนแล้ว ทำงานกันตามสบายนะ ไว้ว่างๆ แม่จะมาหา...เราก็กลับบ้านบ้างล่ะ คุณปู่บ่นคิดถึงจะแย่แล้ว”
พยักหน้าแล้วเดินไปส่งมารดาถึงชั้นล่าง อ้อนไม่หยุดจนได้เงินใส่ไว้ในบัญชีตามความต้องการ
ขณะที่ร่างบางกลับไปนั่งพิมพ์งานเหมือนเดิม สายตายังลอบมองประตูเป็นครั้งคราว หวังจะได้เห็นอีกคนเปิดเข้ามา แต่กลายเป็นว่าเขาไม่กลับเข้ามาที่ห้องของเธอ อาหารที่เคยร้อนเริ่มเย็นชืดเมื่อไม่มีคนรับประทาน จนสุดท้ายเกสรต้องเก็บมันใส่กล่องแล้วนำไปแช่ไว้ในตู้เย็น
หากเขากลับมาค่อยอุ่นให้กินอีกรอบ...
หล่อนนั่งทำงานในส่วนของตัวเองจนเสร็จจึงเก็บเอกสารวางไว้บนโต๊ะให้เป็นระเบียบ จากนั้นก็เอนกายลงนอนบนโซฟาพลางเปิดเพลงคลอไปด้วย ไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาอันรวดเร็วด้วยความเหนื่อยล้า
ตื่นมาอีกคราภายนอกก็มืดแล้ว มองนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเธอนอนตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงช่วงค่ำ ท้องร้องเป็นการประท้วงบอกให้รู้ว่าหิว จึงเดินไปหาอะไรกินในตู้เย็น พบแกงเลียงที่คุณปรางทิพย์นำมาฝากลูกชาย จึงขอแบ่งมากินเพราะคร้านจะทำกินเอง แต่พอเห็นไข่ที่อยู่ในตู้เย็นก็หยิบมาสองฟองเพื่อทอดกินยามเย็น
อาหารพร้อมแล้วจึงลงมือรับประทานเพียงลำพัง เหงาหน่อยแต่ก็ยังอิ่มท้อง ระหว่างนั้นเธอก็เปิดโทรศัพท์ท่องโลกอินเตอร์เน็ต
จนสายตาสะดุดเข้ากับภาพของเขาที่ไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนสมัยมัธยมปลาย ข้างกายยังมีสาวสวยหน้าตาดีที่เธอไม่รู้จัก
ที่แท้เขาก็ออกไปหาคนอื่นหลังเสร็จสมอารมณ์หมายกับร่างกายของเธอ...
ตอกย้ำความจริงให้เกสรสำนึกถึงสถานะของตัวเอง เธอพยายามแล้วที่จะไม่เอาใจลงไปเล่น เหลืออีกแค่สองเดือนทุกอย่างก็จะจบลง
หล่อนจะได้รับใบจบแล้วได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ ชีวิตต่อจากนี้คงยุ่งมากจนไม่ได้เจอกัน วิถีการใช้ชีวิตแตกต่างเดี๋ยวคงห่างหายไปเอง คิดดังนั้นก็ปิดหน้าจอโทรศัพท์แล้วกินข้าวเพียงลำพังแล้วเช็ดน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าออก
เธอยังมีครอบครัวต้องดูแล ยังมีภาระอีกมากมายต้องรับผิดชอบ ห้ามใจอ่อนกับความรักเด็ดขาด
ระหว่างเราก็มีเพียงแค่ผลประโยชน์เท่านั้น...
ถึงจะอยู่ชั้นปีสุดท้ายก็ใช้ว่าตารางเรียนจะน้อยลง เธอยังคงจัดตารางให้ตัวเองแน่นเหมือนเดิมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ หญิงสาวผ่านการฝึกงานเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีที่บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างประเทศ ทั้งยังถูกชักชวนให้เข้าทำงานหลังจบการศึกษา จึงไม่ต้องคิดมากเรื่องหลังเรียนจบเพราะมีที่ทำงานแล้ว เงินเริ่มต้นก็อยู่ในระดับพึงพอใจแล้วค่อยไต่เต้าไปเรื่อยๆ
ร่างบางงัวเงียตื่นตามเวลาปกติคือเจ็ดโมงเช้า จากเมื่อคืนที่นอนหลับบนเตียงกว้างคนเดียว เช้ามากลับกลายเป็นมีมือหนาพาดที่ช่วงเอวเอาไว้ พอหันไปมองก็พบคนตัวสูงที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกัน
เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมหล่อนไม่รู้สึกตัวสักนิด...
“เช้าแล้วเหรอ” ยกแขนของเขาออกจากเอวแล้วหมายจะลงเตียง แต่อีกฝ่ายกลับถามเสียงอู้อี้คล้ายคำพูดอยู่ในลำคอ
“อือ”
“วันนี้เรียนบ่ายไม่ใช่เหรอ”
“ฉันมีเรียนวิชาเสรี นายนอนไปเถอะ”
ถึงอารมณ์ของหล่อนจะไม่สู้ดีนัก แต่ก็เก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้เพียงลำพัง ลุกจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไม่ลืมหยิบชุดนักศึกษาไปด้วย
ชำระร่างกายแล้วแต่งกายด้วยชุดถูกระเบียบ มองตัวเองในกระจกแล้วถอนหายใจ ครั้งที่เขาเสื้อก็ขาดเพราะถูกชายหนุ่มฉีก ซื้อมาให้ก็ดันซื้อไซส์ที่ใหญ่กว่าตัวหล่อนอีก คล้ายสวมเสื้อพ่ออย่างไรก็ไม่รู้ เหมือนเด็กศิลปกรรมมากกว่าเด็กบัญชี
“ทำอาหารเช้าไว้ให้แล้วนะ นายจะไปเรียนกี่โมง” หญิงสาวใช้เวลาในการทำแซนวิชเป็นอาหารเช้าให้ตัวเองและเผื่อคนที่นอนหลับไม่ยอมตื่น ถึงจะน้อยใจเขาแค่ไหนก็รู้สถานะตัวเองดี จึงไม่อยากเอาอารมณ์มาเป็นตัวตั้ง
ถ้าเธอเป็นแฟนเขาแล้วน้อยใจถึงจะแสดงอาการได้
แต่ตอนนี้เราเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น...ทำอะไรที่แสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้สักอย่าง
“มีเรียนบ่าย...เธอไม่กลับมาห้องเหรอ” งัวเงียลุกนั่งบนเตียง พลางถามเสียงเบาแล้วขยี้ตา ก่อนลุกมากอดร่างบางพลางถูไถที่ใบหน้าหวานจนเธอต้องผลักหน้าเขาออกห่าง อีกฝ่ายหัวเราะร่วนมีความสุขที่ได้แกล้ง
เพราะเขาเป็นแบบนี้ แล้วใจของเธอจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร
คนทำไม่คิด...แต่คนโดนกระทำกลับคิดไปไกล
“เหม็นปาก ไปแปรงฟันได้แล้ว”
“จุ๊บๆ หน่อย” เขาทำปากจู๋แล้วพยายามยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แต่ถูกเธอปิดปากหยักเอาไว้เสียก่อน
“ไม่”
รีบสะบัดกายออกแล้วเดินไปนั่งกินแซนวิชและนมจืด คนตัวสูงจึงเดินไปแปรงฟันแล้วทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ก่อนเดินถอดเสื้อออกมานั่งฝั่งตรงข้าม กินแซนวิชที่หญิงสาวทำไว้ให้อย่างเอร็ดอร่อย เพราะเมื่อคืนแทบไม่มีอะไรตกถึงท้องนอกจากเหล้า
เพื่อนสมัยมัธยมไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่แล้วกลับมาบ้าน จึงนัดเจอกันสังสรรค์เกือบค่อนคืน เขาเกือบถูกเพื่อนมอมเหล้าแต่โชคดีที่หนีเอาตัวรอดมาได้ ถึงห้องก็นอนคนเดียวไม่หลับจึงมานอนกับหล่อน ค่อยหลับสนิทหน่อย
เขาหยิบโทรศัพท์มาตอบข้อความพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ขณะที่เธอก็ทำได้เพียงเหลือบมองโดยไม่พูดอะไร ไม่อยากเชื่อว่าตนจะนั่งอยู่ในห้องกับหนุ่มหล่อทั้งยังเป็นคนมีชื่อเสียงอีกต่างหาก นึกว่าฝันไปเสียด้วยซ้ำ
“ให้ไปส่งไหม” เขาละสายตาจากหน้าจอแล้วสบตาหล่อน จนเกสรต้องแสร้งหลบแล้วมองทางอื่น
“ไม่ต้องหรอก นายนอนเถอะ”
“โอเค”
ความใจดีของเขามันกำลังทำให้เธอเคยชินและทำร้ายกันทางอ้อม
ถ้าไม่คิดอะไร...อย่าทำเหมือนรักได้หรือเปล่า