๓ พ่อเลี้ยงเปลี่ยนไป (๒)
พยายามเลี่ยงกับคำยินดีของคนงานในไร่ที่เอ่ยทักทุกครั้งที่เจอหน้า
เรื่องงานแต่งของพ่อเลี้ยงกับลิลิตกระจายไปทั่วไร่ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนบอกทุกคนถึงได้รู้เร็วนัก
“บอกเขารอก่อนได้ไหมคะ ลิยังกินขนมไม่หมด” หยิบขนมเข้าปากไม่หยุดเพื่อเป็นข้ออ้าง ป้านิ่มเห็นอย่างนั้นจึงรีบเข้ามาจับมือร่างบาง หยิบขนมออกแล้ววางใส่จานพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่เหมือนเป็นคำสั่งอยู่ในที
ทำให้คิดถึงคุณย่าเอมอรที่ใช้เสียงอ่อนแต่เต็มไปด้วยการบังคับ แล้วอย่างนี้เธอจะปฏิเสธท่านได้อย่างไร
“ไปหาพ่อเลี้ยงเถอะค่ะ เดี๋ยวป้ายกขนมเข้าไปเสิร์ฟ” ข้ออ้างของหล่อนดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ผล เมื่อเจอคนอายุมากกว่าดักเอาไว้
“แต่ว่า” ยังคงเลือกจะปฏิเสธ ทว่าหาเหตุผลไม่ได้จึงเอ่ยค้างอยู่อย่างนั้นจนหัวหน้าแม่บ้านต้องจูงกึ่งลากเธอออกจากห้องครัว
“ไปนะคะคนดีของป้า” เจอไม้นี้ของป้านิ่มจะทำอะไรได้นอกจากพยักหน้าอย่างเดียว
“ก็ได้ค่ะ” ใบหน้าหวานบึ้งตึงไม่ชอบใจที่ตนถูกบังคับ แต่กระนั้นก็ยังยิ้มการค้าออกไปห้องรับแขกเพื่อพบกะบแขกของพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์ ทันได้ยินเสียงเข้มพูดคุยกับอีกฝ่ายแล้วสายตาสองคู่ก็เหลียวมองหล่อนพร้อมกัน
คนมาใหม่ทำตัวไม่ถูกแต่ยังคงยิ้มแย้มให้แขกสาวซึ่งหน้าตาสะสวยแม้จะเข้าวัยเลขห้า แค่มองด้วยสายตาก็รู้แล้วว่าคงดูแลตัวเองเป็นอย่างดี หุ้นสูงชะลูดราวกับนางแบบ ใบหน้าเต่งตึงและแต่งหน้าจัดเพื่อปกปิดริ้วรอยตามวัย
ใครกันนะ...
“มาพอดีเลย...นี่ลิลิต เจ้าสาวของผมเองครับ ลิจ๊ะ นี่คุณโสภาเจ้าของร้านเวดดิ้งที่จะมาตัดชุดให้ลิ อยากได้แบบไหนบอกได้เลยนะ” ร่างสูงรีบลุกจากโซฟาแล้วเดินมาโอบไหล่บางเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
แต่สิ่งที่ทำให้เธออึ้งคือการเรียก ‘ลิจ๊ะ’ มากกว่า
ไม่อาจปิดบังอาการตกใจของตัวเองได้ หันขวับมองว่าที่สามีทันทีพร้อมเบิกตากว้าง ลืมสนใจแขกที่ยิ้มทักทายจนเขาต้องบีบเขาหล่อนจึงได้สติ
ตอนแรกนึกว่าตนเองหูฝาดซะอีก คนอย่างก้องนเรนทร์น่ะหรือจะเรียกเธอว่าลิ ขนาดชื่อจริงของหล่อนเขายังไม่คิดจะเรียกเลย ต่อหน้าคนอื่นช่างแสดงละครเป็นคนรักได้แนบเนียนเสียจริง
“เอ่อ ค่ะ” พยักหน้าแล้วกลับมามองคนที่นั่งยิ้มอยู่บนโซฟา ค่อยประนมมือไว้กลางอกแล้วค้อมศีรษะพร้อมเอ่ยคำทักทาย
“สวัสดีค่ะคุณโสภา”
“ไม่ต้องเรียกคุณหรอกค่ะ เรียกพี่ภาดีกว่ายังไงก็คนกันเองทั้งนั้น...เจ้าสาวหน้าตาสวยแบบนี้เอง ไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมพ่อเลี้ยงพูดถึงตลอด” คำพูดของโสภาสร้างความสงสัยแก่หล่อนมากกว่าเดิม
คนอย่างพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์น่ะหรือจะพูดถึงตน...ในแง่ลบล่ะสิไม่ว่า
เธอทำเพียงแค่ยิ้มไปตามมารยาท ไม่ได้เอ่ยถามมากกว่านั้น เลือกจะเหลือบตามองมือหนาที่ยังจับไหล่ของตนเอาไว้
ที่เขาทำทั้งหมดเพื่อไร่ทวีสุขอย่างเดียวจริงเหรอ...
“ผมฝากคุณโสภาด้วยนะครับ ขอชุดเจ้าสาวที่สวยที่สุด ราคาเท่าไหร่ผมไม่เกี่ยง” บอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มซึ่งหล่อนไม่ค่อยได้เห็น ดวงตากลมแทบไม่มองหน้าแขกเพราะเอาแต่เหล่ตามองว่าที่เจ้าบ่าวของตน ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งเห็นด้านแปลกใหม่ของเขา
การแต่งงานที่เกิดจากการบังคับไม่เห็นต้องจริงจังขนาดนี้ ลงท้ายพวกเขาก็ต้องหย่ากันอยู่แล้ว ชายหนุ่มคงไม่นึกอยู่กับคนไม่รักตลอดชีวิตหรอก
“ยินดีรับใช้ค่ะ เดี๋ยวพี่จะตัดให้สวยสมเกียรติแม่เลี้ยงของไร่ทวีสุขเลย” พอได้ยินคนนอกเรียกตนว่าแม่เลี้ยงก็รู้สึกแปลกทุกที
ในภายความคิดคนที่เป็นแม่เลี้ยงต้องอายุเยอะ แต่หล่อนเพิ่งจะยี่สิบสองปีแต่ได้เป็นแม่เลี้ยงของไร่ทวีสุขแล้ว คิดอย่างไรก็รู้สึกประหลาดทุกครั้ง
“พอดีช่วงบ่ายผมมีงาน คุยกันไปเลยนะ” เขาผละออกห่างจากหล่อน แล้วบอกลาสองสาวต่างวัยเพื่อไปทำงานในส่วนของตน
ช่งนี้เขาทุ่มเทกับการผลิตไวน์ อยากให้เป็นสินค้าอีกชิ้นที่ขึ้นชื่อของไร่ทวีสุข อีกทั้งมีแผนจะสร้างพื้นที่แคมป์สำหรับพักผ่อนของคนที่ต้องการมาแคมป์ปิ้ง โครงการผุดขึ้นเยอะไปหมดแต่ก็ต้องเจียดเวลามาให้งานใหญ่ที่กำลังจะเกิด
คือการแต่งงานของตนและลิลิต...
ตามพินัยกรรมที่บิดาเขียนไว้ ทุกอย่างจะได้สิ้นสุดสักที
“มาค่ะน้องลิ เรามาคุยกันดีกว่าว่าคุณน้องอยากได้ชุดแบบไหน เดี๋ยวพี่จะได้ไปออกแบบตามความชอบถูก นี่ค่ะพี่เอาหนังสือมาให้ลองดูว่าชอบแนวไหน บอกพี่เลยนะ” หล่อนเดินมานั่งลงข้างโสภาทั้งที่สมองยังคิดเรื่องของก้องนเรนทร์ไม่หยุด
ไม่คิดว่าเพิ่งตอบตกลงแต่งงานแต่เขาจะจัดการทุกอย่างโดยเร็วเช่นนี้ คงอยากให้ทุกอย่างเสร็จเร็วจะได้เป็นไปตามพินัยกรรม
“อ่า ค่ะ”
เขาไม่ได้รักเธอหรอก...
ถึงเวลาอาหารเย็นแม้อยากจะหนีแต่ป้านิ่มก็พาคุณลิของท่านมานั่งกินข้าวกับพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์จนได้ หล่อนค่อนข้างเกร็งเพราะเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมโต๊ะกัน พยายามเคี้ยวข้าวอย่างสุภาพและเสียงเบาที่สุด ไม่มูมมามเหมือนตอนกินคนเดียว
เหลือบมองชายหนุ่มบางครั้ง ทั้งยังรู้สึกอึดอัดกับมื้ออาหารที่เงียบเกินไป เผลอถอนหายใจเสียงดังจนต้องรีบยืดตัวตรงพลางยิ้มกว้างให้ร่างสูงที่หันมามอง
“งานแต่งจะจัดขึ้นเดือนหน้าที่ท้ายไร่ ฉันจะเชิญแขกผู้ใหญ่และคนงานในไร่ทุกคนมาร่วมเป็นสักขีพยาน เธออยากเชิญใครมาก็ลิสต์รายชื่อแขกส่งให้ธนูจัดการได้เลย” บอกเรื่องสำคัญกับหล่อนสร้างความตกใจแก่หญิงสาวเป็นอย่างมาก
ตอนแรกเธอคิดว่าเขาจะจัดงานเล็กๆ ให้รับรู้ไม่กี่คน แต่เขากำลังทำให้มันจริงจังมากกว่าที่หล่อนคิดจนนึกสงสัย
“ทำไมพ่อเลี้ยงถึงต้องจัดงานใหญ่โต ถ้าเราหย่ากัน..” เพียงแค่พูดยังไม่ทันจบก็โดนตัดบททันที
“ไม่หย่า ฉันแต่งงานก็อยากแต่งครั้งเดียว เราจะไม่หย่าและจะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะ...ตายจาก” เขาพูดด้วยแววตาจริงจัง ขณะที่คนฟังนิ่งค้างไปแล้วไม่คิดว่าก้องนเรนทร์จะเอาจริง
การกระทำของเขาในครั้งนี้ไม่สามารถคิดออกเลยว่าต้องการอะไรกันแน่
เรื่องการแต่งงานระบุไว้ในพินัยกรรม แต่การหย่าไม่ได้เขียนไว้สักหน่อย แล้วเหตุใดพวกเราจะหย่ากันไม่ได้ล่ะ
ในเมื่อไม่ได้รัก...
“ห๊ะ พ่อเลี้ยงจริงจังเกินไปหรือเปล่า” ถึงกับวางช้อนส้อมแล้วพุ่งความสนใจไปยังพ่อเลี้ยงที่กินข้าวด้วยความเอร็ดอร่อยเช่นเดิม เขาตักอาหารวางบนจานแล้วกินกับข้าวสวย ต่างจากลิลิตที่จ้องใบหน้าคมเขม็งเพื่อต้องการหาร่องรอยการโกหก
“ใช่ ฉันจริงจัง”
“การแต่งงานมันเป็นเรื่องที่ควรจริงจังไม่ใช่เหรอ เราจะใช้ชีวิตร่วมกันอีกหลายสิบปี...ฉันว่าเธอก็ควรจริงจังเหมือนกัน” ลิลิตแทบจะกุมขมับ เหมือนครั้งนี้เป็นการพูดเปิดอกกันกลางโต๊ะกินข้าว เธอไม่คิดว่าเขาจะจริงจังกับความสัมพันธ์ที่เกิดจากการถูกบังคับ
หรือบางทีอาจจะต้องมองก้องนเรนทร์ใหม่...