บทที่ 4 ตัวประกอบ
ตลาดของหมู่บ้านต้าหนิวยังคงเงียบเหงาเหมือนในความทรงจำของเจียงฉิงฟางที่อยู่ในนิยาย แต่สำหรับเจียงฉิงฟางที่พึ่งจะทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างนี้กับรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับร้านรวงต่างๆ ในหมู่บ้าน แม้จะมีอยู่แค่เพียงไม่กี่ร้านแต่ของกินของใช้ล้วนมีวางขายอย่างครบครัน
“พวกเจ้าอยากกินหรือไม่” เจียงฉิงฟางเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยทั้งสามมีสายตาจดจ่ออยู่ที่ถังหูลู่เสียบไม้ที่มีสีสันแวววาวน่ากิน
“ไม่เป็นไรขอรับ ท่านแม่บอกว่าจะซื้อผ้าใหม่ให้พวกข้ามิใช่หรือ ท่านเก็บเงินเอาไว้ซื้อเสื้อผ้าให้พวกข้าจะดีกว่า” จ้าวฉางเยี่ยนเอ่ยออกมาอย่างเด็ดเดี่ยวแม้ว่ายามนี้เขาจะละสายตาจากถังหูลู่ไม่ได้ ส่วนจ้าวฉางยวนและจ้าวฉางหนิงแม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาแต่พวกเขาก็ยกให้การตัดสินใจของจ้าวฉางเยี่ยนเป็นเรื่องที่ถูกต้องเสมอ
“แค่ถังหูลู่ไม่กี่ไม้ ไม่ทำให้ข้าซื้อเสื้อผ้าให้พวกเจ้าไม่ได้หรอก เพียงแต่ต่อไปหากอยากกินอยู่อย่างไม่ลำบากพวกเราจำต้องรู้จักเก็บออมเอาไว้บ้าง ดังนั้นวันนี้แม่จะซื้อถังหูลู่ให้พวกเจ้าคนละไม้ก็แล้วกัน กินแค่พอดี ใช้เท่าที่จำเป็น เพียงเท่านี้พวกเราก็จะได้มีชีวิตอยู่อย่างไม่ลำบากแล้ว” คำพูดของเจียงฉิงฟางทำให้เด็กทั้งสามหันไปมองหน้ากันด้วยความยินดี มารดาของพวกเขาไม่เคยยินยอมซื้อถังหูลู่หรือขนมแป้งทอดให้พวกเขากินเลยสักครั้ง ทำให้พวกเขาต้องดิ้นรนหาหนทางกันเอาเอง แม้กระทั่งข่มขู่เพื่อรีดไถเงินทองจากเด็กที่เล่นด้วยกันพวกเขาก็เคยทำมาแล้วเพื่อที่จะได้มีเงินมาซื้อของกินของใช้ที่พวกเขาอยากได้
“วันหน้าหากพวกเจ้าอยากได้อะไรก็จงมาถามแม่ก่อน หากแม่พอจะซื้อให้ได้แม่ก็ยินดีที่จะซื้อให้พวกเจ้า แต่หากซื้อไม่ได้ก็คงต้องช่วยกันคิดหาวิธี แต่แน่นอนว่าก่อนที่พวกเจ้าจะเอ่ยปากจงคิดให้ถี่ถ้วนว่าของที่พวกเจ้าอยากได้สำคัญหรือไม่ อีกทั้งจงคิดคำนึงด้วยว่าแม่ไม่ได้มีเงินมาก เพราะฉะนั้นของที่พวกเจ้าอยากได้ต้องไม่เกินฐานะของพวกเรามากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นต่อให้ขบคิดจนหัวแทบแตกพวกเจ้าก็ไม่มีทางทำให้แม่ซื้อของชิ้นนั้นให้พวกเจ้าได้หรอก” เจียงฉิงฟางเอ่ยหลังจากที่เด็กๆ ได้รับถังหูลู่คนละไม้แล้ว พวกเขาขานรับพลางรีบกินถังหูลู่ในมือด้วยสีหน้าเบิกบาน เจียงฉิงฟางไม่มั่นใจนักว่าเด็กทั้งสามได้ฟังคำพูดของนางไหม แต่สิ่งที่นางต้องการก็คือพยายามพูดและทำให้เด็กๆ ค่อยๆ ซึมซับคำสอนที่นางคิดว่าจะสามารถช่วยให้ความคิดอ่านและนิสัยใจคอของเด็กๆ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
เดินมาได้เพียงครู่เดียวเจียงฉิงฟางก็มาถึงร้านผ้าสกุลจี้ ทันทีที่นางก้าวเท้าเข้าไปในร้าน ผู้ดูแลร้านก็ออกมาต้อนรับนางด้วยตนเองในทันที
“สะใภ้บ้านจ้าว วันนี้มีผ้าไหมอย่างดีให้เจ้าเลือกหลายชิ้นเลยนะ เจ้าจะซื้อไปตัดเย็บเองหรือว่าจะให้ช่างของเราตัดเย็บให้ก็ได้ รับรองว่าข้าจะลดราคาให้เจ้าเป็นพิเศษเลย” เมื่อผู้ดูแลเอ่ยเช่นนี้เจียงฉิงฟางก็ยิ้มออกมา
ร้านผ้าสกุลจี้แห่งนี้คือร้านผ้าร้านเดียวในหมู่บ้าน นอกจากจะมีผ้าให้เลือกซื้อแล้วยังมีเสื้อผ้าที่ตัดเย็บเอาไว้แล้ววางขายอยู่ เจียงฉิงฟางคือลูกค้าชั้นดีของร้าน นางจึงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเช่นนี้
“วันนี้ข้าตั้งใจว่าจะมาเลือกซื้อเสื้อผ้าให้ลูกๆ ของข้าสักคนละสองชุด ไม่ทราบว่าที่ร้านมีเสื้อผ้าที่ตัดเย็บแล้วในขนาดที่พอดีกับลูกๆ ของข้าหรือไม่” เมื่อเจียงฉิงฟางเอ่ยเช่นนี้ผู้ดูแลร้านก็จ้องมองเด็กทั้งสามอย่างละเอียดอีกครั้งแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ที่ตัดเย็บเอาไว้แล้วและพอดีกับขนาดตัวของลูกๆ ของเจ้าย่อมจะมี เพียงแต่มีราคาแพงระดับหนึ่งเนื่องจากเป็นผ้าชั้นดี ข้ารับรองว่าหากลูกๆ ของเจ้าสวมใส่พวกเขาจะต้องโดดเด่นกว่าเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้านแน่” เมื่อผู้ดูแลร้านผ้าเอ่ยเช่นนี้ก็มีเสียงเย้ยหยันมาจากทางด้านหลังในทันที
“คนอย่างเจียงฉิงฟางมีหรือที่จะยอมทุ่มเทเงินซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้ลูกของนางใส่ หากเอาไปปรนเปรอบุรุษยังน่าจะเป็นไปได้มากกว่า”
“เจียงฉิงเหยาคนอย่างเจ้าไม่คิดจะพูดจาดีๆ แบบคนอื่นบ้างเลยหรือ หากไม่พูดจาส่อเสียดก็ชอบติฉินนินทาผู้อื่น หากข้าเป็นคนในบ้านสามีของเจ้าก็คงไม่กล้าปล่อยให้เจ้าออกจากบ้านแน่” เจียงฉิงฟางเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแดกดัน ในใจของนางก็คิดว่าแม้ว่านางจะไม่ใช่เจียงฉิงฟางคนเดิมแต่เรื่องการโต้เถียงกับผู้อื่นนางก็ไม่คิดจะน้อยหน้าเจ้าของร่างเดิมอย่างเด็ดขาด
“เหตุใดพวกเขาจะต้องไม่อยากให้ข้าออกจากบ้านด้วย” เจียงฉิงเหยาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงงุนงงทำให้เจียงฉิงฟางเอ่ยตอบกลับไปด้วยความสาแก่ใจ
“ก็ปากของเจ้าเน่าเหม็นเพียงนี้ บ้านสามีของเจ้าไม่คิดกังวลบ้างเลยหรือว่าวันหน้าคนเช่นเจ้าอาจจะหาเรื่องเดือดร้อนให้พวกเขา” เมื่อเจียงฉิงฟางเอ่ยเช่นนี้เจียงฉิงเหยาก็พลันเอ่ยออกมาอย่างด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยโทสะ
“เมื่อหลายวันก่อนข้าได้ยินน้องฉิงหร่วนพูดว่าเจ้าคิดจะหนีตามบุรุษแต่กลับพลัดตกน้ำตายไปเสียก่อน คิดไม่ถึงว่าหลังจากนางนำร่างไปส่งที่บ้านแล้วคนเช่นเจ้าจะฟื้นขึ้นมาได้เช่นนี้ หึหึ หากข้าเป็นคนของบ้านสามีของเจ้าแล้วได้เห็นว่าเจ้าไม่ได้ตายแต่กลับทำหน้าหนากลับบ้านมาเช่นนี้ข้าก็คงจะจับเจ้าใส่กรงหมูถ่วงน้ำไปนานแล้ว” คำพูดของเจียงฉิงเหยาทำให้เจียงฉิงฟางร้อง ฮึ! ออกมา
เจียงฉิงเหยาคนนี้คือญาติผู้พี่ของเจียงฉิงฟาง พวกนางสองคนไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าใดนัก เดิมทีเจียงฉิงเหยาได้แต่งกับบุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านนับว่ามีหน้ามีตาที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันของสกุลเจียง ต่อมาเมื่อเจียงฉิงฟางได้แต่งกับจ้าวถิงฟงซึ่งถือว่าเป็นคนที่ร่ำรวยคนหนึ่งในหมู่บ้าน เจียงฉิงฟางก็กลายเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสกุลเจียงแทน ทำให้เจียงฉิงเหยามักจะพูดจาค่อนแคะเจียงฉิงฟางตลอดเวลาว่านางแต่งงานก็เพราะเงิน
คนทั้งสองโต้เถียงกันผลัดกันรุกผลัดกันรับ ทะเลาะตบตีกันจนกลายเป็นภาพจำของเด็กๆ ไปแล้ว โดยเฉพาะจ้าวฉางหนิงที่จดจำคำพูดและการกระทำของมารดาไปจนโต จนทำให้ทุกครั้งที่ได้พบกับนางเอกของเรื่องจ้าวฉางหนิงก็มักจะพูดจากระทบกระทั่งและลุกลามไปจนถึงใช้กำลังกับนางเอกของเรื่องจนกลายเป็นที่เกลียดชังของพระเอก
วันนี้เจียงฉิงฟางตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะสอนเด็กๆ ให้เป็นคนดี แต่เมื่อได้พบกับคนอย่างเจียงฉิงเหยาเข้า คนที่เดิมทีก็ไม่ใช่คนดีอย่างเจียงฉิงเหยาก็พลันลืมเลือนความตั้งใจเดิมเผยธาตุแท้ของตนก่อนที่จะได้ทะลุมิติมาในนิยายเรื่องนี้ด้วยการโต้เถียงเจียงฉิงเหยาอย่างไม่คิดจะยอมพ่ายแพ้ในทันที
“บังเอิญเสียจริงที่ยามนี้คนในบ้านสามีของข้ามีแค่เพียงลูกๆ ผู้น่ารักของข้าเพียงเท่านั้น” เจียงฉิงฟางเอ่ยพลางหันไปมองเด็กๆ แล้วเอ่ยออกมาในทันที
“ต้าฉาง เอ้อฉาง เสี่ยวฉาง พวกเจ้าคิดว่าคนอย่างแม่สมควรถูกจับถ่วงน้ำหรือไม่ ไม่! พวกเจ้าไม่ต้องตอบแม่ แม่ก็รู้แล้วว่าพวกเจ้าทำกับแม่ไม่ลงหรอก เพราะนอกจากแม่จะไม่ได้หนีตามบุรุษไปอย่างที่นางเอ่ยมาแล้ว แม่ยังเป็นคนจิตใจดีด้วยการซื้อเสื้อผ้าให้เจ้าถึงคนละสามชุดไปเลยทีเดียว” เมื่อเอ่ยจบเจียงฉิงฟางก็หันไปทางผู้ดูแลร้านแล้วเอ่ยออกมาในทันที
“เลือกชุดที่พอดีตัวกับลูกข้ามาคนละสามชุด เอาตัวที่เจ้าเอ่ยว่าเป็นผ้าเนื้อดีแต่แพงนั่นก็ได้ อ้อ! อย่าลืมลดราคาให้ข้าด้วยเล่า อย่าให้ข้ารู้ภายหลังเชียวว่าเจ้าขายให้ข้าในราคาที่แพงเกินกว่าราคาจริง ไม่เช่นนั้นวันหน้าต่อให้ข้าต้องเสียเงินค่ารถม้าเพื่อไปสั่งตัดเสื้อผ้าที่ร้านอื่น ข้าก็ยินดีที่จะทำ” ถ้อยคำของเจียงฉิงฟางทั้งเด็ดขาดและหนักแน่นจนทำให้ผู้ดูแลร้านรีบเอ่ยปากรับคำแล้วหันไปสั่งให้ลูกจ้างของร้านจัดเตรียมชุดสำหรับลูกๆ ของเจียงฉิงฟางในทันที สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาของเจียงฉิงเหยาทำให้เจียงฉิงฟางยิ้มออกมา ในใจก็ได้แต่คิดว่าตอนอยู่ในโลกของตนเองก็เป็นแค่ตัวประกอบพอทะลุมิติเข้ามาก็ยังเป็นแค่ตัวประกอบอีก แถมยังเป็นตัวประกอบที่ควรจะตายไปแล้วเสียด้วย
'ไม่! ข้าจะไม่ยอมเป็นตัวประกอบที่ถูกลิขิตให้ตายตั้งแต่ต้นเรื่องอีกต่อไปแล้ว หลังจากนี้ข้าจะเป็นตัวประกอบที่มีชีวิตที่ดีที่สุดในนิยายเรื่องนี้ อิจฉาข้าหรือ ได้เลย ต่อไปนี้ข้าจะทำให้เจ้าอิจฉาข้ายิ่งกว่านี้ และจะทำให้เจ้าอิจฉาจนแทบจะกระอักโลหิตออกมาแน่' นี่คือความตั้งใจอันแน่วแน่ของเจียงฉิงฟางแม้จะรู้ดีว่าหลังจากนี้นางอาจจะต้องเผชิญเรื่องราวที่เต็มไปด้วยขวากหนามแต่ในใจของนางกลับไม่คิดจะยอมแพ้
