บทที่1. 2/4
“รสถูกหลอกมาน่ะพี่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อยู่ในเม็กซิโกแล้ว จะหนีกลับก็ทำไม่ได้ทั้งพาสปอร์ต บัตรประชาชน เอกสารทางราชการโดนยึดไปหมด รสหนีออกมาจากขุมนรกนั้นได้ก็เป็นบุญที่สุดแล้ว ไม่อย่างนั้นรสคงได้ไปเป็นผู้หญิงขายตัวอยู่ที่ซ่องไหนซักแห่งในประเทศนี้แล้วแหละ” จรสจันทร์กล่าวเสียงสั่นเทา แววตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“พุทธโธ่!!!...เวรกรรมจริงๆ เลยนะ”
“ช่างมันเถอะพี่...รอดมาได้ก็บุญแล้วแหละ แต่ว่า…ตอนนี้รสอยู่ที่ไหนคะ รสอยากกลับบ้านรสต้องทำไงบ้าง???”
“เหมืองแร่กัลตาโว...สุดเขตแดนประเทศเม็กซิโก ไกลจากตัวเมืองเป็นพันๆ กิโลเลย...เห้อ กลุ้มใจแทนจริงๆ”
“ออกไปคุยกันข้างนอก...กูจะนอน...” เกอร์เตสตวาดเสียงก้อง เขาเหลือบมองทรวดทรงองค์เอวของเด็กสาวอย่างประเมิน แต่วันนี้เขาเพลีย ไม่มีแรง ไม่มีอารมณ์สุนทรี จึงออกปากไล่หล่อน และลูกน้องอย่างไม่แยแส
“นายจะให้ผมพาเธอไปอยู่ไหนครับ เอกสารไม่มีติดตัวมาสักชิ้น จะให้ไล่ออกไปอยู่ข้างนอกคงได้ตายภายในวันนี้แน่” ราเชษฐออกปากช่วย เขาวิงวอนเจ้านาย เพื่อขอความเห็นใจแทนจรสจันทร์เด็กสาวจากประเทศเดียวกัน
“อืม...พาไปหาพีลา ให้หาห้องหับให้อยู่ หางานให้หล่อนทำด้วย ฉันจะจ่ายค่าจ้างให้ แต่คงไม่เท่าแรงงานคนอื่นๆ เมื่อไม่มีเอกสารมายื่นรับเงิน”
“ครับนาย...” ราเชษฐพาจรสจันทร์ออกไปจากบ้านพักของเกอร์เตส เมื่อเจ้านายอนุญาตให้เด็กสาวพักอาศัยและทำงานอยู่ในเหมืองแร่เหมือนเช่นคนงานคนอื่นๆ ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น แม้จะโหดเหี้ยมและดุดัน แต่เกอร์เตสก็ไม่เคยเหยียบซ้ำคนที่ตกทุกข์ เขาจึงให้ความช่วยเหลือแม้จะนิดหน่อยก็ตามที
นับจากวันนั้นจรสจันทร์จึงจำต้องทำงานอยู่ที่เหมืองแร่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นควัน เพื่อหาสตางค์ค่าเครื่องบินกลับบ้านเกิดของตัวเอง แต่ก็ดีกว่าถูกหลอกมาขายตัวไกลบ้านไกลเมือง พร้อมทั้งยื่นเรื่องขอเอกสารยืนยันตัวตนทางประเทศไทย ที่ให้ราเชษฐเป็นธุระให้
เกอร์เตสคอยแอบมองลูกจ้างสาวคนใหม่ ด้วยแววตามันปราบ รูปร่างหล่อนอวบอัด กลิ่นกายหอมละมุนเตะจมูก แววตาเหมือนลูกกวางระวังภัย มันปลุกสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่ชื่นชอบเกมไล่ล่าให้ลุกโชน เขาจึงคอยแอบมองจรสจันทร์ทุกครั้งที่มีโอกาสพบเจอหล่อน
เวลา3เดือนผ่านไปไวเหมือนติดปีก ยิ่งใกล้วันขีดเส้นตายมากขึ้นเท่าไหร่จรสจันทร์ก็ยิ่งร้อนใจ นายทุนหน้าเลือดให้เวลา6เดือนสำหรับให้เด็กผู้หญิงแบบจรสจันทร์หาเงินมาไถ่ถอนที่ดิน ก่อนที่เขาจะยึด เพราะไม่มีเงินสดไปไถ่ถอน เธอเป็นห่วงทั้งพ่อและแม่ที่เมืองไทย แต่ก็จนปัญญาจะหาทางช่วย เมื่อตัวเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดในต่างถิ่น ขนาดอยากจะส่งข่าวให้พ่อกับแม่รู้ก็ยังจนใจ กลัวว่าบุพกาลีทั้งสองท่าน จะตกใจ และเป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม เธอจึงรีรอหาโอกาสอยู่เรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปใกล้กำหนดจ่ายเงินไถ่ถอนที่ดินเข้ามาทุกทีๆ
“พ่อจ๋าแม่จ๋า รสจะทำไงดี รสอยากช่วยพ่อกับแม่เหลือเกิน แต่มันมืดแปดด้านไปหมดแล้วจ้ะ” จรสจันทร์เงยหน้ามองท้องฟ้ายามกลางคืน แผ่นฟ้าหม่นมัวเหมือนหัวใจของเธอที่ใกล้จะดับมอด
“อิอิๆ...” เสียงหัวเราะดังระริกระรี้ ของเรย่า สาวสวยประจำเหมืองแร่ ที่มีผู้ชายรุมล้อมไม่ได้ขาด เสียงหัวเราะนั้นอยู่ในห้องของหล่อนเอง จรสจันทร์นิ่งฟัง เธอได้ยินเสียงลมหายใจฟืดฟาดผสมปนมาด้วย เขาและเธอคงทำกิจกรรมในร่ม ภารกิจที่จรสจันทร์นึกเอือม เมื่อสาวเจ้าตัวแม่อย่าเรย่า ไม่เคยว่างเว้น มีหนุ่มหน้าดุ รูปร่างใหย่เดินเข้าเดินออกห้องของหล่อน เหมือนกับเป็นพื้นที่สาธารณะ
จรสจันทร์ยกมือขึ้นปิดหู เธอต้องทนฟังเสียงน่าทุเรศแบบนี้เป็นประจำ ทุกคืนตอนดึกๆ มักจะมีเสียงแปลกๆ แบบนี้ดังออกมาจากห้องข้างเคียงจนเป็นความเคยชิน เธอต้องพยายามข่มตาหลับให้ได้ ก่อนที่เสียงครางครวญนั้นจะทำให้ตนเองนอนไม่หลับ วันนี้จรสจันทร์มีเรื่องกังวล เธอจึงนอนตาแข็ง พอรู้ตัวอีกที เสียงน่ารำคาญนั่นก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แต่อะไรบางอย่างดึงเธอกลับมาจากเสียงโอดโอยของเรย่า เงาตะคุ่มๆ เหนือบานหน้าต่างที่ตัวเองลืมเปิดทิ้งไว้ เธอเขม่นมองรู้สึกกลัวจนเหงื่อกาฬไหล