ตอนที่ 2
“ไม่เห็นจะต้องตะเกียกตะกายทำให้ตัวเองขาว ก็ดูอย่างนาโอมิ สิ (Naomi Campbell) ออกจะโด่งดัง”
พ่อเปรยขึ้นลอยๆ บังอาจเทียบเคียงฉันกับนางแบบผิวสีผู้โด่งดังอย่างให้กำลังใจลูกสาว ตอนที่ได้ยินฉันปรึกษาแม่ว่าจะหาซื้อกลูตาไธโอนมากินเพื่อให้ผิวขาว
“โธ่พ่อ… อย่าลืมว่านี่มันเมืองไทยนะ ไม่ใช่เมืองนอกเมืองนา ยังไงผู้ชายก็ชอบขาวใสสไตล์ญี่ปุ่นเกาหลีอยู่ดี”
ฉันหันไปมองหน้าบิดาบังเกิดเกล้าด้วยสายตาขุ่นข้อง นึกค้านอยู่ในใจว่าผู้หญิงยุคสมัยนี้เขานิยมความขาวใส ก็ดูอย่างผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสิ ไม่ได้ไม่ดีก็อวดอ้างสรรพคุณ ‘กระจ่างใส’ เอาไว้ก่อน และมันทำให้นังมาลีตัวดำปิ๊ดปี๋อย่างฉันรู้สึกว่าเกิดมาชาตินี้มีปมด้อยเสียเหลือเกิ๊น… ชิ๊ โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม
“หุ่นอย่างนี้… ผิวอย่างนี้ เอ็งน่าจะหาผัวฝรั่ง โกอินเตอร์ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย”
ป้าแช่ม แม่ค้าร้านขายของชำในหมู่บ้าน แกพูดกรอกหูฉันอยู่บ่อยๆ เวลาไปซื้อของที่ร้าน
ถ้อยคำของป้าแช่มถ้าฟังผ่านๆ เผินๆ ก็เหมือนคำชมโดยทั่วไป แต่คิดอีกทีก็รู้สึกเจ็บระบมในอก ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังโดนขับไสไล่ส่งให้ออกไปจากประเทศนี้ยังไงไม่รู้
“อุ๊ยป้า… บอกตรงๆ ว่าฉันไม่ชอบกินฝรั่ง”
ฉันส่ายหน้าพรืดบอกป้าแช่ม
แม้ว่าผู้หญิงหลายคนนิยมชมชอบชาวต่างชาติก็จริง คนในหมู่บ้านที่ได้ผัวฝรั่งก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่าง แต่สำหรับฉันกลับไม่ชอบฝรั่งเอาเสียเลย รู้สึกพิกลกับผิวขาวๆ ของชาวต่างชาติ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าฉันมีปมด้อยเรื่องความ ‘ดำ’ กระมัง
บอกตรงๆ ว่าสเปคฉันไม่ใช่ฝรั่ง บอกก็ได้… ความจริงฉันแอบกรี๊ดพวกดาราเกาหลีด้วยซ้ำ ประเภทตัวเล็กๆ น่ารัก หน้าขาว ปากแดง กันคิ้ว เขียนขอบตา บางคนหน้าสวยจิ้มลิ้มยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก
“คมขำแบบเอ็งนี้แหละฝรั่งชอบกันนัก”
คราวนี้เป็นคำพูดของคนใกล้ตัว ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก แม่บังเกิดเกล้าของฉันเอง
“ในสายตาของแม่ฉันดำมากมั้ย”
ฉันถามเป็นจริงเป็นจังในวันหนึ่ง ขณะกำลังกินข้าวร่วมโต๊ะกันพร้อมหน้าสามคนพ่อแม่ลูก ได้ยินพ่อนั่งซดน้ำแกงส้มเสียงดังซ่วดๆ
ฉันถามแล้วก็ประสานมือไว้ใต้คาง รอฟังว่าแม่จะตอบยังไง
“ถึงจะดำ แต่เอ็งก็ไม่ได้กระดำกระด่างสักหน่อย… เอ็งคมขำ โบราณเค้าเรียกว่า ‘ผิวสีน้ำผึ้งแก่ไฟ’”
อ่ะ… คำพูดของแม่ทำเอาฉันงง คำนี้ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
“น้ำผึ้งแก่ไฟมันเป็นยังไงแม่?”
ถามพลางขมวดคิ้ว จ้องมองใบหน้าสะสวยของมารดา ผิวพรรณของแม่ขาวผ่อง แม่สวยเสียจนฉันแอบอิจฉาผู้ชายตัวดำปิ๊ดปี๋อย่างพ่อที่สามารถพิชิตใจแม่มาเป็นคู่ชีวิตจนได้
“ก็น้ำผึ้งที่เอาขึ้นเคี่ยวบนเตาไฟแล้วลืมทิ้งเอาไว้นานไปหน่อย… เลยเกือบไหม้”
“ง่ะ… สรุปว่าไหม้… สุดท้ายก็ดำ”
ฉันทำหน้าเซ็งเป็ดกับคำตอบที่ได้ยินชัด
“เออน่ะ… ก็บอกแล้วว่าหุ่นแบบนี้ ผิวแบบนี้ ฝรั่งมันชอบนักละ เอ็งไม่ได้กระดำกระด่าง แต่ดำเนียนดำสวยนะโว้ย แล้วทรวดทรงก็อะร้าอร่ามไม่ผิดแม่”
แม่เชียร์ยกใหญ่ สมแล้วที่เป็นแม่ลูกกัน แต่ฉันก็มีกำลังใจขึ้นมาก
ฉันยกแขนของตัวเองขึ้นพินิจพิจารณา จริงอย่างที่แม่ว่า แม้สีผิวจะเข้ม แต่มันก็เรียบเนียนสม่ำเสมอไม่กระดำกระด่าง
ฉันลองหลับตาแล้วเอามือลูบไล้เนื้ออ่อนๆ ของตัวเองอย่างคับข้องใจ มันนุ่มนิ่มเรียบเนียนอย่างที่แม่ว่าจริงๆ
ฉันลองกดผิวบริเวณต้นแขนกลมกลึงของตัวเองอีกที คราวนี้มันเด้งดึ๋งสู้มือ ฉันรู้ว่าเป็นเพราะแรงกระตุ้นในวัยสาวที่ตอบสนองสัมผัสเร้าได้รวดเร็ว จริงๆ แล้วฉันรู้ว่าร่างกายในวันเจริญพันธุ์ของฉันกำลังโหยหาความรักอยู่ลึกๆ… แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะผ่านมาให้เห็น
สายตาคมประกายทอดทอไปยังหน้าต่างหลังบ้าน แอบมองนกกระจอกสองตัวที่กำลังจีบกันอย่างนึกอิจฉา
ความอ่อนไหวภายในใจทำให้ฉันแอบโอบกอดตัวเอง เอนหลังพิงหน้าต่างเหมือนกำลังเล่นมิวสิควีดีโอ แอบจินตนาการไปว่าฉันเป็นนางเอกที่กำลังรอคอยพระเอก แต่ที่แน่ๆ คงต้องผ่านฤดูหนาวนี้ไปเพียงลำพังอย่างแน่นอน
แม่พูดบ่อยๆ เรื่องที่อยากได้ลูกเขยฝรั่ง ความจริงฉันก็พอเข้าใจความคิดของแม่ แกคงเห็นว่าสังคมให้ค่าของผู้หญิงผิวดำกับผู้ชายผิวดำต่างกัน แม่คงแอบเป็นกังวลว่าลูกสาวคนนี้อาจจะหาผัวคนไทยได้ยากละมั้ง จึงยุยงส่งเสริมบ่อยๆ ให้ฉันเอาฝรั่ง