๑ พินัยกรรม (๓)
ถ้าไม่รวมการหาเรื่องให้เธอย้ายออกจากห้องของเกตนรีครั้งนั้น
ก็ถือว่าครั้งนี้เขาเข้าหาตนก่อน...
“ป้านิ่มครับ ฝากให้เด็กมาจัดการจานด้วยนะครับ” หลุบตามองจานเปล่าที่เธอถือ จากนั้นค่อยสั่งเสียงเรียบกับแม่บ้านที่นับถือเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง กลายเป็นหัวหน้าแม่บ้านที่ทุกคนต่างรักและให้ความเคารพ
“ส่วนเธอตามมานี่” เพียงแค่ปรายตามองแล้วเดินออกจากห้องอาหาร ก็ทำให้หล่อนเย็นยะเยือกได้แล้วจนต้องหันไปขอความช่วยเหลือคนที่ยืนอยู่ข้างกัน
“ป้านิ่ม...ช่วยลิด้วย”
“ป้าจะรออยู่ตรงนี้นะคะ” ท่านไม่สามารถช่วยได้ นอกจากให้กำลังใจคนที่ทำหน้าเศร้าเหมือนถูกผลักดันให้เดินลงนรก ไม่อยากไปแต่ก็จำต้องทำตามคำสั่งเจ้าของบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
‘ลูกชายของลุงนิสัยดี เขาจะเป็นพี่ชายอีกคนของหนู’
คำพูดของคุณอนวัทธ์ยังก้องอยู่ในหู แต่ท่านคงพูดผิดหรือไม่ก็คงไม่รู้จักนิสัยที่แท้จริงของลูกชายตัวเอง
ประตูห้องทำงานถูกเปิดออก คนตามเข้ามาจึงปิดลงเสียงเบา รู้สึกเกร็งยามอยู่กับพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์สองคน ไม่รู้ว่าตนจะโดนเขาเล่นงานอะไรบ้าง จึงยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ตรงหน้า เหมือนอยู่ห้องปกครองไม่มีผิดเพี้ยน
“นั่งลงสิ” เมื่อโดนสั่งจึงเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงตรงหน้า ความใจกล้าหายไปไหนหมดก็ไม่ทราบ แต่รู้สึกว่าเขาคือผู้ปกครองอีกคนของตนที่ต้องเชื่อฟัง
“พ่อเลี้ยงมีอะไรจะคุยกับฉันคะ” ขีดเส้นความสัมพันธ์เอาไว้ชัดเจน
เขาคือเจ้าของบ้าน...ส่วนเธอเป็นเพียงผู้อาศัย
“พรุ่งนี้เป็นวันเปิดพินัยกรรม...ลุงดนัยให้ฉันบอกเธอว่าต้องเข้าฟังด้วย”
“ค่ะ” หากนั่นคือเรื่องสำคัญ หล่อนก็ทราบมาจากป้านิ่มแล้วจึงไม่ตกใจ เลือกตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ อย่างไรพรุ่งนี้ก็ไม่มีอะไรทำ เข้าไปฟังเรื่องพินัยกรรมของครอบครัวญาณพัฒน์ก็คงสนุกไม่ใช่น้อย
ทว่ายังคงสงสัยเหตุใดคุณอนวัทธ์จึงให้หล่อนเข้าฟังการเปิดพินัยกรรมในครั้งนี้ด้วย มีอะไรพิเศษมากกว่านั้นหรือเปล่า
“พ่อเลี้ยงมีธุระแค่นี้ใช่ไหมคะ” เป็นฝ่านถามกลับเมื่อเห็นร่างสูงนั่งเงียบ เอาแต่มองหน้าเธออย่างคนใช้ความคิด
พอพินิจดูแล้วเพิ่งสังเกตว่าลิลิตเด็กกว่าตนมาก แววตาของหล่อนยังเต็มไปด้วยประกายแห่งความสดใส เหมือนมีดวงดาวนับพันส่องประกายอยู่ในนั้น เหมือนย้อนกลับไปช่วงเวลาที่น้องสาวของตนยังมีชีวิต
หากเกตนรียังคงอยู่...ก็คงไม่ต่างจากคนตรงหน้า
“มาอยู่ที่นี่ไม่คิดจะทำการทำงานหรือไง คนอื่นเขามีหน้าที่ต้องทำฉันไม่เห็นว่าเธอจะทำอะไร...นอกจากเดินเก็บดอกไม้มาปักแจกัน” ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกันแต่เรื่องของลิลิตก็ลอยเข้าหูตลอด ผู้จัดการไร่บอกว่าเธอเคยช่วยงานด้านบัญชี
ถึงจะเพิ่งเรียนจบและไม่มีประสบการณ์ด้านการทำงาน แต่ก็เป็นคนละเอียดรอบคอบ ทำงานไม่ผิดพลาดจนสามารถแบ่งเบาภาระได้ เสียดายที่คนมีความสามารถต้องกลายเป็นคนว่างงาน
ในเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่ กินฟรีอยู่ฟรีก็ต้องทำงานตอบแทน...
“ฉันทำค่ะ! ฉันจบบัญชีก็ช่วยงานของไร่ แต่พ่อเลี้ยงไม่ยอมให้ทำเองแล้วจะให้ฉันทำอะไรล่ะ” คราวนี้เริ่มกลับมาต่อปากต่อคำอีกครั้ง เธอมองเขาด้วยแววตาขุ่นเคืองที่ตนถูกไล่ออกจากงานของเพราะคนตรงหน้า
“หลังเปิดพินัยกรรมเสร็จให้กลับไปทำตำแหน่งเดิม” บอกเสียงเรียบโดยไม่อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น สร้างความโมโหปนขบขัน จนต้องถามกลับด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“ทำไมถึงยอมให้ฉันกลับไปทำล่ะคะ คนที่รับสมัครใหม่มีปัญหาหรือเปล่า”
“บอกก็ทำ ไม่ต้องถามให้มาก” แต่พ่อเลี้ยงที่กุมอำนาจทุกอย่างเอาไว้กลับตัดบทอย่างรวดเร็ว เธอจึงเม้มปากแน่นทำหน้าบึ้ง ไม่ได้พูดอะไรกับเขาอีกนอกจากรับคำเสียงหนักเหมือนประชดประชันซะมากกว่า
“ค่ะ!”
“หมดธุระแล้ว” คำพูดนั้นเหมือนเป็นการไล่กรายๆ ลิลิตจึงลุกยืนแล้วยิ้มกว้างเพียงแค่ปาก แววตากลับมีเพียงความโกรธ
เขามองออกและเริ่มสนุกไปกับการได้เย้าแหย่คนอายุน้อยกว่า ไม่รู้ว่าถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรจึงเก็บอารมณ์ไม่เป็นเลย เพียงแค่มองหน้าก็เดาได้แล้วว่ารู้สึกเช่นไร
อย่างนี้เขาถึงจะสนุก...
“ค่ะ” ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปข้างนอกทันที ไม่ลืมปิดประตูเสียงดังประกาศความเป็นอริอย่างชัดเจน
แล้วต่อจากนี้จะอยู่ด้วยกันในบ้านได้อย่างไร การปรับตัวเข้าหาเป็นเรื่องยากพอสมควร แต่ก็คงต้องลองดูกันสักตั้ง เพราะจดหมายฉบับสุดท้ายที่พ่อเขียนไว้ในห้องของเขา คือการฝากให้ดูแลลิลิตไปตลอดชีวิต
พูดเหมือนกำลังหาภรรยาให้ลูก...
ออกจากห้องมาได้ก็บ่นเป็นกินผึ้ง หน้าตาบอกบุญไม่รับจนป้านิ่มที่คอยท่าต้องรีบเข้ามาหา พร้อมยื่นน้ำดื่มให้ร่างบางเผื่อจะทำให้ใจเย็นขึ้นบ้าง
“เกลียดจริงๆ เลย คนบ้าอำนาจ เผด็จการ อย่าให้คนอย่างลิลิตมีอำนาจเมื่อไหร่นะ จะใช้งานให้หนักเลยคอยดูสิ” ดื่มน้ำจนหมดก็ยังไม่หายจากอาการหัวร้อน เลือกจะพูดไม่หยุดจนคนมองต้องปลอบปะโลมแล้วเอ่ยถามทั้งที่พอจะทราบเรื่องราวอยู่แล้วบ้าง
“บ่นอะไรคะคุณลิ หน้าตามู่ทู่เชียว”
“ก็พ่อเลี้ยงของป้านิ่มสิคะ พูดจากลับกลอกไปมา ครั้งก่อนบอกให้ลิออกจากงาน มาคราวนี้บอกให้มาทำงาน เอาแน่เอานอนไม่ได้” ป้านิ่มยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าหญิงสาวกำลังจะได้ไปทำงานอีกครั้ง หลังจากที่ออกจากงานแล้วอยู่บ้านอย่างเดียว แทบไม่ได้ออกไปไหนเลย
ตอนนี้หล่อนกำลังจะได้ออกไปทำงานอีกครั้ง ซึ่งทำตำแหน่งเดิมที่คุณลุงเคยฝากไว้กับฝ่ายบัญชีของไร่ให้ช่วยดูแลและสอนงาน
“งั้นคุณลิของป้าก็จะไปทำงานแล้วสิคะ”
“ใช่ค่ะ ลิต้องคิดถึงป้านิ่มแน่เลยค่ะ” เริ่มออดอ้อนอีกครั้ง เรื่องการอ้อนหล่อนถนัดอยู่แล้ว ทำให้ผู้ใหญ่รักหลงถือเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงที่ชื่อลิลิต
“โธ่ แม่คุณของป้า พูดอย่างกับสำนักงานอยู่ไกลหลายพันกิโล บ้านเรากับที่ทำงานของคุณลิห่างกันไม่ถึงสามร้อยเมตรเลยค่ะ” หัวเราะร่วนกับท่าทีแสนน่ารักของหญิงสาว แต่ท่านก็เข้าใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดีว่าเพียงแค่ต้องการอ้อนเท่านั้น
อยู่บ้านทำงานเล็กน้อยมาหลายเดือนคงเบื่อ ได้ออกไปทำงานตามที่ร่ำเรียนมา ถือว่าใช้ความรู้ในทางที่ถูกต้อง
“แต่สามเดือนที่ผ่านมาลิอยู่กับป้านิ่มตลอดเวลา เราเหมือนฝาแฝดกันเลยนะคะ ถ้าต้องไปทำงานแล้วเจอแค่เช้ากับเย็นลิก็แสนจะคิดถึง” โอบกอดเอวของท่านพลางซุกศีรษะลงบนไหล่ ไม่วายชะโงกหน้ามาหอมแก้มป้านิ่มจนคนอายุมากถึงกับยิ้มตาปิด
“ปากหวาน แบบนี้ไงคะป้าเลยไปไหนไม่รอด”
ตอนนี้ท่านมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้ลิลิตเข้ามาอยู่ในบ้านญาณพัฒน์ ไร่ที่เคยเงียบเหงาจะได้มีเสียงหัวเราะบ้าง ลำพังมีเพียงพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์คงได้แต่อมทุกข์
ถ้าสองคนนี้ตกลงปลงใจคบหากันก็คงจะดี...
ถึงวันเปิดพินัยกรรมทุกคนมารวมกันอยู่ห้องทำงานของบ้าน ซึ่งการเข้าฟังครั้งนี้มีเพียงลูกชายอย่างก้องนเรนทร์และหลานสาวที่รับมาอุปการะเท่านั้น ญาติคนอื่นไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมฟังเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายภาคหน้า
อย่างไรไร่ทั้งหมดก็ต้องตกเป็นของลูกชายสืบสายเลือดเพียงคนเดียวอยู่แล้ว
ร่างสูงจึงมีท่าทีเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายต่อการเปิดพินัยกรรมครั้งนี้ เขารู้ดีว่าทุกอย่างจะต้องเป็นของตนเอง ซึ่งมันก็ถูกต้องเพราะตนทำงานที่ไร่มาตั้งแต่เด็ก เห็นทุกขั้นตอนเรียนรู้งานจนกลายเป็นความชำนาญ
หากพ่อไม่ยกให้ตนแล้วจะเอาให้...
“มากันครบแล้วนะครับ ผมจะได้เปิดพินัยกรรมของคุณอนวัทธ์” ทนายประจำตระกูลนั่งลงที่โซฟาพร้อมวางเอกสารลงบนโต๊ะกลาง ร่างสูงนั่งที่เบาะหนาหน้าโต๊ะทำงาน ขณะที่ลิลิตเลือกจะนั่งเยื้องกับเจ้าของบ้าน
เธอไม่รู้ว่าทำไมตนต้องเข้ามานั่งฟัง แต่เมื่อคุณลุงเป็นคนกำชับก็คงขัดไม่ได้
“ครับ”
“ผมนึกว่าคุณพ่อจะให้แค่คนในครอบครัวเข้ามาฟังซะอีก ยังอุตส่าห์ใจดีให้คนนอกมาฟังด้วย” พูดจบก็เหลือบมองหญิงสาวเพียงคนเดียวในห้อง จากนั้นค่อนถอนสายตากลับไปจ้องคุณดนัยที่มีสีหน้ากระอักกระอวน พอจะทราบมาบ้างว่าลูกชายของคุณอนวัทธ์ไม่ชอบหญิงสาวที่ท่านอุปการะ
ไม่อยากคิดเลยว่าพอรู้ใจความสำคัญของพินัยกรรม...จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ไม่กัดฉันสักวันจะตายหรือไง” พูดกับตัวเองเสียงเบา กลัวว่าจะเกิดการปะทะจนไม่ได้ฟังพินัยกรรมถ้าเขาได้ยิน หล่อนพยายามไม่หันไปมองพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์ให้รู้สึกรำคาญใจ แล้วตั้งใจมองคุณดนัยที่กำลังจะอ่านพินัยกรรม
เวลาอันน่าอึดอัดจะได้จบลงสักที
“พินัยกรรมฉบับนี้ทำขึ้น ณ บ้านเลขที่... ข้าพเจ้านายอนวัทธ์ ญาณพัฒน์ ขอทำคำสั่งครั้งสุดท้ายไว้ในพินัยกรรมฉบับนี้
“ทรัพย์สินทั้งหมดของข้าพเจ้าอันได้แก่ไร่ทวีสุข จำนวน 110 ไร่ บ้านพักอาศัยรวมทั้งบ้านพักตากอากาศ จำนวน 4 หลัง ที่ดินในตัวเมือง จำนวน 10 ไร่ รวมถึงหุ้นของโรงแรมและห้างสรรพสินค้าที่ข้าพเจ้าถือครองจำนวน 5 เปอร์เซ็นต์ ขอมอบให้แก่นายก้องนเรนทร์ ญาณพัฒน์” ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้เท่าไหร่ ท่าทีของก้องนเรนทร์จึงนิ่งสงบ
แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ต้องเบิกตากว้าง แทบไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่คุณดนัยกล่าว
ไม่ทางเป็นความจริง!
“โดยพินัยกรรมจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อนายก้องนเรนทร์แต่งงานกับนางสาวลิลิต ปพนธรรม หากไม่เป็นไปตามนั้น ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกมอบให้องค์กรการกุศลเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ” ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อเจ้าของพินัยกรรมเปลี่ยนคำพูดอย่างฉับพลันเหมือนกำลังเล่นรถไฟตีลังกา
ทั้งที่บอกจะยกให้ลูกชาย...แต่มีเงื่อนไขคือต้องแต่งงานกับลิลิต!
คนที่อึ้งไม่ใช่มีเพียงร่างสูง แต่หญิงสาวก็รู้สึกไม่ต่างกัน หล่อนนิ่งเผยอปากค้าง กระพริบตาปริบระหว่างประมวลผลกับสิ่งที่ทนายได้กล่าว คิดว่าตนอยู่ในละครหลังข่าวสักเรื่องที่ถูกทางบ้านบังคับแต่งงานโดยใช้พินัยกรรมมาเป็นข้ออ้าง
มันเกิดขึ้นจริงกับชีวิตของตนได้อย่างไร!
“นี่มันพินัยกรรมบ้าอะไรคะ ทำไมคุณลุงต้องให้ลิแต่งงานกับเขาด้วย” เมื่อตั้งสติได้ก็ลุกยืนแล้วถามด้วยความกังขา เธอคิดว่ามันต้องมีบางอย่างผิดพลาด ไม่มีทางเป็นความจริงอย่างแน่นอน ตนไม่เชื่อเด็ดขาด
สองคนที่เกลียดกันต้องมาร่วมหอลงโรง...
น่าจะเป็นโลงซะมากกว่าล่ะสิ
“คุณพ่อมีปัญหาทางด้านสมองหรือเปล่าครับ ท่านเขียนพินัยกรรมตอนมีสติแน่เหรอ” ไม่ใช่เพียงลิลิตที่ไม่อยากเชื่อ คนเป็นลูกก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน เขาคิดว่าต้องเกิดการสื่อสารผิดพลาดบางประการ เหตุใดบิดาจึงบังคับให้แต่งงานกับหญิงสาวที่อายุห่างกันเป็นสิบปี
ทั้งยังเพิ่งเจอหน้าไม่ได้ผูกสมัครรักใคร่ ท่านต้องการทำอะไรกันแน่
อยากให้เขารับผิดชอบดูแลลิลิตไปตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ...แต่ก็ไม่น่าเอาการแต่งงานมาบังคับเลยนี่น่า
มันคือทั้งชีวิตของพวกเขาสองคน
“ท่านไม่มีปัญหาทางด้านสมอง และตอนที่เขียนพินัยกรรมก็มีสติครบถ้วน ผมกับคุณทรงธรรมและคุณวิกรมเป็นพยานให้ได้” คุณดนัยยืนยันอีกครั้งแต่ร่างสูงก็ยังไม่หายแคลงใจอยู่ดี จนเผลอพูดโดยไม่ทันคิดสร้างความขุ่นหมองให้คนฟัง
“แล้วทำไมคุณไม่ห้ามตอนท่านเขียนพินัยกรรมฉบับนี้ จะให้ผมไปแต่งงานกับผู้หญิงกะโหลกกะลาเพื่อเอาสมบัติอย่างนั้นเหรอ”
“นี่พ่อเลี้ยงว่าฉันเป็นผู้หญิงกะโหลกกะลาเหรอ!” เหวเสียงดังใส่คนอายุมากกว่า สองสายตาสบกันไม่มีใครยอมหลบ เธอเองก็ไม่ยอมโดนด่าฝ่ายเดียวเหมือนกัน
ใช่ว่าตนอยากแต่งงานกับเขาซะเมื่อไหร่
“ผมว่าฟังให้จบดีกว่านะครับ ถ้าฟังจบผมขอพูดกับคุณก้องเรื่องพ่อเลี้ยงอีกสักครู่” คุณดนัยต้องห้ามทัพทั้งสอง ยังเหลือเงื่อนไขอีกหลายข้อที่ต้องพูดให้คนทั้งสองได้รับทราบ มัวแต่ทะเลาะกันก็คงไม่รู้เรื่องพอดี
“เชิญอ่านต่อครับ” ก้องนเรนทร์ยอมอ่อนข้อแล้วผายมือเชิญให้อีกฝ่ายพูดพินัยกรรมในส่วนที่เหลือ
ลิลิตถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ยกมือกอดอกพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง แสดงอาการชัดเจนว่าไม่ใคร่จะชอบใจกับการถูกกล่าวหาหรือโดนบังคับให้แต่งงาน โดยมีมรดกหลายร้อยล้านเป็นเดิมพัน
“ถ้าทั้งสองคนตกลงปลงใจแต่งงานกัน ทรัพย์สินจะถูกโอนให้นายก้องนเรนทร์ ญาณพัฒน์และนางสาวลิลิต ปพนธรรมครอบครองคนละครึ่งโดยทันที” ลูกชายเพียงคนเดียวนึกสงสัยว่าทำไมพ่อเอ็นดูหญิงสาวคนนี้นักหนา จนยอมมอบมรดกครึ่งหนึ่งให้หล่อน
ทั้งยังยกเขาให้อีกต่างหาก...
มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่านั้นหรือเปล่า
“จบแล้วใช่ไหมครับ” เมื่อคุณดนัยอ่านจบความเงียบก็ปกคลุมห้อง เขาจึงเอ่ยถามเพื่อต้องการตัดบท ไม่อยากลุ้นว่าพินัยกรรมจะมีส่วนไหนให้ตื่นเต้นอีกหรือเปล่า คิดว่าจะมานั่งอย่างสบายอารมณ์ แต่กลับเจอบิดาตลบหลัง
พ่อนะพ่อ...ทำกันได้ลงคอ
“ยังเหลืออีกครับ แต่ให้คุณลิลิตฟังได้ถึงตรงนี้”
“คะ หมายความว่ายังไงคะ” นิ่งค้างเมื่อถูกไล่ออกจากห้อง เธอยังอยากรู้ต่อจากนี้ว่าคุณลุงจะเขียนเงื่อนไขอะไรอีก
“เธอออกไปรอข้างนอก ฉันจะคุยกับคุณดนัยสองคน” พ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์เป็นคนเอ่ยปาก ทว่าหล่อนยังคงต่อรองไม่อยากออกจากห้อง คิดว่าต่อจากนี้จะต้องมีพูดถึงตนเองแน่นอน
“แต่ว่า..”
“ทำตามความประสงค์ของพ่อเลี้ยงอนวัทธ์เถอะนะครับคุณลิลิต” ทนายประจำตระกูลพูดกล่อม เอาคุณลุงมาอ้างอย่างนี้เธอจะทำอะไรได้ล่ะ หญิงสาวจำต้องออกไปข้างนอกอย่างเสียไม่ได้ ตอบรับเสียงแผ่วด้วยความจำยอม
“ค่ะ”
เมื่อลิลิตออกไปจึงเหลือเพียงผู้ชายสองคน คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมขนาดใหญ่เริ่มนั่งไม่ติด ลุกยืนเพื่อรอฟังว่าเงื่อนไขที่เหลือจะเป็นอย่างไร เริ่มไม่ไว้ใจบิดากลัวท่านจะเล่นตุกติกกับตัวเอง
“พ่อเลี้ยง...ยังมีคำสั่งเสียอีกข้อสำหรับคุณโดยเฉพาะครับ”
“พ่อนะพ่อ...เชิญพูดมาได้เลย ผมพร้อมจะรับฟังแล้วไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน” ประโญคแรกเขาพูดกับตัวเอง แล้วค่อยบอกคุณดนัยที่เตรียมพร้อมจะอ่านเงื่อนไขที่เหลือเพื่อให้สิ้นสุดพินัยกรรมที่คุณอนวัทธ์เขียนไว้ก่อนจากไปสักที
“จากพินัยกรรมข้างต้น ข้าพเจ้าได้เขียนพินัยกรรมเพื่ออ่านต่อหน้านายก้องนเรนทร์ ญาณพัฒน์เพียงผู้เดียว นางสาวลิลิต ปพนธรรมคือลูกสาวของผู้มีพระคุณต่อข้าพเจ้า ที่ดินผืนแรกของไร่ทวีสุขมาจากเงินสนับสนุนของนางเอมอร ปพนธรรม” ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกใจที่บิดาจะรักและเป็นห่วงลิลิตราวกับลูกสาวอีกคน
เพราะคุณย่าของเธอเคยช่วยเหลือพ่อของเขาเอาไว้ บุญคุณที่ต้องตอบแทน...
“หากการแต่งงานครั้งนี้มีการหย่าภายหลัง มรดกทั้งหมดจะตกเป็นของนางสาวลิลิต ปพนธรรม”
“ไม่ยุติธรรม!! คุณพ่อคิดอะไรของท่าน” ตะโกนเสียงดังตามอารมณ์ แต่ก็โดนเบรกจากทนายที่อยากอ่านพินัยกรรมให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ท่านเขียนไม่กี่บรรทัดแต่ใช้เวลาอ่านนานพอสมควรเพราะถูกขัดตลอดเวลา
“คุณก้องฟังให้จบก่อนครับ”
“แต่ถ้าภายในหนึ่งปีนายก้องนเรนทร์ ญาณพัฒน์ให้กำเนิดบุตรโดยสืบสายเลือดจากนายก้องนเรนทร์และนางสาวลิลิตได้ มรดกจะตกเป็นของนายก้องนเรนทร์ ญาณพัฒน์ดังเดิม”
เขาต้องมีลูกกับลิลิตอย่างนั้นเหรอ!
ทั้งยังกำหนดระยะเวลามาให้อีกต่างหาก...