บทที่ 6 วิ่งโร่มาเอาเรื่อง
เจียงฉิงฟางพาเด็กๆ เดินซื้อของกินของใช้เพิ่มอีกจำนวนหนึ่งแล้วจึงได้พาเด็กๆ กลับบ้าน แน่นอนว่านางไม่ลืมที่จะซื้อเมล็ดผักและลูกไก่อีกหลายตัวแล้วนำกลับบ้าน
“ท่านแม่ เหตุใดพวกเราจึงไม่ซื้อตัวที่ใหญ่กว่านี้เล่าไก่ตัวเล็กถึงเพียงนี้ต่อให้มีหลายตัวก็ยากที่จะทำให้อิ่มท้อง” คำพูดของจ้าวฉางยวนทำให้เจียงฉิงฟางหัวเราะออกมาในทันที
“แม่ไม่ได้ซื้อพวกมันมาทำอาหาร แต่จะเลี้ยงพวกมันเอาไว้เพื่อให้พวกเจ้ามีไข่ไก่กินทุกวันต่างหาก” เมื่อเจียงฉิงฟางเอ่ยเช่นนี้เด็กน้อยทั้งสามก็หันไปมองหน้ากัน
“อีกตั้งนานกว่าแม่ไก่จะออกไข่”
“แล้วถ้ามันไม่ออกไข่เลยล่ะ”
“ข้าไม่เคยเห็นท่านแม่คิดจะเลี้ยงไก่มาก่อนเลย”
จ้าวฉางหนิง จ้าวฉางยวนและจ้าวฉางเยี่ยนเอ่ยออกมาคนละประโยคตามลำดับ เจียงฉิงฟางไม่เพียงไม่โกรธอีกทั้งยังตอบคำถามของพวกเขาทีละประโยคเช่นเดียวกัน
“เชื่อแม่เถิดว่าสำหรับเด็กน้อยอย่างพวกเจ้าไม่นับว่านานหรอก”
“ถ้าพวกมันไม่ออกไข่ พวกเราก็แค่จับพวกมันมาถอนขนแล้วต้มกินเพียงเท่านั้น ถึงยามนั้นพวกมันก็คงจะตัวใหญ่เพียงพอที่จะต้มกินแล้ว”
“ไม่เคยเลี้ยงให้พวกเจ้าเห็นก็ใช่ว่าจะเลี้ยงไม่เป็น” คำพูดของเจียงฉิงฟางทำให้เด็กทั้งสามพยักหน้าอย่างเห็นพ้องต้องกันในทันที
“ท่านแม่เปลี่ยนไป!”
“พวกเจ้าอยากจะให้แม่กลับไปเป็นเช่นเมื่อก่อนก็ได้นะ เสื้อผ้าที่ร้านผ้าสกุลจี้เอามาส่งพวกเราก็แค่ส่งคืนกลับไป ลูกไก่พวกนี้ก็แค่นำกลับไปขายคืน ส่วนเมล็ดผักเหล่านี้ก็แค่นำไปมอบให้ท่านตาและท่านยายของพวกเจ้าเพียงเท่านี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว ยังไม่นับว่าให้แม่กลับไปทุบตีพวกเจ้าเช่นเดิม แถมยังลงโทษพวกเจ้าด้วยการทำให้พวกเจ้าอดข้าวอดน้ำพวกเจ้าชอบแบบนั้นใช่หรือไม่” เมื่อเจียงฉิงฟางเอ่ยเช่นนี้เด็กน้อยทั้งสามก็เอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันในทันที
“ไม่!”
“ดี! ในเมื่อแม่ยอมปรับเปลี่ยนตนเองแล้วพวกเจ้าเองก็เช่นเดียวกัน ต่อไปนี้ห้ามดื้อ ห้ามเถียง ที่สำคัญห้ามออกนอกบ้านไปรังแกผู้อื่น อ้อ! แล้วก็ห้ามเอาเรื่องในบ้านไปพูดเพื่อแลกเงินด้วย” เมื่อเจียงฉิงฟางเอ่ยเช่นนี้เด็กน้อยทั้งสามก็พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน เจียงฉิงฟางจึงได้ยิ้มพาพวกเขากลับบ้าน
เมื่อไปถึงบ้านแล้วสิ่งแรกที่นางทำก็คือหากรงขังลูกไก่เอาไว้ก่อน ให้น้ำและอาหารพวกมันแล้วจึงได้ทำอาหารง่ายๆ ให้เด็กๆ กิน นางรู้สึกเหนื่อยมากจึงทำแค่เพียงบะหมี่ให้ตนเองและเด็กน้อยทั้งสามคนละชาม ยามที่คนจากร้านสกุลจี้นำเสื้อผ้ามาส่งให้พวกนางแม่ลูกก็กินอาหารเย็นใกล้จะเสร็จแล้ว เจียงฉิงฟางตรวจสอบเสื้อผ้าที่ได้รับอย่างละเอียดอีกครั้งแล้วจึงได้ตกรางวัลให้แก่คนที่นำเสื้อผ้ามาส่งให้ เมื่อคนจากร้านสกุลจี้กลับไปแล้วนางจึงได้กลับมานั่งกินบะหมี่ที่ยังเหลืออยู่ของตนเองต่อจนหมดชาม
“ทำไมเย็นนี้พวกเจ้าจึงไม่ออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อนๆ เล่า” เจียงฉิงฟางถามเด็กๆ เมื่อเห็นว่าพวกเขากินบะหมี่จนหมดชามแล้ว
“ท่านแม่ทำงานเพียงคนเดียวพวกข้าก็เลยคิดว่าอยู่รอช่วยท่านจะดีกว่า หากท่านต้องการความช่วยเหลือพวกข้าจะได้ช่วยท่านแม่ได้” เป็นจ้าวฉางเยี่ยนเอ่ยออกมา ระหว่างที่เอ่ยเขาก็เก็บชามบะหมี่ของตนเองของน้องชายและน้องสาวแล้วจึงเก็บชามของเจียงฉิงฟางเพื่อเตรียมนำไปล้าง
“อันที่จริงพวกเจ้าก็มีนิสัยที่ไม่เลวเลย โดยเฉพาะเจ้าฉางเยี่ยน เจ้าเป็นพี่ชายที่ดูแลน้องๆ ได้ดีมาก ทั้งที่น้องๆ เกิดทีหลังเจ้าไม่ถึงครึ่งก้านธูปเสียด้วยซ้ำ” เจียงฉิงฟางเอ่ยออกมาเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยทั้งสามช่วยกันเก็บล้างและทำความสะอาดจานชามโดยไม่ต้องออกคำสั่ง
“แล้วก่อนหน้านี้ท่านแม่เห็นว่าพวกข้าเป็นคนเลวหรือ” จ้าวฉางเยี่ยนเอ่ยถามออกมาพลางจ้องมองนางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสา เจียงฉิงฟางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วจึงได้ทอดถอนใจออกมา
“เด็กเช่นพวกเจ้าดุจผ้าขาวที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ใหญ่เช่นข้านี่เองที่เป็นคนที่ทำให้พวกเจ้าต้องแปดเปื้อน” เจียงฉิงฟางเอ่ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะทกสะท้อนใจ ทำให้จ้าวฉางเยี่ยนเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ท่านแม่ คงมิใช่ว่าศีรษะของท่านแม่จมน้ำนานเกินไปหรอกนะ ท่านจึงได้พูดจาแปลกประหลาดออกมาเช่นนี้” คำถามของเด็กน้อยตรงหน้าทำให้เจียงฉิงฟางนิ่งงั้นไปครู่หนึ่งแล้วจึงได้หัวเราะพรืดออกมาเมื่อคิดได้ว่ายามนี้นางกำลังถูกเด็กชายต่อว่าด้วยถ้อยคำที่คล้ายๆ กับที่นางต่อว่าเจียงฉิงเหยาเข้าเสียแล้ว
“นั่นสินะ ในหัวของแม่อาจจะมีน้ำเข้าไปมากจนเกินไปจริงๆ ก็เลยทำให้ความคิดความอ่านที่เคยว่างเปล่าพลันตื่นรู้ขึ้นมา” เจียงฉิงฟางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะแล้วจึงได้เอ่ยกับเด็กน้อยทั้งสามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“วันหน้าแม่จะพยายามเป็นแม่ที่ดีให้แก่พวกเจ้า จะพยายามสอนแต่สิ่งที่ดีๆ ให้พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างดีและมีความสุขในท้ายที่สุด” เมื่อเจียงฉิงฟางเอ่ยเช่นนี้เด็กน้อยทั้งสามก็หันไปมองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงง แต่แล้วก็ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจมีแค่เพียงจ้าวฉางเยี่ยนที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดี
“ขอแค่ท่านแม่ไม่ตีข้าและน้องๆ อีก พวกข้าก็พอใจแล้ว”
“ตกลง! ต่อไปนี้แม่จะไม่ตีพวกเจ้าอีก ขอแค่พวกเจ้าเป็นเด็กดีแม่รับรองว่านอกจากจะไม่ตีพวกเจ้าแล้วยังจะคอยดูแลพวกเจ้าให้ดีไม่ปล่อยให้พวกเจ้าต้องเผชิญกับความหิว ความหนาวและจะไม่ทิ้งพวกเจ้าให้อยู่ตามลำพังโดยไม่มีแม่คอยดูแลอีก” เมื่อเจียงฉิงฟางเอ่ยเช่นนี้เด็กทั้งสามก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดี พวกเขาไม่รู้หรอกว่าคำว่าเด็กดีของมารดาพวกเขาต้องทำเช่นไรบ้าง แต่ขอแค่มารดาดีต่อพวกเขาชีวิตของพวกเขาจะต้องมีความสุขมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
สี่แม่ลูกกำลังเตรียมตัวจะเข้านอนก็พลันมีเสียงคนร้องเรียกจากด้านนอกของรั้วบ้าน เจียงฉิงฟางคิดถึงเรื่องที่นางพึ่งจะทำร้ายร่างกายของเจียงฉิงเหยาไป นางจึงได้หันไปกำชับกับลูกๆ ของนางด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“พวกเจ้าอยู่แต่ในบ้านนะ” เมื่อเอ่ยจบนางก็เดินไปหยิบมีดสั้นด้ามเล็กที่มีขนาดกำลังเหมาะมือซุกซ่อนเอาไว้ใต้ชายแขนเสื้อ แล้วเดินออกไปหน้าบ้านแล้วเพ่งมองไปนอกประตูรั้ว
“ฉิงฟาง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ยินมาว่าวันนี้ฉิงเหยาไปหาเรื่องเจ้าเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนรนของคนที่อยู่ด้านนอกทำให้เจียงฉิงฟางขมวดคิ้ว ร่างนี้สามารถจดจำเสียงนี้ได้ เป็นเสียงของเฉนอี้ผู้เป็นบุตรชายคนโตของท่านหัวหน้าหมู่บ้านและเป็นสามีของเจียงฉิงเหยา
“พี่เขยค่ำมืดแล้วท่านมาทำอะไรที่นี่” นางเอ่ยถามโดยไม่ยอมเดินไปเปิดประตูรั้วให้เขาเข้ามาเฉนอี้หันไปมองทางรั้วบ้านของท่านลุงและท่านป้าเฉินซึ่งญาติของเขาแล้วจึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“ข้าเป็นห่วงเจ้าก็เลยมาดูว่าฉิงเหยาได้ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า” คำตอบของเขาทำให้เจียงฉิงฟางแค่นเสียงในลำคอออกมา
“ท่านกลับไปดูแลภรรยาของท่านเถิด หากนางรู้ว่าท่านวิ่งโร่มาที่นี่เพื่อมาสอบถามความปลอดภัยของข้า นางจะต้องวิ่งโร่มาหาเรื่องข้าอีกเป็นแน่” คำพูดของเจียงฉิงฟางยังไม่ทันจะจบประโยคดีก็มีเสียงของเจียงฉิงเหยาดังแทรกขึ้นมาก่อน
“ใช่แล้ว! ข้ากำลังวิ่งโร่มาเอาเรื่องเจ้าจริงๆ นั่นแหละ” น้ำเสียงของเจียงฉิงเหยาเต็มไปด้วยโทสะ คนที่ติดตามนางมากนอกจากจะมีหัวหน้าหมู่บ้านแล้วยังมีภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้าน เจียงฝูผู้เป็นท่านลุงใหญ่ของเจียงฉิงฟางและป้าสะใภ้ของเจียงฉิงฟาง เจียงโซ่วผู้เป็นบิดาของเจียงฉิงฟางและลู่เหมยมารดาผู้เจ็บออดๆ แอดๆ อยู่เสมอของเจียงฉิงฟาง
