๒ ตกลงปลงใจเพราะความหล่อ(?) (๓)
“ป้านิ่มเหรอคะ”
เอ่ยทักพอดีกับจังหวะเปิดประตู หล่อนยิ้มกว้างต้อนรับคนที่ยืนตรงหน้า ก่อนจะยิ้มค้างแล้วเบิกตากว้างยามเห็นใบหน้าชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ค่อยไล่สายตาจากแผงอกหนาแล้วเงยหน้ามองร่างสูงที่ยืนถือถาดอาหารอยู่ตรงข้าม
แอ๊ด
“ว๊าย พ่อเลี้ยง! ทำไมไม่บอกก่อนล่ะคะว่าอยู่หน้าห้อง...คนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ” รีบถอยหลังแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าอก ถึงมันจะไม่โป๊แต่หล่อนก็ไม่ชินกับการสวมเพียงผ้าเช็ดตัวโดยมีผู้ชายจ้องมอง แต่ยังดีที่เขาเป็นสุภาพบุรุษมากพอจะมองแค่หน้าไม่ก้มลงต่ำ
“ฉันเอาอาหารเย็นมาให้เธอเพราะคนอื่นไม่ว่าง วางไว้ตรงนี้แล้วกัน” เลือกจะวางไว้ที่โต๊ะใกล้ประตู จากนั้นค่อยออกมายืนหน้าห้องเหมือนเดิม เขารู้ดีว่าหญิงสาวคงต้องการเวลาเพื่อทบทวนเรื่องทุกอย่างที่เกิดในระยะเวลาอันรวดเร็ว
การแต่งงานกับผู้ชายแปลกหน้ามันไม่ง่าย
สำหรับเขามันก็ไม่ง่ายเช่นเดียวกัน แต่ชายหนุ่มยอมสละทุกอย่างขอแค่รักษาไร่ทวีสุขเอาไว้
รู้ดีว่าบิดาก็ไม่อยากเสียไร่ที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงมาทั้งชีวิต แต่ท่านก็คงไม่วางใจเรื่องลิลิต จึงเขียนพินัยกรรมอย่างนี้ขึ้นมาอย่างนี้ เขาพอจะเข้าใจเจตนาของพ่อ ทว่าหญิงสาวจะเข้าใจด้วยหรือเปล่า
“ขอบคุณค่ะ” เธอเห็นท่าทีของเขาอ่อนลงมาก แทบไม่มีความเผด็จการอยู่ในน้ำเสียง
หลังการเปิดพินัยกรรมทำให้ก้องนเรนทร์เปลี่ยนเป็นคนละคน เธอกำลังทำความรู้จักกับพ่อเลี้ยงคนใหม่หรือเปล่า
“พรุ่งนี้ฉันหวังว่าเธอจะตอบตกลง เราจะได้จัดงานแต่งทันที...ที่เธอพร้อม” คำพูดไม่ได้กดดันแต่ก็ปิดทางเลือกอื่น ให้มีเพียงเส้นทางเดียวที่หล่อนจะเลือกได้นั่นคือการตอบตกลง
“ค่ะ”
ร่างสูงปิดประตูห้องนอนให้หล่อนเสียงเบา ค่อยลงมาข้างล่างเพราะรู้ดีว่าเธอต้องการความเป็นส่วนตัว ที่เขาทำได้ก็เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น
การตะล่อมลิลิตให้ตอบตกลงดูท่าจะไม่ยาก เพราะเธอเป็นคนหัวอ่อน พูดดีด้วยไม่กี่ครั้งก็คงยอมแล้วล่ะ
“คนอะไร เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ นี่อยากได้สมบัติจนไม่สนใจว่าต้องแต่งกับคนที่ไม่ได้รักเลยเหรอ อะไรของเขา” บ่นกับตัวเองแล้วเดินไปสวมเสื้อผ้าค่อยกลับมานั่งรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
เธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อจากนี้ดี แต่กระเป๋าที่จะเก็บเสื้อผ้าเพื่อหนีออกจากไร่ก็ถูกนำจัดเก็บเข้าตู้ หมายความว่าหล่อนล้มเลิกที่จะหนีแล้ว และต้องการเผชิญหน้ากับความจริงที่เหมือนเรื่องตลกแสนร้ายกาจ
คุณลุงต้องการเธอเป็นลูกสะใภ้มากจนต้องเอาไร่ทวีสุขมาเป็นเดิมพัน เพราะรู้ดีว่าก้องนเรนทร์ไม่มีทางยอมให้ไร่ตกเป็นของคนอื่นอย่างแน่นอน
เธอคิดอะไรไม่ออก นอนกระสับกระส่ายจนเลือกหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ตนยอมบอกทุกเรื่องอย่างหมดเปลือก ไม่รู้ตอนนี้อีกฝ่ายนอนหรือยัง แต่การเก็บงำเรื่องสำคัญไว้คนเดียวเธอทำไม่ได้อีกต่อไป
“ฮัลโหลมิ่ง!” รอเพียงครู่เดียวปลายสายก็รับ เธอยิ้มก้วางแล้วรีบตะโกนทักทายอย่างตื่นเต้นเพราะไม่ค่อยได้คุยกัน
หลังเรียนจบปริญญาตรีก็แยกย้ายไปทำงานตามความถนัด จันทภา จรูญรัฐหรือมิ่งเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กทำงานเป็นนักเขียนนิยาย เป็นความชอบที่สร้างรายได้ให้อีกฝ่ายตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย
พอจบก็ทำอาชีพนี้ทันทีพร้อมกับเปิดร้านออกแบบกำไลโดยร้อยจากลูกปัด ได้กำไรดีพอจ่ายค่ากินอยู่ในแต่ละเดือนได้ไม่ขัดสน
‘ตะโกนแสบแก้วหูมากยัยลิ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าถึงโทรมาหาฉันได้ ปกติตอบข้อความก็ไม่ตอบ ยุ่งอะไรนักหนาก็ไม่รู้’ อีกฝ่ายเริ่มบ่นทันที แทบไมเชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำตอนลิลิตโทรมา คิดว่าตนเองตาฝาด
ตั้งแต่ลิลิตย้ายไปเมืองเหนือก็ไม่ได้ติดต่อมาหา บางครั้งจันทภาไลน์ไปถามไถ่ก็ไม่ค่อยจะตอบ คิดว่าจะตัดเพื่อนกันไปแล้วซะอีก
“เรื่องนั้นช่างเถอะ แต่ฉันมีเรื่องจะปรึกษา” คนร้อนใจรีบเข้าเรื่องทันที
‘เรื่องอะไรเหรอ’
“พอดีคุณลุงที่ฉันมาอยู่ด้วยท่านเขียนพินัยกรรมก่อนตาย เอ่อ ให้ฉันแต่งงานกับลูกชายของเขา” พูดแล้วก็กระดากปาก เธอคิดว่าเรื่องของตนมันดูเหมือนละครมากเกินไป
มีอย่างที่ไหนถูกบังคับให้แต่งงานกับพ่อเลี้ยงที่อายุห่างกันกว่าสิบปี ทั้งยังไมได้มีใจผูกสมัครรักใคร่อีกต่างหาก หรือว่าจะเป็นการแต่งงานทางธุรกิจ...
ไม่สิ...
ถ้าแต่งงานเพื่อธุรกิจก็ต้องได้ประโยชน์ร่วม แต่เธอไม่เห็นว่าก้องนเรนทร์จะได้ประโยชน์ตรงไหนจากการแต่งงานกับตน
‘โอ้พระเจ้า โอ้พระเยซู นี่มันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้วนะยังมีเรื่องแบบนี้อีกเหรอ แล้วทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงเอาแกเข้าไปเกี่ยวด้วยล่ะ หรือว่าเขาชอบแกเลยบอกพ่อให้เขียนพินัยกรรมแบบนี้’ จันทภาถึงกับอุทานด้วยความตกใจ
ไม่ได้คุยกันนานพอมีเรื่องก็สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“ชอบอะไรกันล่ะ เจอหน้ากันวันแรกยังทำแค่เหลือบตามอง นี่อยู่บ้านเดียวกันสามเดือนไม่เจอกันเลยด้วยซ้ำ เขาเห็นฉันเป็นอากาศ...” พึมพำเสียงเบา แต่คนที่กำลังหลงอยู่ในภวังค์สีชมพูถึงกับอุทานเสียงดังแล้วแปลงสาสน์ที่ได้รับอีกต่างหาก
‘อากาศ! เขาชอบแก ถ้าเราไม่มีอากาศเราจะหายใจได้ยังไง เพราะมีอากาศถึงหายใจมีชีวิตต่อไปได้ เขาเปรียบแกเหมือนอากาศ...’ ลิลิตส่ายหน้าระอาเพื่อนที่จินตนาการบรรเจิดแต่ผิดที่ผิดเวลาไปหน่อย แปลความหมายผิดจนต้องกุมขมับ
“มิ่ง...แกหยุดเพ้อเจ้อสักวินาทีได้ไหม แกชักจะเขียนนิยายเยอะไปแล้วนะถึงเอาเรื่องฉันไปมโนได้เป็นตุเป็นตะ อากาศของฉันหมายถึงว่าเขามองไม่เห็นฉัน เหมือนว่าฉันเป็นวิญญาณ เดินผ่านไปเฉยๆ คิดเอาแล้วกันว่าเขาจะชอบฉันไหม”
‘อ่า...เข้าใจ แล้วแกอยากปรึกษาฉันเรื่องอะไร’ พยักหน้าแล้วตั้งใจฟังในสิ่งที่ลิลิตกำลังจะขอความช่วยเหลือ
“ในพินัยกรรมเขียนชัดเจนว่าให้เขาแต่งงานกับฉัน ถ้าไม่แต่ง...มรดกทั้งหมดจะยกให้เป็นที่สาธารณะทันที” แค่คิดก็ปวดหัวกับพินัยกรรมสร้างความร้าวฉานมากกว่าจะเชื่อมสัมพันธไมตรี ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีข้อดีสักนิด
คุณลุงกำลังผลักเธอตกลงไปในเหวลึก...
‘โอ้โห คุณลุงเขาเอาเรื่องเหมือนกันนะ จะยกสมบัติทั้งหมดให้คนอื่นเลยเหรอแค่เพราะลูกไม่ยอมแต่งงานเนี่ยนะ เขาคงรักแกมากเลยสิ’ พอจะทราบมาบ้างว่าคุณย่าเอมอรมีพระคุณกับคุณอนวัทธ์ แต่ก็ไม่คิดว่าท่านจะเขียนพินัยกรรมผูกมัดคนที่ไม่ได้รักกันให้แต่งงาน
ผ่านไปหลายยุคสมัยแต่ความคิดของผู้ใหญ่บางคนก็ยังไม่เปลี่ยน จับคลุมถุงชนลูกหลานไม่สนใจความรู้สึกสักนิด
“ตอนแรกฉันก็ไม่อยากแต่ง..” หล่อนตอบเสียงอ่อย จันทภาได้ยินก็ยิ้มกริ่มพลางเอ่ยล้อ
‘พูดว่าตอนแรก แสดงว่าตอนนี้แกอยากแต่งงานกับเขาใช่ไหม’
“เปล่าหรอก แค่กำลังคิดไม่ตก ฉันรู้ว่าเขาอยากแต่งเพราะต้องการสมบัติไม่ได้รักหรือชอบฉันหรอก แต่ แต่ว่า..”
‘เขาหล่อแกเลยหลง’ ฟันธงโดยที่ยังไม่ทันเห็นหน้าลูกชายของพ่อเลี้ยงอนวัทธ์ด้วยซ้ำ
“บ้าเหรอ”
‘แกมันแพ้ทางคนหล่อ ถ้าไม่ได้คุณย่าคอยเบรกคอยห้ามคงมีแฟนตั้งแต่ประถมแล้ว’ ยังคงไม่หยุดเอ่ยล้อลิลิตเรื่องที่เพื่อนสนิทมักจะใจอ่อนให้ผู้ชายหน้าตาดี แทบจะไม่มีแรงต้านทานคนหล่อซะด้วยซ้ำทั้งที่ตนเองก็หน้าตาสะสวย
ยังนึกสงสัยว่าคุณเอมอรทำอย่างไรหลานสาวจึงได้อยู่ในโอวาส ไม่ยอมมีแฟนจนกระทั่งเรียนจบ
“ยัยมิ่ง แกว่าฉันแรดเหรอ”
‘อ่ะๆ ไม่ว่าก็ได้ เดี๋ยวกามเทพจะให้คำปรึกษาเองจ้ะ ตอนนี้แกกำลังลังเลว่าควรตอบตกลงดีหรือเปล่า แต่ฟังจากคำพูดน่าจะเอนเอียงไปทางตกลงมากกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์เพราะความหล่อและสงสารหรือไม่ก็อยากได้มรดกของเขา’ พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นครั้งแรกหลังจากเอ่ยล้อเล่นมาหลายนาที
“ฉันไม่เคยเห็นแก่เงิน” ยืนกรานถึงความจริงข้อนี้
คนอย่างเธอไม่เคยเห็นแก่เงิน ถ้าจะแต่งงานก็เป็นเพราะอยากช่วยก้องนเรนทร์ไม่ให้เสียไร่ทวีสุขก็เท่านั้น
‘ฉันเป็นคนนอกก็ช่วยอะไรแกมากไม่ได้หรอก สำหรับฉันการแต่งงานต้องเกิดจากความรัก แต่ความรักอย่างเดียวก็คงไม่พอมันต้องมีความเข้าใจและเชื่อใจ ดูอย่างฉันกับแฟนที่เลิกกันสิ ถึงจะรักกันแต่หึงหวงทุกวันก็ไม่ไหว สุดท้ายเราก็เลิกกัน’
พูดตามสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง การเลิกราของพวกเธอไม่ได้มาจากหมดรัก แต่ไม่สามารถฝืนทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่มีแต่การจับผิดได้อีกต่อไป จึงเลือกจะแยกย้ายทางใครทางมัน เพราะพยายามแก้ไขหรือปรับเข้าหากันมากเท่าไหร่
ก็ยังลงเอยที่เดิม...
“แล้วต้องตัดสินใจจากอะไรล่ะ”
‘จากความรู้สึก...เอาความรู้สึกของแกตอนนี้ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น คิดว่าถ้าอยู่ห้องกับเขาสองคน ตื่นเช้ามาเจอหน้าเขาจะเป็นยังไง ลองคิดให้ดีล่ะ การแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญ’ คนไม่เคยแต่งงานพยายามแนะนำสุดความสามารถ
ลิลิตนิ่งคิดแล้วมองเตียงของตนเอง แค่คิดว่าตื่นมาจะต้องเจอหน้าผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสามีก็ร้อนผ่าวที่ใบหน้า มันเป็นอาการเขินอายมากกว่าทุกข์ระทม
สัญญาณแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน
“ขอบใจมากนะแก”
‘ยินดีเสมอ ถ้าจะแต่งงานอย่าลืมส่งการ์ดเชิญมาให้ด้วยล่ะ’ บอกลากันแล้ววางสายทันที ร่างแบบบางนอนลงบนเตียงกว้าง เหม่อมองเพดานนานนับสิบนาที จากนั้นจึงพลิกกายมองพื้นที่ว่างแล้วนึกตามสิ่งที่จันทภาบอก
“เอายังไงดีล่ะคราวนี้ เฮ้อ...ตื่นเช้าแล้วเจอหน้าพ่อเลี้ยงเหรอ” ภาพของก้องนเรนทร์ค่อยเด่นชัดในสายตาของหล่อน
การได้นอนข้างเขาก็คงตื่นเต้นเพราะนอนคนเดียวมาเกือบยี่สิบปี ใช้ชีวิตตัวคนเดียวในห้องเล็กมาตลอด หากมีอีกคนมาแชร์ก็คงรู้สึกแปลก
ยิ่งมีคนมาร่วมเรียงเคียงหมอน...จะให้ความรู้สึกอย่างไรนะ
“อือ ก็หล่อดี...เฮ้ย! ไม่ได้สิ เราจะคิดแบบนี้ไม่ได้นะ” พึมพำเสียงเบาแล้วเบิกตากว้างเมื่อได้สติ รีบลุกนั่งพลางส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว ไม่คิดว่าตนเองจะบ้าจี้ตามคำแนะนำของจันทภา
“ไว้ค่อยคิดแล้วกัน” ตอบเสียงเบาแล้วค่อยหลับตาไม่อยากจะคิดหรือตัดสินใจในตอนนี้ ยังมีเวลาให้หล่อนอีกหลายชั่วโมงกว่าเขาจะมาทวงคำตอบ
ตอนนี้ขอนอนก่อนแล้วกัน
เช้าวันต่อมาหล่อนตื่นสายจนกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องให้ป้าอิ่มมาปลุกก็รู้สึกตัว ความจริงจะลุกนานแล้วแต่นอนคิดเรื่องต่างๆ เพลินจนผ่านไปเกือบชั่วโมงจึงเข้าไปอาบน้ำพลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า มองนาฬิกาอีกทีก็เที่ยงตรงแล้ว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คิดว่าน่าจะเป็นป้าอิ่มจึงเดินไปเปิดเมื่อแต่งหน้าเรียบร้อย แต่ไม่คาดคิดว่าคนที่มาจะเป็นก้องนเรนทร์
“พ่อเลี้ยง” เรียกเขาเสียงเบา
“ฉันมาฟังคำตอบ” เธอไม่คิดว่าเขาจะมาเร็วขนาดนี้ จึงเลือกจะเฉไฉทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วมองไปทางอื่น ค่อนข้างกระอักกระอวนที่ต้องมาพูดเรื่องสำคัญอย่างการแต่งงาน ทั้งที่พวกเราไม่มีความรักให้แก่กัน
“คำตอบอะไรคะ” ร่างสูงไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดเมื่อหล่อนถามกลับ
“เธอจะแต่งงานกับฉันไหม” แต่เขาเลือกจะถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ยิ่งทำให้ใบหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย แต่คิดอย่างถี่ถ้วนมาหลายชั่วโมงแล้ว
ถึงการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นการบังคับ แต่เมื่อมองผลประโยชน์ก็มีแต่ได้กับได้
ตอนนี้หล่อนไม่มีที่ไปแล้วนอกจากอยู่ไร่ทวีสุข ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักก็อยู่ที่นี่ เธอจะหนีไปตายเอาดาบหน้าก็ไม่รู้ชีวิตจะเป็นอย่างไร การแต่งงานกับพ่อเลี้ยงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี ถึงเราไม่รักกันและเธอเกลียดเขา
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้...
“ถ้าเราแต่งงานกัน พ่อเลี้ยงสัญญามาก่อนได้ไหมว่าจะไม่...ให้เกียรติฉัน” ตอนแรกคิดจะห้ามเรื่องการร่วมรัก แต่ก็เปลี่ยนความคิดทันที
มันเป็นเรื่องปกติของคนแต่งงานกัน อย่างไรก็ต้องมีเพศสัมพันธ์อยู่แล้ว หล่อนจึงเปลี่ยนคำขอร้องนั่นคือการให้เกียรติ ไม่บังคับหรือก่าวก้ายจนมากเกินไป
“ไม่ให้เกียรติ..” คำพูดของเธอไม่ปะติดปะต่อจนต้องถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“หมายถึงให้เกียรติฉันน่ะค่ะ ไม่มีคนอื่น ไม่ทำร้ายจิตใจแล้วก็ต่างคนต่างอยู่”
“ฉันสัญญา” ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วรอฟังคำตอบ ความจริงเขาจะบังคับเธอก็ได้แต่รู้ดีว่ายิ่งบังคับก็คงยิ่งต่อต้าน จึงเลือกเอาความอ่อนโยนเข้าหาเพื่อหล่อนจะได้ตอบตกลง
จากที่เห็นแววตาอ่อนแสงของลิลิต...คำตอบก็คงเป็นไปในทิศทางที่ดี
“ถ้าอย่างนั้น...ฉันก็ตกลงแต่งงานกับคุณค่ะ” มุมปากหยักยกยิ้มเมื่อคิดว่าไร่จะไม่ถูกมอบให้กับองค์กรการกุศล
การแต่งงานครั้งนี้ก็เพื่อไร่อย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกอื่นเจือปน