บทที่ 19 ประมุขแห่งนรกภูมิ
“แกเป็นใคร ว่าฉันได้ยังไง ฉันอยากได้มันผิดตรงไหนล่ะ” หล่อนเถียงกลับ ความกลัวเมื่อครู่หายไปสิ้นเมื่อถูกว่าตรงๆ
“หุบปากของเจ้าประเดี๋ยวนี้ นี่คือท่านพญามัจจุราช ประมุขแห่งนรกภูมิ อย่าบังอาจลบหลู่ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้รับโทษทัณฑ์สาหัส” สุวาลย์หันมาตะคอกใส่ราณี
“มัจจุราช..นี่ฉันตายแล้วเหรอ ไม่..ฉันยังไม่ตาย ฉันยังไม่ตาย ฉันหนีออกมาจากรถ ฉันคลานขึ้นมาบนถนนแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันไม่ได้โดนรถทับสักหน่อย ฉันยังไม่ตาย พาฉันกลับขึ้นไปเดี๋ยวนี้นะไอ้หน้าดำ”
“หยุดปากชั่วๆ ของเจ้าเสีย อย่าได้สร้างกรรมมากไปกว่านี้ ท่านสุวาลย์ นางยังไม่ถึงที่ตายพาวิญญาณของนางไปส่งได้แล้วแต่อีกไม่นานหรอก ข้าจะได้ตัดสินคดีของนาง”
พญามัจจุราชเอ่ยน้ำเสียงก้องกังวาน หนักแน่น ดวงตามองมายังราณีมีดวงไฟลุกอยู่ในนั้น หล่อนถอยหนี สุวาลย์จับไหล่หล่อนไว้
“ยังไม่ถึงเวลาของเจ้า ข้าจะพากลับคืนร่างแต่เมื่อถึงวันตายของเจ้าเมื่อใด เจ้าไม่กล้าพูดจาเยี่ยงนี้กับประมุขของข้าได้อีก” สุวาลย์ชี้หน้าราณี
“อย่าไปว่านางเลย นิสัยของนางเป็นเยี่ยงนี้แก้ไม่หายง่ายๆ ข้าจะเตือนเจ้าว่า กลับคืนร่างครั้งนี้ขอให้เจ้าเลิกทำร้ายคน เลิกคดโกง หมั่นทำบุญทำกุศลไว้ เมื่อถึงเวลาของเจ้า โทษหนักจะได้เป็นเบาลงบ้างเพราะบุญช่วยไว้”
“ฉันไม่รู้จัก บาปบุญเป็นยังไง ฉันจะพยายามก็แล้วกัน” ราณีพยักหน้ารับคำเตือนของพญามัจจุราช สุวาลย์มองด้วยความไม่พอใจ
“เจ้าคนบาปหนาจึงไม่รู้สึกถึงคำเตือนของท่านพญามัจจุราช ไม่รู้จักว่าบาปบุญคืออะไร เหล่าบัวในโคลนตมโดยแท้ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดดอก ข้าจะไปส่งเจ้าประเดี๋ยวนี้”
สุวาลย์พาราณีมาเตียงคนไข้เช่นเดิม รวีวรรณนั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้นอนสำหรับญาติคนไข้ หล่อนไม่รู้ว่าร่างของแม่ไม่หายใจชั่วระยะเวลาหนึ่ง หล่อนกลับมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า เพื่อนอนเฝ้าแม่ คิดว่าแม่ยังไม่ฟื้นจึงไม่รบกวน หยิบหนังสืออ่านจนเคลิ้มหลับไปและรู้สึกตัวตื่น เข้าห้องน้ำ กลับออกมานั่งอ่านหนังสือต่อ
สุวาลย์ผลักราณีเข้าหาเตียง ร่างที่นอนนิ่งสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วนิ่งไปอีก สุวาลย์ยิ้มสมเพชสาวใหญ่และหายวับไป ราณีลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งแรกที่เห็นเป็นเพดานห้อง ดวงไฟกลมอยู่กลางห้อง เหลือบมองซ้ายขวารอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปาก
“ฉันฝันไป คิดว่าตายไปแล้วจริงๆ เสียอีกแต่ทำไมเห็นคนแต่งตัวประหลาดๆ บอกเราว่าเป็นพญามัจจุราช ตลก”
หล่อนพึมพำเบ้ปากส่ายหน้าอยู่กับหมอน หล่อนแค่ฝันไป ตอนนี้หล่อนนอนอยู่ในโรงพยาบาล รถของหล่อนพุ่งลงข้างถนน น่ากลัวมาก เหยียบเบรกก็ไม่อยู่ ทำอะไรไม่ถูกแต่โชคดีกลิ้งตัวออกจากรถทันแต่ก็หมดสติไปไม่รู้ว่ารถระเบิดหรือเปล่า
“โอย..โอย..” หล่อนครางพยายามจะลุกนั่ง
“แม่ แม่ฟื้นแล้ว”
เสียงร้องครางของราณีปลุกรวีวรรณให้ตื่นจากความฝัน หล่อนฝันแปลก ฝันเห็นคนแต่งชุดสีดำเหลือบทองพาแม่มาส่งที่เตียงนอนแล้วหายตัวไป
“ยัยวรรณ”
ราณีเรียกลูกสาวพร้อมกับยิ้มเซียว รวีวรรณเข้าประคองแม่ลุกนั่ง รอยยิ้มยินดีกระจายเต็มดวงหน้ามนของหล่อน
“ใครพาแม่มาหาหมอ” สาวใหญ่ถามลูกสาวเสียงเบา
“ไม่ทราบค่ะแม่ ตำรวจบอกว่ามีคนโทร.แจ้งไปแต่คนที่พาแม่มาส่งโรงพยาบาลกลับไปก่อนตำรวจจะมาถึงค่ะ เขาเห็นแม่นอนสลบอยู่ข้างถนน แม่หนีออกมาจากรถค่ะ”
“รถเป็นยังไงบ้างวรรณ”
“พังเฉพาะด้านที่ชนกับต้นไม้ค่ะซ่อมเยอะค่ะแต่วรรณบอกขายไปแล้ว”
“ดีลูก แม่ไม่ขับแล้ว ไอ้รถผีสิง”
ราณีทำท่าขนลุกยกมือลูบแขนตัวเอง กวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง รวีวรรณจ้องหน้าแม่แล้วเอ่ยขึ้น
“ผีสิงอะไรคะแม่ แม่คิดไปเองค่ะ แม่คงหลับในก็เลยควบคุมรถไม่ได้ไปแวบหนึ่งค่ะ ช่วงนั้นรถพุ่งลงข้างทาง ไม่มีผีสิงหรอกค่ะ”
หล่อนจับมือแม่บีบพร้อมยิ้มเป็นกำลังใจให้แม่และพูดเพื่อให้แม่คลายความหวาดกลัว หากหล่อนอยู่ในสถานการณ์นั้นก็คงคุมสติไม่ได้เช่นเดียวกัน
“แกจะมารู้ดีกว่าแม่ได้ยังไง แม่ยกมือออกจากพวงมาลัยไม่ได้ เบรกก็เหยียบไม่ได้ ยกขาไม่ขึ้นแต่เท้าเหยียบคันเร่งเหมือนมีอะไรหนักๆ ทับอยู่ อย่างนี้ไม่เรียกว่าผีสิงแล้วจะเรียกว่าอะไร แม่ไม่ได้หลับนะ”
ราณีเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวหล่อนก่อนรถจะพุ่งลงข้างทางให้รวีวรรณฟัง หญิงสาวนิ่งไปไม่อยากอธิบายให้แม่เข้าใจว่าสิ่งที่แม่พูดนั้นมันอาจเป็นอาการของคนง่วง เมื่อง่วงมากๆ สมองไม่สั่งงานจึงยกเท้าไม่ขึ้น ขยับมือไม่ได้และวูบไปในที่สุด
“ค่ะๆ วรรณเชื่อแม่ค่ะ แม่หิวมั้ย วรรณจะลงไปซื้อข้าวมาให้ทาน”
“ไม่หิว แม่อยากกลับบ้าน บอกหมอทีสิ”
“ได้ค่ะ”
รวีวรรณกดปุ่มข้างหัวเตียงคนไข้เรียกหมอหรือพยาบาล ครู่เดียวหมอเจ้าของไข้ก็เดินเข้ามาตามด้วยนางพยาบาล
ราณีพยายามยิ้มสดชื่นที่สุด หล่อนอยากกลับบ้านเดี๋ยวนี้ อยากเห็นสภาพรถว่าพังยับเยินแค่ไหน หล่อนเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ารถหรูเพิ่งซื้อมามีผีสิงและวิญญาณนั้นต้องการชีวิตหล่อน
“คนไข้ฟื้นแล้ว เป็นไงบ้างครับ รู้สึกยังไงบ้าง ปวดหัวหรือเจ็บตรงไหนมั้ยครับ”
หมอยิ้มให้คนไข้ ราณีนั่งอยู่บนเตียงส่ายศีรษะกับทุกคำถามของหมอ
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ปวดหัว รู้สึกเบาตัว สบายมากค่ะหมอ”
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านได้ครับหรือว่าจะนอนพักอีกคืนก็ได้นะครับ”
“ฉันขอกลับบ้านเดี๋ยวนี้ได้มั้ยคะ”
ราณีไม่อยากอยู่แม้แต่วินาทีเดียว ไม่ชอบโรงพยาบาล ไม่เคยมาหาหมอหากไม่ป่วยหนักและครั้งนี้ถือว่าเจ็บหนัก เจ็บโดยไม่รู้ตัว
“ได้ครับ ลงนอนก่อนครับ”
หล่อนล้มตัวลงนอนตามคำสั่งหมอ หมอหนุ่มตรวจการเต้นของหัวใจ เลิกเปลือกตาดูดวงตาแล้วยิ้ม
“เปลี่ยนเสื้อผ้าได้เลยครับ อีกครู่ก็กลับได้ครับ”
“ขอบคุณค่ะหมอ” รวีวรรณยกมือไหว้หมอ ยิ้มอย่างขอบคุณคำอนุญาตนั้น หล่อนประคองแม่ลงจากเตียงพาไปส่งหน้าห้องน้ำ ครู่ใหญ่ราณีเดินออกจากห้องน้ำด้วยชุดที่รวีวรรณเตรียมมาให้
“ไปกันได้แล้วลูก พาแม่ไปดูรถก่อนนะ”
“ทางประกันฯเขาให้อู่มายกรถไปแล้วค่ะ พรุ่งนี้ค่อยไปนะคะแม่ วันนี้แม่พักผ่อนก่อน”
“เออนี่ ตาก่อไปไหนล่ะไม่มาเยี่ยมแม่บ้างเหรอ”
ราณีเดินออกจากห้องพักคนไข้ รวีวรรณหิ้วกระเป๋าตามมาหยุดยืนหน้าลิฟต์ คำถามของแม่ทำให้หญิงสาวยิ้มบาง
“วรรณไม่ได้บอกเขาค่ะ บอกแค่ว่าวรรณกลับบ้านแล้ว”
“ทำไมไม่บอกเขา ถ้าบอก เขาต้องมารับแม่กับแกแล้วละ ตาก่อนิสัยดีนะ ดีแล้วที่แกได้กับเขา”
“แม่คะ วรรณยังไม่มีอะไรกับเขานะคะ วรรณไม่ยอมหรอกค่ะจนกว่าจะแต่งงาน”
“ต๊าย.ลูกสาวฉันหัวโบราณนะเนี่ย แต่ก็ดี เขาจะได้มองเห็นคุณค่าของลูกสาวแม่”
ราณีก้าวเข้าลิฟต์ รวีวรรณถอนหายใจเบาๆ ไม่สบายใจเมื่อคิดถึงวันหมั้น ไม่แน่ใจว่ารักก่อกุศลหรือเปล่า คืนวันที่เขาพยายามลวนลามหล่อนเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรง แก้ตัวไม่ได้ในความรู้สึกลึกๆ ของหล่อนแต่เมื่อแม่อยากให้หล่อนแต่งงานกับเขา หล่อนจึงต้องทบทวนอีกครั้ง กำหนดวันหมั้นอีก 45 วัน ยังมีเวลาคิด หากถึงวันนั้นเขายังทำตัวดี ไม่เอาเปรียบหล่อน การหมั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ก่อกุศลเดินถือช่อดอกไม้เข้ามาในห้องรับแขก เขามองสำรวจห้องโถงใหญ่เป็นครั้งแรก ของแต่งห้องทุกชิ้นสั่งตรงจากต่างประเทศและน่าจะมีชิ้นเดียวในประเทศไทยด้วยซ้ำไป วันแรกๆ มองเพียงผ่านเพราะเกรงใจเจ้าของบ้านแต่ขณะนี้ไม่มีใครอยู่ในห้องสักคน
“รวยไม่เบาเลยว่าที่แม่ยายเรา อย่างนี้เราปล่อยให้วรรณหลุดมือไปไม่ได้ เราต้องเป็นลูกเขยบ้านนี้”
เขายิ้มกับของราคาแพงรอบตัว ปิ๋มเดินมาหยุดยืนมองชายหนุ่มครู่หนึ่ง เขาก็ยังไม่รู้ตัว ยังคงยิ้มไม่มองสาวใช้ไม่ถามหารวีวรรณเช่นทุกครั้ง
“คุณก่อจะมารับคุณวรรณหรือคะ” ปิ๋มเอ่ยถามออกมาเพราะก่อกุศลยิ้มกับเก้าอี้โซฟาหนังสีน้ำตาลนานเกินไป
“ใช่ คุณวรรณอยู่ไหนไปตามมาซิ บอกว่าฉันรออยู่ที่ห้องรับแขกนะ”
ชายหนุ่มหุบยิ้มลงทันที เขาเผลอพอใจกับชุดรับแขกแสนหรูจึงไม่เห็นปิ๋ม หล่อนมานานหรือยังเขาไม่ รู้แต่เขาใช้เสียงข่มสาวใช้ไว้ก่อน
“ค่ะ” ปิ๋มเดินกลับออกไปเงียบๆ
“ผมต้องแต่งงานกับคุณเร็วที่สุดแล้วละวรรณ”
เขายิ้ม มองช่อดอกไม้ในมือ วันนี้ขอลงทุนก่อนแล้วจะถอนทุนคืนหลังจากแต่งงานแล้ว รวีวรรณเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจพันล้าน พ่อของเขาบอกอย่างนั้น ฐานการเงินของครอบครัวเขาเริ่มสั่นคลอน เหล็กและอุปกรณ์ก่อสร้างราคาแพงขึ้น เงินหมุนเวียนในครอบครัวติดลบ ทางเดียวที่เขาจะช่วยพ่อกับแม่ได้ต้องแต่งงานกับรวีวรรณภายในสองเดือนข้างหน้านี้
“ตาก่อ มารับยัยวรรณไปทานข้าวเหรอลูก” ราณีทักทายคนรักของลูกสาวขณะเดินมานั่งเก้าอี้หนังตัวใหญ่ตามด้วยรวีวรรณ
“ครับคุณแม่ สวัสดีครับ”
“วรรณไปไม่ได้ค่ะก่อ ทานที่บ้านวรรณนะคะ” หญิงสาวปฏิเสธก่อนที่เขาจะบอกให้หล่อนไปแต่งตัวเช่นทุกครั้ง บางเวลาเขาทำตัวเป็นนายซึ่งหล่อนไม่ชอบและสิ่งนี้ที่ทำให้หล่อนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะแต่งงานกับเขาดีหรือไม่
“ทำไมครับ” เขาจ้องหน้าหล่อนเมื่อหล่อนไม่ยอมออกไปทานอาหารนอกบ้านกับเขา