๔ งานแต่งของเรา (๒)
ก้องนเรนทร์มองหล่อนแล้วอมยิ้ม แววตากลมไม่กล้าจะมองเขาเอาแต่หลบไปทางอื่น คงเขินอายกับการต้องนอนพร้อมเจ้าบ่าวต่อหน้าคนนับสิบ เพราะมีทั้งญาติผู้ใหญ่และเพื่อนฝ่ายบ่าวสาวเข้ามาดูด้วย
คราวนี้ก็ถึงเวลาที่ผู้ใหญ่จะให้โอวาท พวกเขานั่งลงบนพื้นพร้อมประนมมือไว้กลางอกเตรียมรับฟังคำของญาติฝ่ายเจ้าบ่าวซึ่งเป็นผู้ว่าราชการประจำจังหวัด
“ลุงขอให้ก้องครองรักกับภรรยาอย่างมีความสุข จะกระทำสิ่งใดก็จงคิดให้ดี ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน อย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ทำอะไรก็ต้องคิดถึงใจอีกคนด้วย คู่แต่งงานไม่ได้อยู่กันด้วยความรักอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงความเข้าใจ การให้อภัยและมองข้ามบางสิ่งไปบ้าง ต่อจากนี้เป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วนะ หนักแน่นเข้าไว้ล่ะ”
ตบบ่าหนาเหมือนเป็นการวางภาระอันหนักอึ้งให้เขา ชายหนุ่มเงยหน้าพร้อมกับตอบรับคำทันที เขาคิดไว้แล้วว่าชีวิตแต่งงานคงไม่ง่าย แต่ตนต้องผ่านมันไปให้ได้ เหมือนอีกหนึ่งบททดสอบที่เข้ามาในชีวิตของตน
ส่วนเรื่องความรัก...เขาไม่ได้สนใจเท่าไหร่
จะรักหรือไม่ ก็ต้องแต่งงานกับลิลิตอยู่ดีเพื่อรักษาไร่ทวีสุขเอาไว้
“ขอบคุณครับ”
“หนูลิ...ลุงเห็นหนูเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง การแต่งงานครั้งนี้อาจจะเร็วไปสำหรับวัยที่เพิ่งผ่านพ้นการเรียนระดับอุดมศึกษาอย่างหนู แต่ลุงเชื่อว่าผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว ขอให้หนูใช้ชีวิตคู่อย่างมีสติ สามีคือคนที่เราพึ่งพาได้ มีอะไรไม่สบายใจหรือทุกข์ใจก็พูดคุยกับพี่เขา อย่าเก็บความทุกข์ไว้คนเดียว”
ถึงคราวหญิงสาวบ้าง เธอรับฟังแล้วพยักหน้าตามคำสอน แย้มยิ้มเล็กน้อยเมื่อฟังจบ จากนั้นจึงรับคำเสียงหวาน
“ค่ะคุณลุง”
“ขอให้เราทั้งสองมีความสุขกับชีวิตคู่ รักกันอย่างนี้ตลอดไป...แล้วก็มีหลานให้ลุงอุ้มไวๆ นะ” ท่านปิดท้ายคำพูดเหมือนสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ก้องนเรนทร์ ผิดจากลิลิตที่เงียบเป็นเป่าสากไม่กล้าจะพูดอะไรมาก
คนตัวสูงรีบยิ้มแล้วตอบรับด้วยน้ำเสียงแข็งขัน จนคนพูดยังไม่อยากเชื่อว่าหลานชายจะหมายมั่นอยากมีลูกมากขนาดนี้ แต่ก็ไม่แปลกหรอกด้วยอายุของชายหนุ่มก็ไม่ใช่น้อยแล้ว คงอยากมีลูกให้เร็วที่สุดเพื่อเติมเต็มชีวิตครอบครัว
“ครับ ผมจะรีบมีหลานให้คุณลุงอุ้มเร็วๆ นี้แน่นอน” หล่อนถึงกับต้องเม้มปากแน่นไม่กล้าพูดอะไร นั่งนิ่งจนกระทั่งญาติฝ่ายเจ้าบ่าวลุกขึ้นเพื่อปล่อยให้สองคนได้ใช้เวลาร่วมกันในห้องหออีกสักพัก
“เอาล่ะ อยู่ในห้องหอแล้วพักผ่อนค่อยออกไปพูดคุยกับแขก”
“ค่ะ/ครับ” ค้อมศีรษะให้ท่าน แล้วถอนหายใจเมื่อได้อยู่กันตามลำพังสองคน ไร้สายตาของคนอื่นจับจ้อง
เพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาในห้องหอครั้งแรก ตอนที่แม่บ้านเข้ามาจัดหล่อนถูกห้ามไม่ให้เข้ามาห้องนี้ รู้เพียงว่าป้านิ่มนำเสื้อผ้าและของใช้บางส่วนมาไว้ในตู้ให้แล้ว ขนาดห้องค่อนข้างกว้างเพราะมีโซนระเบียงที่ยื่นออกไปให้สามารถนั่งเล่นได้ ทั้งยังมีห้องแต่งตัวแบบบิวท์อินอีกต่างหาก
โทรทัศน์จอใหญ่ตั้งอยู่ปลายเตียง โต๊ะหนังสือที่มีหนังสือวางเรียงเพียงสองสามเล่ม และเพิ่มด้วยกรอบรูปที่พวกเขาไปถ่ายพรีเวดดิ้งอยู่ในไร่ทวีสุข ใช้เวลาครึ่งวันก็เสร็จเรียบร้อยเพราะต้องการเพียงไม่กี่รูปมาตกแต่งตามงาน
เพื่อดูเหมือนคู่รักทั่วไป ไม่ให้เป็นที่สังเกตว่าแต่งงานเพราะมรดกหรือคำสั่งของใคร
“ที่พ่อเลี้ยงพูดเมื่อกี้ หมายความตามนั้นจริงเหรอคะ” หล่อนใช้โอกาสนี้ถามเขาอย่างจริงจัง คิดว่าชายหนุ่มจะพูดเล่นซะอีก
เราแต่งงานกันแค่ในนาม...การมีลูกคงไม่จำเป็น
“เรื่องลูกน่ะเหรอ”
“ค่ะ” ร่างสูงพยักหน้าแล้วนั่งลงบนเตียง โดยมีหล่อนยืนอยู่ใกล้ๆ เพื่อพูดคุยเรื่องที่ตนสงสัยให้กระจ่าง
“จริง ฉันหมายความอย่างที่พูด และจะรีบมีลูกให้เร็วที่สุด...หรือเริ่มตอนนี้เลยดีไหม” ร่างสูงลุกยืนเต็มความสูง ความไวของชายหนุ่มคือการคว้าแขนเรียวแล้วดึงเข้ามาใกล้ เธอตกใจจนต้านแรงของเขาไม่ทันจึงกลายเป็นขยับเข้ามาใกล้จนเกือบตกอยู่ในอ้อมกอด โชคดีที่ยันแผงอกกว้างเอาไว้ได้
“ไม่ดีค่ะ! เราต้องไปรับแขก รีบออกไปกันเถอะค่ะ” พยายามเกลี่ยกล่อม ตอนแรกไม่ทันระวังนึกว่าเขาจะเย็นชากับตนเหมือนที่ผ่านมา โดยไม่รู้เลยว่าก้องนเรนทร์หาจังหวะเพื่อทำตามพินัยกรรมทุกอย่าง
กระทั่งการมีลูกโดยสืบสายเลือดจากตนและลิลิต...
“เดี๋ยวสิ จะรีบไปทำไมล่ะ เราต้องพักอีกหน่อยให้หายเหนื่อยก่อน มานั่งพักตรงนี้ดีกว่า” พูดจบก็นั่งลงบนเตียงโดยมีหญิงสาวนั่งตักเขาอีกที รูปร่างหล่อนค่อนข้างเพรียวและผอมทั้งที่กินข้าวเยอะ ส่วนขนมก็หยิบเข้าปากไม่ขาดมือ
“มะ ไม่เห็นต้องนั่งตักเลยนิคะ” บอกเสียงสั่นทั้งยังตะกุกตะกัก พยายามจะผละออกแต่ก็ถูกกอดเอวไว้แน่น ชุดไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่ หล่อนกลัวว่ามันจะหลุดถึงได้ไม่กล้าขยับมากนัก
“ตัวเธอเบามากเลยนะ กินข้าวบ้างสิไม่ใช่กินแต่ขนมอย่างเดียว ป้านิ่มก็เลี้ยงดูออกจะดีไม่เห็นอ้วนขึ้นสักนิด” ครั้งแรกที่ได้กอดโอบเอวหล่อน ดูภายนอกว่าตัวเล็กแล้ว พอได้กอดจริงก็รู้สึกว่าหญิงสาวผอมมากจนอยากขุนให้อ้วนกว่านี้สักหน่อย
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญหรอก สิ่งที่เขาต้องการคือลูกที่เกิดจากหล่อนต่างหาก...
“พรุ่งนี้ไปจดทะเบียนสมรสกับฉันนะ” เมื่อหล่อนหยุดดิ้นแล้วปล่อยให้ความเงียบทำงาน ร่างสูงจึงต้องเข้าประเด็นทันที
คนที่นั่งบนตักเขาถึงกับต้องเหลียวมอง แต่เพราะอยู่ใกล้เกินไปแก้มนวลจึงโดนปลายจมูกโด่งจนต้องหันกลับดังเดิม ร้อนผ่าวที่ใบหน้าจนคิดว่าป่านนี้หน้าของตนคงแดงก่ำไม่ต้องพึ่งบลัชออนด้วยซ้ำ เกิดมาเพิ่งเคยเข้าใกล้ผู้ชายอย่างแนบชิด หัวใจเธอทำงานหนักอีกแล้ว
“ที่พ่อเลี้ยงทำอย่างนี้เพราะต้องการสมบัติใช่ไหมคะ” เธอถามเพื่อจะได้ย้ำเตือนตัวเอง ไม่คิดเข้าข้างตนว่าเขากำลังหลงรัก
“ใช่” คำตอบของเขาไม่ได้ต่างจากที่คิดเท่าไหร่ แต่แปลกที่ใจเจ็บแปลบยามฟัง หล่อนไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตนกำลังหวังอะไรอยู่กันแน่
อยากให้เขารักอย่างนั้นเหรอ...
ใบหน้าหวานถอดสีแล้วแกะมือหนาออกจากเอว การกระทำและสีหน้าของหล่อนบอกหมดทุกอย่างจนร่างหนาไม่ยอมปล่อยโดยง่าย ทุกวันนี้เขาชอบจะสังเกตแววตาและสีหน้าของลิลิตจนติดเป็นนิสัย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าหล่อนคิดเช่นไร
อย่างตอนนี้คงอยู่ในอาการเง้างอน...
“ปล่อยค่ะ ลิจะออกไปข้างนอก” เมื่อเขาไม่ยอมปล่อยหล่อนก็ต้องออกปาก พยายามไม่หันไปจ้องหน้ากลัวว่าจะแก้มของตนจะโดนปลายจมูกโด่ง
“แต่ฉันก็อยากรู้จักเธอด้วย ที่ฉันทำไปเพราะอยากเริ่มต้นความรักกับเธอ เธอล่ะ...พร้อมจะเรียนรู้คำว่ารักไปกับฉันไหม” นอกจะไม่ปล่อยหล่อนแล้วยังขยับเข้ามากระซิบข้างหูอีก เธอไม่สามารถผละไปไหนได้นอกจากนั่งตัวแข็งอยู่บนตักหนา