๑ พินัยกรรม (๒)
น่าเสียดายที่พ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์ไม่ถูกกับลิลิต ไม่อย่างนั้นก็อยากเชียร์ให้ลงเอย ไร่ทวีสุขจะได้มีงานเลี้ยงฉลองกับเขาสักที คงมีความสุขน่าดู
ลิลิตจะได้อยู่กับพวกเธอไปอีกแสนนาน...
หล่อนแลซ้ายมองขวาเพื่อตรวจตราว่าเจ้าของบ้านไปไหน ข้อดีของการตื่นสายคือไม่เจอพ่อเลี้ยงบ้าอำนาจ ส่วนตอนเย็นก็รีบรับประทานอาหารแล้วขึ้นบนห้องทันที สามเดือนของเธอช่างน่าเบื่อแต่ก็มีนิยายช่วยจรรโลงใจไม่ให้เหงา
กลางวันก็ช่วยงานป้านิ่มหรือพูดคุยกับแม่บ้านเพื่ออัพเดทข่าวสารบ้าง อยากไปทำงานใจจะขาดแต่ติดที่ไม่ต้องการเจอหน้าพ่อเลี้ยง
เฮ้อ...ชีวิตเธอจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่นะ
“ไปนานแล้วค่ะ พ่อเลี้ยงออกไปไร่ตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสาง เห็นว่าต้องไปส่งส้มล็อตใหญ่เลยต้องคุมเอง” รู้ดีว่าคุณลิของตนไม่ชอบหน้าก้องนเรนทร์ หนีได้เป็นต้องหนีตลอด
“ดีค่ะ ลิไม่อยากเห็นหน้า” เพียงแค่พูดถึงก็รู้สึกอารมณ์เสียแล้ว เธอบึนปากแล้วตักอาหารเข้าปาก
ลงมือรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย รสชาติดีอย่างกับอาหารในภัตตาคาร เรื่องการกินเธอถนัดมากยกเว้นการทำ คุณเอมอรเคี่ยวเข็ญหลานสาวเรื่องการเข้าครัวแต่ก็มีเหตุผลร้อยแปดมาอ้าง ทั้งยังอ้อนจนท่านตามใจ
หลานสาวเพียงคนเดียว...รักปานดวงใจ
“โธ่ ไม่รู้เกลียดอะไรกันนักหนา” พึมพำกับตัวเองแล้วเดินเข้าครัวไปหยิบน้ำส้มคั้นมาให้ลิลิต ใบหน้าหวานยิ้มกริ่มระหว่างรับประทานอาหาร คนทำก็มีความสุขที่เห็นว่าอีกฝ่ายชอบอาหารที่ตนเป็นคนทำ
คนในครัวต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงความรักที่ป้านิ่มมีต่อคุณหนูคนใหม่ของไร่ทวีสุข เหมือนเห็นภาพเกตนรีซ้อนทับในตัวของลิลิต
ต่างกันที่คนจากไปไม่สดใสเท่านี้...
“อร่อยไหมคะ”
“อร่อยมากค่ะ วันนี้ใครทำสเต็กเหรอคะ รสชาติกลมกล่อมกำลังพอดีเลย ซอสก็อร่อย...ลิชอบหมดทุกอย่างเลยค่ะ” จิ้มเนื้อสเต็กเข้าปากพลางเอ่ยชมไม่หยุด ป้านิ่มที่ลงมือทำเพราะจำได้ว่าเมื่อวานร่างบางเปรยเอาไว้
ท่านจึงตามใจโดยการเข้าครัวทำให้แต่เช้า พอลิลิตไม่ตื่นสักทีจึงขึ้นมาตาม เกรงว่าอาหารจะเย็นชืดหมดความอร่อย
ตอนพ่อเลี้ยงอนวัทธ์อยู่ด้วยทั้งบ้านมีเพียงเสียงหัวเราะ ถึงท่านจะเจ็บป่วยแต่ลิลิตก็พยายามสร้างความสนุกสนาน อย่างน้อยช่วงท้ายของชีวิตก็อยากให้คุณลุงมีเพียงรอยยิ้ม
“ชอบก็กินเยอะๆ นะคะ ถ้าไม่อิ่มในครัวยังมีอีกเยอะเลย” พอได้ฟังอย่างนั้นก็พยักหน้าทันที เธอพร้อมจะกินของอร่อยอยู่แล้ว
แผนวันนี้คือการอ่านนิยายเรื่องเมื่อคืนให้จบ แล้วไปปลูกดอกไม้ที่สวนข้างบ้านกับป้านิ่ม ค่อยอ้อนให้ท่านทำคุกกี้ช็อคโกแลตให้รับประทาน
กลายเป็นว่าลิลิตเป็นคนของบ้านญาณพัฒน์โดยสมบูรณ์ เพราะก่อนพ่อเลี้ยงอนวัทธ์เสียชีวิตได้เอ่ยขอร้องให้หล่อนอยู่ที่นี่ต่อไป พอตกปากรับคำจึงไม่อาจไปไหนได้ ยิ่งเป็นความประสงค์ของผู้ที่จากไปแล้วก็ยิ่งต้องทำตาม
หล่อนจึงไม่อาจหนีจากไร่ทวีสุขได้...
“ค่ะ!” รับคำอย่างแข็งขัน มีความสุขกับการกินเป็นอย่างมากจนเกลี้ยงหมดจาน โชคดีที่กินเท่าไหร่น้ำหนักก็ไม่ขึ้น
แต่ถึงขึ้นก็ลงเร็วมากหากหล่อนคิดจะลด เพียงขยับร่างกายเล็กน้อย น้ำหนักก็ลงสองถึงสามกิโลกรัมภายในหนึ่งสัปดาห์แล้ว ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ลิลิตไม่ค่อยกังวลในอาหารการกินเท่าไหร่ เธอสามารถหยิบของกินเข้าปากได้ตามใจปรารถนา
ยกเว้นก็แต่มีคนทัก...จะกลายเป็นความกังวลจนหมกมุ่นทันที
“คุณลิคะ พรุ่งนี้จะครบรอบสามเดือนที่พ่อเลี้ยงจากไป...แล้วก็จะมีการเปิดพินัยกรรม คุณทนายบอกว่าให้คุณลิเข้าไปฟังด้วย กำชับว่าต้องมีคุณลิค่ะ” ป้านิ่มที่ยืนคอยท่าอยู่ข้างโต๊ะอาหารเอ่ยถึงเรื่องสำคัญที่ได้รับคำสั่งจากทนายประจำตระกูลให้ลิลิตเข้าร่วมฟังพินัยกรรมด้วย
คนฟังขมวดคิ้วมุ่น หยิบน้ำส้มขึ้นดื่มแล้ววางลงเมื่อหมดแก้ว หล่อนไม่เข้าใจว่าตนเกี่ยวข้องกับพินัยกรรมครั้งนี้อย่างไร จึงต้องเข้าร่วมฟัง
ไม่ใช่คนในครอบครัวญาณพัฒน์สักหน่อย...
“ทำไมล่ะคะ ลิไม่ใช่คนในครอบครัวทำไมลิต้องเข้าฟังพินัยกรรมด้วยล่ะ ไม่เอาหรอกค่ะ...” ส่ายหน้าปฏิเสธทันที
การเข้าร่วมฟังพินัยกรรมครั้งนี้ต้องเจอหน้าพ่อเลี้ยงคนปัจจุบันอย่างแน่นอน เธอไม่ต้องการเห็นหน้าตาบึ้งตึงลำคอเชิดตั้งของอีกฝ่าย ขอเลี่ยงต่างคนต่างอยู่ดีกว่า
“คุณทนายกำชับมาอย่างนี้ขัดไม่ได้นะคะ” ย้ำเสียงหนักแน่นเมื่อเห็นว่าลิลิตทำท่าจะขัดคำสั่ง ใบหน้าหวานบึ้งตึงแสดงออกทางอารมณ์ชัดเจน ไม่เคยปกปิดความรู้สึกมิดสักครั้ง คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าจนหมด
“ลิไม่อยากเจอหน้าพ่อเลี้ยงของป้านิ่มนี่คะ อุตส่าห์หลบได้มาตั้งสามเดือนแล้วแท้ๆ” ผิดจากที่เดาไว้ซะเมื่อไหร่ ใช่ว่าไม่อยากเข้าฟังเพียงแค่ไม่ต้องการเห็นหน้าก้องนเรนทร์ก็เท่านั้น
เรื่องของคนอื่นหล่อนอยากรู้จะตายไป...
“นั่นสิคะ อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่เจอหน้ากันเลย...เป็นไปได้ยังไง” อดทึ่งไม่ได้กับการหลบหน้าหลบตาของลิลิต
โดยหญิงสาวบอกว่าไม่ได้กลัว แต่ไม่ชอบหน้าจึงไม่อยากเจอ
“ง่ายจะตายค่ะ แค่เห็นหลังเขาลิก็รีบหนีทันที ไม่อยากเจอ ไม่อยากเสวนา ไม่อยากจะมองแม้แต่ปลายผมด้วยซ้ำ ผู้ชายอะไรบ้าอำนาจ เผด็จการ เอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด คุณลุงเก็บเขามาจากถังขยะหรือเปล่าคะ นิสัยพ่อลูกต่างกันราวฟ้ากับเหว”
พอได้พูดก็ระบายความในใจออกมายาวเหยียด จนไม่ทันสังเกตว่ามีคนเข้ามาในห้องอาหาร ป้านิ่มจะทักก็ไม่ทันจึงยืนนิ่งเงียบ กังวลกับสายตาของคนมาใหม่ที่จ้องอย่างเอาเรื่อง ไม่คิดว่าก้องนเรนทร์จะเข้ามาบ้านช่วงกลางวัน
แล้วดันเจอแจ็คพอตพอดี...
“ที่บ้านไม่สอนเหรอว่าไม่ควรนินทาผู้มีพระคุณ...อุตส่าห์ให้ข้าวให้น้ำ แบ่งปันที่อยู่อาศัยแต่กลับถูกพูดลับหลัง” คนที่กำลังคุยเพลินถึงกับสะดุ้ง รีบเหลียวหลังมามองก่อนจะสายตาคมกริบของก้องนเรนทร์จ้องตนไม่วางตา
ร่างแบบบางลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมายืนข้างป้านิ่ม หน้าถอดสีไม่กล้าตอบโต้ ถึงเธอจะเกลียดเขาแต่พออยู่ต่อหน้ากลับไม่กล้าต่อปากต่อคำอย่างใจนึก บางครั้งก็รู้สึกรำคาญตัวเองเหมือนกัน เก่งแต่ลับหลัง
“ไหนป้านิ่มบอกว่าเขาไม่อยู่ไงคะ” กระซิบถามคุณป้าที่ยืนนิ่ง แต่กลับไม่ได้รับคำตอบจากท่านจึงคิดจะออกจากห้องอาหารแล้วเข้าห้องของตัวเอง
ปกติพ่อเลี้ยงก้องนเรนทร์ออกไปไร่แต่เช้า กลับอีกทีก็ค่ำมืดจึงไม่ได้เจอกัน แต่คราวนี้กลับมาช่วงกลางวันซะได้ น่าแปลกเหลือเกิน...
“จะไปไหน” พอคิดจะหนีก็มีแววตาคมจ้องไม่ยอมวางตาจนน่าอึดอัด เธอจึงคิดจะพาตัวเองออกจากสถานการณ์นี้โดยเร็วที่สุด แต่การเดินหนีก็เหมือนจะเป็นฝ่ายแพ้ จึงต้องหาข้ออ้างโดนหยิบจานเปล่ามาถือไว้
“อิ่มแล้วค่ะเลยจะเอาจานไปล้าง พ่อเลี้ยงเจ้าของบ้านมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“มี” เธอไม่คาดคิดกับคำตอบของเขามาก่อนจึงยืนนิ่งค้างอยู่แบบนั้น อาศัยที่ไร่ทวีสุขเกือบครึ่งปีแล้วแต่การพูดคุยกับก้องนเรนทร์แทบนับคำได้