บทที่ 2
จิลล์ไม่เคยสงสัยตัวเองเลยว่าเธอสามารถจะผูกพันใจทอดด์ได้ ถ้าเธอต้องการเขาและแย่งเขามาเสียจากเคอรี่ เธอสามารถจะทำตัวเป็นคนอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้เช่นเคอรี่โดยไม่ข้องขัด กับทอดด์แล้ว ความสวยของเธอย่อมเป็นแต้มต่อกว่าเคอรี่หลายชั้นนัก แต่เธอจะไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่ เคอรี่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่จิลล์เคยมีมา และเคอรี่ก็รักทอดด์อย่างหมดจิตหมดใจ
ก็แล้วเธอเล่า เคยมองผู้ชายคนไหนด้วยแสงแห่งความรักเช่นฉาบฉายอยู่ในดวงตาของเคอรี่บ้างหรือไม่? หัวใจสีชมพูดวงนี้ไม่เคยหลงระเริงรักในตัวผู้ชายคนใดมาก่อนอย่างจริงจังเลย ทันทีที่เธอได้ผู้ชายคนนั้นมาไว้ในอุ้งมือ ความระเริงใจก็ดูจะเลือนหายไป แม้ว่าการไล่ตามจับผู้ชายจะสร้างความตื่นเต้นให้อยู่ แต่จิลล์ก็มักจะเบื่อเสียก่อนทุกที
เสื้อสีขาวแขนยาวแขวนอยู่ในไม้แขนหลังประตูห้องน้ำ จิลล์หยิบมาสวม กลัดกระดุมจากข้างล่างขึ้นมา มองดูเนื้อผ้าที่แนบเนียนเข้ากับเนินทรงทีละน้อย
ผีเสื้อ...ดูจะเป็นคำเปรียบเทียบที่เหมาะสมกับเธออย่างที่สุด ปีกสีทอง โผผินบินร่อน จากผู้ชายคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ไม่เคยหยุดอยู่ที่ไหนได้นาน นี่ละหรือคือวงจรแห่งชีวิตของเธอ หรือว่าจะต้องรอจนกว่าจะมีผู้ชายคนไหนสักคนมาตรึงปีกเธอไว้
มันออกจะเป็นเรื่องเพ้อฝันอยู่ เพราะนับตั้งแต่เกิดมาสัญชาตญาณก็สอนให้เธอรู้แล้วว่า จะผูกพันหัวใจผู้ชายไว้ได้โดยวิธีใด ไม่มีผู้ชายคนไหนเลยที่จะไม่ทำตามความประสงค์ของเธอ และทันทีที่เธอสามารถทำให้เขาเกิดความหลงใหลขึ้นมาได้ เธอก็จะขยับปีกบินจากไป
จิลล์ยักไหล่ ความคิดในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ทำให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ เธอสอดชายเสื้อเข้าไว้ใต้ขอบกางเกงสีฟ้าหม่น ลูบไล้ปลายผมเบา ๆ อย่างไม่ตั้งใจเมื่อก้าวออกจากห้องน้ำ
“เสร็จแล้วหรือ?” เคอรี่สวมเสื้อกันลมสีเหลืองทับลงบนเสื้อยืดสีเทาอ่อน ท่าทางของเธอเหมือนทอมบอย ซึ่งเข้ากับผมทรงบ๊อบและใบหน้าสวยเรียบ ๆ แต่นั่นมิใช่หมายถึงบุคลิกลักษณะที่แท้จริงทั้งหมดของเธอ
จิลล์สังเกตเห็นในสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่แต่ก็ด้วยความรู้สึกรักใคร่ แต่เธอเลิกล้มความตั้งใจที่จะพูดชักชวนให้เพื่อนสาวแต่งตัวที่แปลกกว่านี้มานานแล้วถึงอย่างไรเวลานี้เคอรี่ก็ได้รับคำขอแต่งงานจากผู้ชายที่เธอรักแล้ว เพราะฉะนั้น จิลล์ก็คิดว่าถึงจะแต่งตัวอย่างไรมันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน
“ใครจะไปทำวิจัยแล้วก็ส่งกระดาษสอบได้ทันเวลากัน?” เธอเอื้อมไปหยิบเสื้อแจ๊คเก็ตขนสัตว์สีน้ำตาล
อ่อนออกมาจากราวในตู้เสื้อผ้า
“ก็ต้องคิดบ้างสิ” เคอรี่พูดปนหัวเราะ “ที่เขากำหนดการส่งกระดาษสอบมันก็หมายความว่าฤดูปิดภาคเรียนน่ะมาถึงแล้ว เราจะได้หยุดเทอมฤดูร้อนกันเสียทีไงล่ะ”
จิลล์คว้าสมุดบันทึกกับกระเป๋าถือขึ้นไว้ เดินตรงไปยังประตูที่เพื่อนสาวเปิดรออยู่
“คิดอย่างนี้ได้มันค่อยน่าสนุกหน่อย” เธอคล้อยตามพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“เธอจะใช้พิมพ์ดีดนานไหมนี่?”
คำถามของเคอรี่คล้ายจะเป็นการเปรียบเทียบในความจำเป็นระหว่างเธอทั้งสอง ขณะที่เดินลงบันไดมาด้วยกัน พิมพ์ดีดแบบกระเป๋าหิ้วที่เข้าหุ้นกันซื้อไว้ใช้นั้น เพื่อจะได้พิมพ์งานในโอกาสต่าง ๆ แต่มันก็ให้บังเอิญเสียแทบทุกครั้งที่เกิดความต้องการจะใช้ขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
สาวน้อยคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงเชิงบันได ตั้งท่าจะก้าวขึ้นมา แต่แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นจิลล์กับเคอรี่กำลังเดินลงบันไดมา
“อ้อมาพอดีทีเดียว จิลล์ ฉันกำลังจะขึ้นไปเรียกเธอข้างบนอยู่พอดี มีโทรศัพท์แน่ะ เสียงเหมือนบ๊อบ
แจ๊คสัน”
สาวน้อยผู้นั้น บอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มก่อนที่จะก้าวกลับลงไป สีหน้าของจิลล์ขรึมขึ้นทันที บ๊อบ แจ็คสันคือคู่ควงซึ่งเพิ่งก้าวเข้ามาสด ๆ ร้อน ๆ และเป็นคนหนึ่งที่เธอกำลังคิดจะบินหนีอยู่
“ช่วยบอกเขาด้วยก็แล้วกันว่าฉันกำลังมาแล้ว” จิลล์ร้องบอกตามหลัง พร้อมกับเร่งฝีเท้าขึ้น
“ท่าทางเขาจะเอาจริงนะ” เคอรี่พูดเบาๆ
“ก็ยังไม่รู้หรอกน่า” จิลล์หันมาขมวดคิ้วใส่เพื่อน “รับรองว่ามันเป็นไปได้ไม่นานหรอก”
สาวน้อยที่เดินขึ้นมาตามหยุดอยู่ตรงหน้าตู้โทรศัพท์ พร้อมกับทำมือให้จิลล์เดินเข้าไปรับสาย เคอรี่จึงเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้นวมที่อยู่ไม่ไกลนัก เธอพอจะอ่านความคิดของจิลล์ออกเมื่อได้ยินน้ำเสียงกระชาก ๆ ของเพื่อน
“ไฮ...จิลล์กำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” เสียงบ๊อบ แจ๊คสันดังมาตามสายเมื่อจิลล์ทักทายออกไปด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
“บ๊อบ..คุณนั่นเอง ฉันกำลังจะออกไปห้องสมุดกับเคอรี่ จะต้องทำงานวิจัยส่งให้เสร็จ นี่เวลามันก็จวนเต็มทีแล้ว มันหมดกำหนดส่งวันจันทร์นี่แหละ เพราะฉะนั้นฉันก็เห็นจะต้องเร่งมือหน่อย”
“โอ...” เสียงจากปลายสายบอกความลังเลใจขึ้นมาซึ่งจิลล์ก็รู้อยู่ว่าเขาไม่พอใจกับคำพูดของเธอเท่าไรนัก เพราะไม่เข้ากับแผนการที่วางไว้สำหรับสุดสัปดาห์ที่จะมาถึง “ทำแต่งาน ไม่มีเรื่องสนุกเอาเสียเลยมันจะใช้ได้ที่ไหน” เขาพูดอย่างลองเชิง “ก็เรานัดกันไว้แล้วไงว่าจะไปเต้นรำวันเสาร์นี้ ลืมแล้วหรือไง?”
“แต่ถ้าจิลล์คนนี้ส่งงานไม่ทัน ก็มีหวังสอบตกได้เหมือนกันนะ” มันเป็นข้อแก้ตัวที่น่าปรบมือให้ เพราะจิลล์รู้ดีว่า เธอมิได้ใช้เวลาทั้งหมดตลอดวันสุดสัปดาห์เพื่อทำงานชิ้นนี้
การออกไปเที่ยวข้างนอกในตอนกลางคืนมันก็ไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแน่ เพียงแต่ว่าเธอไม่อยากจะออกไปกับบ๊อบเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นเคอรี่ได้บอกไว้ก่อนแล้วว่าทั้งสามคนคือ เคอรี่, ทอดด์ และจิลล์ จะออกไปรับประทานอาหารค่ำกันในวันสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งถือว่าเป็นการฉลองหมั้นแบบเงียบ ๆ ด้วย
เพื่อนสาวของเธอเป็นคนที่มีปมด้อยอยู่ เกี่ยวกับความเป็นจริงที่ว่า เธอไม่มีพ่อแม่นอกจากลุงกับป้าซึ่งอยู่ในบิลลิ่งส์และเลี้ยงดูเธอมาเมื่อพ่อแม่ตายลง เคอรี่มิได้นัดหมายอะไรลงไปอย่างแน่นอนก็จริง แต่จิลล์รู้ว่านี่เป็นโอกาสสำคัญที่จะฉลองความสุขของเพื่อน
“ทำไม แค่ออกไปคืนเดียวมันเสียหายนักหรือ?” บ๊อบถามเสียงแหลม “มาเถอะนะฮันนี่ เราจะได้สนุกกันไงเล่า”
ประตูด้านหน้าถูกกระแทกปิดลงจิลล์ตวัดสายตามองไปทางเสียงนั้นโดยอัตโนมัติขณะที่โต้ตอบคำพูดของบ๊อบอยู่ ตาก็มองไปยังคนแปลกหน้าที่เดินกระแทกเท้าเข้ามาในห้องโถงอย่างสงสัย
เธอกวาดสายตาไปทั่วร่างผู้ชายคนนั้น เขาอยู่ในเสื้อแจ๊คเก็ตหนังแกะที่มิได้กลัดกระดุมอกเสื้อไว้ ทั้งที่อากาศในตอนปลายฤดูใบไม้ผลิค่อนข้างจะเย็นอยู่ กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มแนบอยู่สะโพกและท่อนขา และไปหยุดอยู่ตรงรองเท้าบู๊ทแบบโคบาลที่ค่อนข้างเก่าและสกปรกด้วยถูกใช้งานมานาน แต่กระนั้นมันก็ยังมีอะไรบางอย่างในท่าทางของเขาที่บอกว่าเขาไม่ใช่โคบาลธรรมดาๆ
บ๊อบกำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่ และจิลล์ก็ละสายตาจากคนผู้นั้นหันมาสนใจอยู่กับเรื่องที่บ๊อบกำลังพูด แต่แล้วก็ได้ยินเสียงแปลกหูดังแว่วเข้ามาในตู้โทรศัพท์
“ผมทราบมาว่า จะมาพบคุณเคอรี่ อดัมส์ได้ที่นี่”
เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคอนนี่ ดิ๊คสัน สาวน้อยคนเดียวกันกับที่วิ่งขึ้นไปตามจิลล์ให้ลงมาพูดโทรศัพท์นั่นเอง จิลล์จึงตวัดสายตากลับไปมองเขาอีกครั้ง และเห็นคอนนี่ชี้ให้ทางเคอรี่ที่กำลังนั่งอยู่ตรงโซฟา จิลล์สาบานได้ว่าเธอรู้จักทุกคนที่แม้แต่จะเพียงคุ้นเคยกับเคอรี่เท่านั้นแต่ ผู้ชายแปลกหน้าที่มาถามหาเพื่อนรักของเธอคนนี้เป็นคนที่เธอไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลย
สีหน้ากร้าวกระด้างของเขาเย็นชาเหมือนไร้ความรู้สึกเมื่อเดินผ่านตู้โทรศัพท์ที่เธอกำลังยืนพูดอยู่ ท่าทางเดินที่ก้าวยาวๆๆ แต่มั่นคงของเขาเตือนใจให้นึกถึงท่าย่างสามขุมของเสือตัวโต ๆ ในป่าลึก มันแฝงไว้ทั้งความหงุดหงิดและไม่พอใจ ผู้ชายคนนี้มิได้เป็นคนสุขุมอย่างที่ท่าทีของเขาได้แสดงออก ริมฝีปากเครียดขรึม ท่าทางที่เขามองไปทางเพื่อนสาวซึ่งยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว ทำให้จิลล์บังเกิดความไม่สบายใจขึ้นมา มันมีลักษณะเหมือนเสือที่กำลังจ้องเหยื่อมากกว่า แต่เธอก็ไม่มีทางที่จะเตือนเคอรี่ให้รู้ตัวได้
จิลล์มิได้แสร้างทำเป็นสนใจกับเสียงของผู้ชายคนที่อยู่ปลายสายอีกต่อไป แต่กำลังเงี่ยหูฟังอยู่ว่าเขาจะพูดอะไรกับเคอรี่บ้าง
“คุณเคอรี่ อดัมส์ใช่ไหมครับ?” เขาเข้าไปยืนค้ำศีรษะเธออยู่ ถามด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ อย่างต้องการคำตอบที่แน่ชัด ท่าหยิ่ง ๆ สร้างความตึงเครียดให้เกิดขึ้นในบรรยากาศ แววในดวงตาของเคอรี่ที่เงยขึ้นมองหน้าเขานั้นมิได้บอกว่าจำได้เลยแม้แต่น้อย “ผมเป็นพี่ชายของทอดด์ไงล่ะ” เขาแนะนำตัวเอง
จิลล์เบิกตาโพลงด้วยความแปลกใจ เธอมองเห็นความละม้ายคล้ายคลึงระหว่างทอดด์กับพี่ชายของเขาทันที และเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าทอดด์มีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง เคอรี่เคยเอ่ยถึงบ้างบางครั้งหรืออาจจะเป็นทอดด์เองก็ได้ ที่บอกให้เธอรู้
“ค่ะค่ะสะ..สวัสดีค่ะ” เคอรี่ตอบอึก ๆ อัก ๆ อย่างไม่ใคร่แน่ใจ ก่อนที่ร่างระหงจะรีบลุกขึ้นยืนอยู่ตรงหน้าผู้ชายคนนั้น และดูเหมือนจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีสมุดบันทึกอยู่บนตัก จนเมื่อมันตกลงบนพื้น กระดาษกระจัดกระจายไปทั่ว