๒ ตกลงปลงใจเพราะความหล่อ(?) (๑)
๒
ตกลงปลงใจเพราะความหล่อ(?)
ลิลิตไม่อยู่รอฟังหรือต้องการรู้เรื่องทั้งหมด เธอรีบขึ้นมาบนห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว คิดจะขัดคำสั่งของคุณอนวัทธ์เป็นครั้งแรกด้วยการหนีอกจากไร่ทวีสุข ไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรจึงให้ตนแต่งงานกับก้องนเรนทร์ทั้งที่แสนเกลียดขี้หน้ากัน
แค่คิดว่าต้องใช้ชีวิตต่อจากนี้กับผู้ชายเผด็จการ บ้าอำนาจ ชอบบงการคนอื่นก็ต้องส่ายศีรษะทันที หล่อนไม่เอาด้วยหรอก หนีไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า อย่างน้อยก็ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง
ส่วนเรื่องมรดกไม่เคยคิดอยากได้ของคนอื่นอยู่แล้ว เท่าที่คุณย่าให้มาก็ใช้ไม่หมด
ที่หล่อนยอมอยู่บ้านญาณพัฒน์นอกจากทำตามคำสั่งเสียสุดท้ายของคุณลุง ยังรู้สึกผูกพันกับป้านิ่ม แต่เมื่อเจอเรื่องพินัยกรรมก็ตัดสินใจว่าต้องหนีอย่างเดียว
“อะไรคะคุณลิ เก็บเสื้อผ้าจะไปไหน” ระหว่างที่กำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าอย่างลวกๆ ประตูห้องนอนก็เปิดออกพร้อมเสียงทักท้วงของป้านิ่ม หล่อนไม่ได้เหลียวไปมองเลือกจะหยิบเสื้อผ้าออกจากไม้แขวนแล้วยัดลงกระเป๋า
“ลิอยู่ไม่ได้แล้วค่ะป้านิ่ม ถ้าอยู่ที่นี่ต้องโดนจับเข้าลานประหารแน่เลย คุณลุงนะคุณลุง คิดอะไรของท่านก็ไม่รู้” ตอบอย่างที่ใจคิด สร้างความสงสัยให้คนไม่รู้เรื่องจนต้องขมวดคิ้วมุ่น เห็นเข้าไปในห้องทำงานของพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์เพื่อฟังพินัยกรรม
พอออกมาหน้าตาก็บึ้งตึง เดินขึ้นบนบ้านจนนางต้องรีบตามมาดูอาการของลิลิต แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น...กำลังเก็บเสื้อผ้าจะออกจากบ้าน
ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยคิด เหตุใดตอนนี้ถึงอยากออกจากบ้านล่ะ มันต้องมีเรื่องที่นางไม่รู้เป็นแน่
และคงจะใหญ่พอให้หญิงสาวกล้าโบยบินออกจากบ้านที่มีความสะดวกสบาย คนมองนึกใจหายเพราะรักหล่อนเหมือนลูกสาวไปแล้ว จึงรีบกุมมือบางเอาไว้ไม่ยอมให้เก็บเสื้อผ้า
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ คุณลิพอจะเล่าให้ป้าฟังได้หรือเปล่า” พอเจอน้ำเสียงอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใยของป้านิ่ม คนที่กำลังเจอเรื่องหนักหนาถึงกับเบะปากแล้วโผเข้ากอดคนอายุมากกว่าอย่างต้องการหาที่พึ่ง
“คุณลุงให้ลิแต่งงานกับพ่อเลี้ยงค่ะ!” พูดเสียงดังฟังชัด สร้างความตกใจให้คนฟังแต่ก็เต็มไปด้วยอาการตื่นเต้นจนเผลอยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายไม่คาดคิดว่าพ่อเลี้ยงอนวัทธ์จะใช้วิธีนี้
“จริงเหรอคะ! คุณลิจะมาเป็นแม่เลี้ยงของไร่ทวีสุขเหรอคะ” ดวงตากลมแดงก่ำ ผละออกจากป้านิ่มแล้วเรียกท่านเสียงดังอย่างขัดใจ ไม่ชอบสรรพนามที่อีกฝ่ายเรียกตน เธอไม่อยากเป็นแม่เลี้ยงและจะไม่มีทางเป็นด้วย
การแต่งงานต้องเกิดขึ้นจากความเต็มใจของหล่อน ไม่ใช่ถูกบังคับเพราะต้องการมรดก
“ป้านิ่ม! แม่เลี้ยงอะไรล่ะคะ ลิไม่เป็นหรอกนะ ลิจะกลับบ้าน...ไม่สิ ลิจะไปตายเอาดาบหน้าไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ทำหน้ามู่ทู่ เผด็จการ บ้าอำนาจ ชอบข่มเหงคนอ่อนแอกว่าหรอก ยังไงลิก็ไม่ยอม!” เพียงแค่คิดถึงบ้านก็จำได้ว่ามันถูกขายทอดตลาดไปแล้ว เธอไม่มีบ้านที่แสนอบอุ่นอีกต่อไป
แต่การอยู่ที่นี่ก็เกรงว่าตนจะได้แต่งงานเพื่อตอบแทนบุญคุณ ซึ่งลิลิตไม่อาจทำเช่นนั้นได้ อย่างไรก็ขอใช้ชีวิตของตัวเองให้เต็มที่ดีกว่า
“คุณลิใจเย็นก่อนสิคะ ไปคุยกับพ่อเลี้ยงให้รู้เรื่องก่อนนะ อย่าหุนหันพลันแล่นเลย” ลูบหลังมือขาวเพื่อเป็นการปลอบ ข่มความดีใจของตัวเองเอาไว้ ตอนนี้สิ่งสำคัญคือพูดกล่อมให้ลิลิตอยู่บ้านญาณพัฒน์ต่อไป
“ไม่คุยค่ะ ยังไงลิก็ไม่คุย” ปฏิเสธเสียงแข็งแล้วผละห่างจากป้านิ่ม ทรุดกายนั่งลงบนเตียงด้วยใบหน้าบึ้งตึง ยกมือกอดอกแล้วเชิดหน้าไปทางอื่น พอนางจะกล่อมก็ต้องปิดปากเงียบเมื่อมีคนเคาะหน้าห้องก่อนที่ประตูจะเปิดกว้าง
สองสายตาเหลียวมองคนมาใหม่ พอรู้ว่าเป็นพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์ก็อยากจะลุกไปปิดประตูใส่หน้า แต่ไม่อยากมองให้เสียสายตาจึงผินหน้าไปทางอื่นทันที
“ป้านิ่มครับ ผมต้องการจะคุยกับลิลิต ขอยืมตัวเธอสักครู่นะครับ” คนถูกกล่าวถึงหันขวับ เป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่เขาเรียกชื่อเต็มของหล่อน ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย...
แต่เธอก็พยายามไม่สนใจเขา รู้ว่าที่ก้องนเรนทร์เข้ามาคุยก็คงหนีไม่พ้นเรื่องพินัยกรรม ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นคุณอนวัทธ์จะเขียนอะไรบ้าง เงื่อนไขที่เหลือคงไม่เกี่ยวกับเธอหรอก
“ป้านิ่มคะ ลิไม่สบายค่ะ เหมือนจะเวียนหัว ตัวร้อน คลื่นไส้อยากอาเจียน คงไม่สะดวกที่จะไปพบหรือพูดคุยกับใคร” ร่ายยาวโดยแกล้งยกมือขึ้นกุมขมับแล้วนอนลงบนเตียงเพื่อปิดบทการสนทนา เธอไม่อยากพูดคุยอะไรกับเขาทั้งนั้น
แต่อาการของหญิงสาวที่เป็นอย่างฉับพลัน พ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์รู้ทันทีว่าเธอกำลังไล่เขาทางอ้อม ซึ่งชายหนุ่มไม่ยอมออกไปโดยง่าย และมีวิธีจัดการกับคนร้อยเล่ห์ ทำเพียงแค่เหลือบตามองหล่อนแล้วหันมาคุยกับหัวหน้าแม่บ้าน
“งั้นผมฝากป้านิ่มไปบอกคุณหนูของป้าหน่อยนะครับ ว่าถ้าไม่สบายผมจะเรียกหมอมาตรวจ ให้ฉีดยาสักสองสามเข็มเผื่อจะหายจากอาการป่วยฉับพลัน” คนกลัวเข็มรีบเด้งตัวลุกนั่งบนเตียง เบิกตากว้างแล้วมองป้านิ่มพลางส่ายศีรษะไม่ยอมให้ท่านทำตามคำสั่งของพ่อเลี้ยง
สองสายตาจ้องคนอายุมากกว่าเป็นตาเดียว เล่นเอาป้านิ่มทำตัวไม่ถูกจึงหาข้ออ้างเพื่อออกไปข้างนอกให้เคลียร์กันเอง
“เอ่อ ป้าคิดว่าต้องไปเตรียมทำอาหารให้คนงาน เชิญทั้งสองคุยกันเลยนะคะ ป้าขอตัวค่ะ” ค้อมศีรษะออกไปจากห้อง เหลือเพียงเจ้าของห้องกับเจ้าของบ้านสองคน
“ป้านิ่มคะ ป้านิ่ม...ทิ้งกันได้” ลิลิตรีบลุกจากเตียงหวังรั้งป้านิ่มเอาไว้ แต่ร่างสูงก็เดินมาดักหน้าจนเธอชะงักเท้าแทบไม่ทัน รีบก้าวออกห่างจากพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์ที่จ้องหน้าหล่อนนิ่งเหมือนกำลังสำรวจ เอาแต่เงียบจนร่างบางต้องเป็นคนเอ่ยปากถามเอง
“คุณพ่อเลี้ยงมีอะไรจะพูดคะ เชิญพูดได้เลย” หล่อนเดินไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวข้างหน้าต่าง ยกมือกอดอกแล้วเชิดใบหน้าอย่างเหนือกว่า แต่กลับดูเหมือนเด็กที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ในสายตาก้องนเรนทร์
“เธอจะเก็บเสื้อผ้าไปไหน” ปรายตามองกระเป๋าเสื้อผ้าที่เปิดทิ้งไว้ จึงเป็นฝ่ายถามทั้งที่พอจะรู้ว่าหล่อนคงกำลังคิดหนีออกจากบ้าน
เด็กชะมัดเลย...
“ไปไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่ที่นี่”
“ฉันจะมาพูดเรื่องพินัยกรรมที่คุณพ่อทำทิ้งไว้ให้เราสองคนแต่งงานกัน” เบื่อจะคุยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาจึงตรงเข้าประเด็นทันทีไม่อยากปล่อยยืดเยื้อ ยืนกอดอกแล้วจ้องดวงหน้าหวานนิ่งเพื่อใช้ความคิด เขายังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
ถ้าแต่งงานก็เท่ากับเห็นแก่มรดก
แต่ถ้าไม่แต่ง...ไร่ก็ต้องตกเป็นขององค์กรการกุศลซึ่งเขาไม่อาจยอมปล่อยมันไปได้
“พ่อเลี้ยงสบายใจได้ค่ะ ฉันจะไม่ยอมแต่งงานตามพินัยกรรมและออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุด จะได้ไม่ต้องแย่งสมบัติกับพ่อเลี้ยง” เธอบอกเจตนารมณ์ของตัวเอง การแต่งงานเพื่อมรดกคงถูกเขามองว่าเห็นแก่เงิน
เธอจึงไม่อยากกระโดดลงไปในหลุมที่คุณอนวัทธ์ขุด และไม่มีทางยอมแต่งงานตามพินัยกรรมเด็ดขาด เชื่อว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมเช่นเดียวกัน
แต่คำตอบกลับผิดคาด...
“ฉันต้องการแต่งงานกับเธอ” เพียงประโยคเดียวทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ หล่อนเผยอปากกว้างด้วยความตกใจ คิดว่าเขาจะยืนกรานไม่แต่งงานซะอีก
หรือจะเป็นเพราะมรดก
“แต่เราไม่ได้รักกัน!” ลุกจากโซฟาแล้วเอ่ยเสียงดังเหมือนเป็นการเตือนสติ เธอจ้องเขาตาเขม็ง ทัศนคติที่มีต่อร่างสูงยิ่งเปลี่ยนไป เพิ่งรู้ว่าคนอย่างพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน แม้จะยอมฝืนใจตัวเองแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักก็ตาม