ตอนที่ 6 ความรักของแม่
วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย เมื่อสอบเสร็จเซร่าจึงเดินเล่นมากับเพื่อนอีก 5 คน ซึ่งเป็นผู้ชาย 3 คน และผู้หญิงอีก 2 คน
“เซร่านั้นน้องเธอใช่หรือเปล่า” เพื่อนสาวคนหนึ่งในกลุ่มชี้ไปทางร้านขายอาหารของชาวต่างชาติ เซร่ามองตามไปแล้วก็พบว่าใช่น้องสาวของเธอจริงๆ แล้วฟาติมามาทำอะไรที่นี่ คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนจะเดินตรงไปที่ร้านแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าไปดึงข้อมือของน้องสาวออกมาจากกลุ่มคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน
ฟาติมาหันมามองอย่างตกใจเมื่อเห็นพี่สาวต่างมาราดา แต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปรกติตามเดิมพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นอย่างยะโส
“เธอมาทำอะไรที่นี่ฟาติมา เลิกเรียนแล้วก็กลับบ้านซิ พ่อกับแม่รอเธออยู่นะ” เซร่านิ่วหน้าดุน้องสาวอย่างไม่พอใจ
“ฉันก็มาเที่ยวกับเพื่อนนะซิ สอบเสร็จแล้วฉันก็อยากฉลองกันบ้างจะเป็นอะไรไป” ฟาติมาสะบัดข้อมือออก แล้วลอยหน้าตอบพี่สาวอย่างไม่เกรงกลัว
เซร่าเม้มปากแน่นแล้วเบนสายมองไปยังกลุ่มคนที่น้องสาวอ้างว่าเป็นเพื่อน แต่เธอก็เห็นแต่พวกผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงสักคน
“แน่ใจนะว่าเป็นเพื่อนเธอ พี่ไม่ใช่เด็กนะที่เธอจะมาหลอกกัน ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงหูพ่อละก็ กลับบ้านเดี๋ยวนี้พี่จะไปส่งเอง” เซร่าพูดขู่พร้อมกับถลึงตาใส่อย่างจริงจัง เล่นเอาฟาติมาถึงกับหน้าซีด แต่เธอก็ยังฉลาดพอที่จะไม่ขัดขืนพี่สาวเพราะเธอรู้ดีว่าพี่สาวต่างมารดาพูดจริงและทำจริงเสมอ
“ฉันกลับก่อนนะแล้วเจอกันใหม่” ฟาติมาหันมาคลี่ยิ้มให้เพื่อนหนุ่มๆ ที่โต๊ะ
“แล้วเจอกันใหม่นะสาวน้อย” เจ้าหนุ่มที่นั่งข้างๆ กับฟาติมายักคิ้วให้พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้างอย่างกรุ้มกริ่ม
“ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็อย่ามายุ่งกับน้องสาวฉันอีก” เซร่าหันไปส่งสายตาดุใส่ชายหนุ่ม ก่อนจะหันหลังดึงมือน้องสาวให้เดินตามเธอออกไปจากร้านแห่งนั้น
เมื่อมาถึงบ้านฮาน่าก็ยืนอยู่ที่หน้าร้านพอดี เธอเห็นเซร่าฉุดกระชากากถูลูกสาวของตนเองมาก็ถึงกับชักสีหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมแกต้องมาฉุดกระชากลูกสาวของฉันแบบนี้ด้วย!” ฮาน่าดึงมือเซร่าออกจากแขนบุตรสาว
“น้าก็ถามลูกสาวน้าเอาเองแล้วกันว่าไปทำอะไรมา” เซร่าบอกเสียงเรียบ ฮาน่าจึงหันมาขมวดคิ้วมองหน้าลูกสาว แต่ฟาติมาก็ไม่กล้าที่จะพูดความจริงเพราะกลัวความผิด
“ไม่พูดพี่พูดเอง ฟาติมาไปนั่งที่ร้านอาหารกับคนแปลกหน้าแถมยังเป็นผู้ชายอีกด้วย” เซร่าบอกเสียงเข้มแล้วมองหน้ามารดาเลี้ยงนิ่ง ฮาน่าถึงกับอ้าปากค้างแล้วตีหน้ายักใส่ฟาติมาทันที
“แต่เขารวยมากเลยนะแม่ เขาบอกว่าชอบฉันและจะมาขอฉันกับแม่ด้วยนะ” ฟาติมารีบพูดแก้ตัวอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสีหน้าดุดันของผู้เป็นแม่ และพอฮาน่าได้ยินว่าเป็นคนรวยก็ถึงกับตื่นเต้นดีใจที่มีคนรวยมาชอบลูกสาวของตนเอง
“รู้จักกันนานแล้วหรือไงถึงได้จะมาขอกันนะ” เซร่าอดที่จะแย้งถามไม่ได้ ฟาติมาจึงมาถลึงตาใส่พร้อมกับยืนเท้าเอวมองหน้าพี่สาวต่างมารดาอย่างโมโห
“ทำไม...อิจฉาฉันหรือไงที่มีคนรวยๆ มาชอบ ตัวเองไม่มีใครสนใจนะซิถึงมาขัดขวางฉัน”
“ใช่ แกอิจฉาน้องที่จะได้ดีกว่า ผู้หญิงอย่างแกมันก็เหมือนกับแม่ของแกนั่นแหละ มักง่าย แพศยาที่สุด” ฮาน่าเหยียดมุมปากออกอย่างเย้ยๆ
“หยุดนะ! น้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาว่าแม่ของฉัน!” เซร่าตวาดใส่สองแม่ลูก มือบางกำเกร็งแน่นจนสั่นด้วยความโกรธ
“ทำไมฉันจะว่าไม่ได้ ขนาดแกมันยังทิ้งไปได้ ไม่มีแม่คนไหนที่จะทิ้งลูกที่รักได้ลงคอหรอกนังโง่!” ฮาน่าหัวเราะเยาะใส่หน้าของลูกเลี้ยง ก่อนจะพาฟาติมาเดินเข้าบ้านไป
เซร่ายืนนิ่งราวกับถูกตอกด้วยตะปู เธอรู้สึกว่าเหมือนมีใครมาตบหน้าเข้าอย่างจัง น้ำตาค่อยๆ หยดลงมาที่ละหยด เธอกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อกลั้นสะอื้นใช้มือปาดน้ำตาทิ้ง เธอจะต้องไม่อ่อนแอและจะต้องเข้มแข็ง สักวันเธอกับแม่จะต้องได้เจอกัน
หลังจากกลับมาจากมหาวิทยาลัยเซร่าก็เก็บตัวเงียบอยู่ในห้องจนกระทั่งมืดค่ำ ตอนนี้เธอต้องการที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่แล้วครู่ต่อมาเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ก๊อก! ก๊อก!
“เซร่า...ป้าจูดาให้มาตามเธอไปกินข้าว” เพื่อนนางกำนัลร้องเรียก แต่คนด้านในกลับเงียบไม่มีเสียงตอบกลับออกมา
“เซร่า เธออยู่หรือเปล่า” คนด้านนอกจึงร้องเรียกซ้ำอีกรอบและครั้งนี้ก็มีเสียงโต้ตอบกลับมา
“ไปบอกป้าฉันด้วยว่าฉันไม่หิว” เซร่าตะโกนตอบออกไป คนด้านนอกยืนรีรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องครัว
เมื่อเสียงร้องถามเงียบลงไปแล้วเซร่าก็พลิกตัวนอนตะแคงแล้วดึงหมอนใบใหญ่มากอดเอาไว้แนบอก
“แม่คะ แม่อยู่ที่ไหนมารับหนูไปอยู่ด้วยซิคะ หนูอยากเจอแม่ อยากกอดแม่” หญิงสาวซุกใบหน้าที่เปื้อนหยดน้ำตาลงกับหมอน เหมือนกับจะใช้มันต่างอกของมารดา ไหล่บางไหวเยือกด้วยแรงสะอื้น
แล้วครู่ต่อมาเสียงเคาะประตูห้องของเซร่าก็ดังขึ้นอีก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงของผู้เป็นป้าของเธอ
“เซร่า...เปิดประตูให้ป้าหน่อย เจ้าเป็นอะไรถึงไม่ไปกินข้าว” จูดารู้สึกแปลกใจเพราะเซร่าไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน จะว่าป่วยก็ไม่ใช่
“เซร่ามีอะไรบอกป้านะลูก เปิดประตูซิ” จูดาร้องเรียกอีกครั้ง เซร่าเงยหน้าขึ้นจากหมอนแล้วก้าวลงจากเตียงเพื่อเดินมาเปิดประตูให้กับญาติสูงวัย
ทันทีที่ประตูเปิดออกหญิงสาวก็โผเข้าซบอกผู้เป็นป้าแล้วร้องไห้ออกมาจนตัวโยน จูดาขมวดคิ้วมุ่นอย่างตกใจและแปลกใจ ก่อนจะดันตัวหลานสาวให้เข้าไปในห้องแล้วประคองร่างบางไปนั่งลงบนเตียง
“บอกป้ามาซิว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้ร้องไห้มากมายขนาดนี้” จูดาประคองใบหน้าหลานสาวให้เงยขึ้นมามองหน้ากัน ก่อนจะเอ่ยต่อ “ว่าไง? บอกป้าซิว่าใครรังแกเจ้า”
เซร่าส่ายหน้าพร้อมกับพยายามกลั้นสะอื้นเอาไว้ จูดาถอนใจออกมาเบาๆ แล้วยกมือขึ้นลูบหัวลูบหลังของอีกฝ่ายเพื่อปลอบโยน หญิงสาวจึงคลายสะอื้นลง
“ป้าขาบอกหนูหน่อยซิว่าทำไมแม่ถึงได้ทิ้งหนูไปนะ หนูขอร้อง” เซร่ายกมือขึ้นกราบบนตักของอีกฝ่าย จูดามองหน้าหลานสาวด้วยความสงสาร
“เจ้ากลับไปบ้านมาใช่ไหม? แล้วก็คงโดนฮาน่าต่อว่ามาอีกละซิ ป้าเดาถูกใช่ไหม?” จูดาดึงหลานสาวเข้ามากอดด้วยความรัก เธอรักเซร่าเหมือนกับลูกสาวของตัวเอง
“น้าเขาว่าหนูเป็นลูกที่แม่ไม่ต้องการ” เซร่าสะอื้นอยู่กับอก
“ไม่จริงนะลูก แม่เขารักหนูมากถึงไม่เอาหนูไปด้วย ฟังป้านะเซร่า” จูดาจับหลานสาวให้หันหน้ามาทางตัวเอง เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้กับหลานสาวฟัง
“หลังจากที่สินีนาถแม่ของหนูเดินทางมาถ่ายทำหนังที่นี่ก็ชอบพอกับพ่อของหนูจนได้แต่งงานกัน ทั้งคู่รักกันมากจนมีหนู แม่ของหนูต้องการทำงานช่วยครอบครัวและเพื่อความมั่นคงของครอบครัว เพื่อหนู แต่ธรรมเนียมของเราผู้หญิงจะต้องอยู่กับบ้าน ดูแลบ้านและลูก แม่ของหนูไม่ยอมจึงมีปากเสียงกับพ่อ พ่อหนูโมโหมากตบหน้าแม่ของหนู แม่หนูโกรธมากจึงขอแยกทางกับพ่อโดยที่ได้ฝากหนูไว้กับป้า” ผู้เป็นป้าหยุดนิดหนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อ
“เธอบอกว่าถ้าพาหนูไปด้วย หนูจะต้องลำบาก ถ้าอยู่ที่นี่หนูจะมีบ้านมีข้าวกินมีคนดูแล แต่ถ้าไปกับเธอ เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน จะมีข้าวกินหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แม่หนูยังบอกอีกด้วยว่าหนูเป็นดวงใจและชีวิตของเธอ ถ้าหัวใจยังเต้นอยู่ สักวันเธอก็จะกลับมาที่นี่เพื่อมาหาหนู”
“แม่พูดแบบนั้นจริงๆ หรือคะ” หญิงสาวรีบเงยหน้าขึ้นมองหญิงสูงวัยอย่างตื่นเต้น
“จริงซิ หนูต้องรอและรออย่างมีหวัง อย่าไปสนใจคำพูดของคนอื่นจำไว้นะ” จูดายกมือขึ้นลูบแก้มนวลของหลานสาวพร้อมกับคลี่ยิ้ม เซร่ายิ้มทั้งน้ำตาแล้วโผเข้าซุกอกของผู้เป็นป้าอีกครั้ง นอกจากพ่อกับแม่แล้วก็มีป้าจูดาอีกคนที่เธอรักมากที่สุด
“หนูรักป้าค่ะ”
“ป้าก็รักหนูจ้ะ เฮ้อ...ป้ารู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ มันเหมือนยกของหนักออกจากอกเลย” จูดายิ้มอย่างสบายใจเมื่อได้ระบายความลับที่เก็บงำมานาน
“ป้าขาวันนี้หนูขอนอนด้วยคนนะคะ” หญิงสาวอ้อนตาแป๋วพร้อมกับเช็ดคราบน้ำตาออก
“นึกอะไรขึ้นมาอีกล่ะ” จูดาแกล้งบีบจมูกโด่งของหลานสาวอย่างหยอกล้อ
“ก็อยากนอนกอดป้านะซิคะ นะคะป้าจูดาคนสวย” เซร่าป้อนลูกยอให้ป้าของเธอ
“ก็ได้” จูดาพยักหน้า เซร่ายิ้มอย่างดีใจในที่สุดเธอก็ได้รู้ว่าแม่ของเธอเป็นใครและรักเธอหรือเปล่าต่อไปใครจะพูดว่าเธอยังไงเธอก็จะไม่โกรธ ไม่เกลียดเขาอีกแล้ว เพราะเธอได้รู้แล้วว่าแม่ของเธอรักเธอมากแค่ไหน
เจ้าชายจอร์แดนเสด็จลงมาเดินเล่นในสวนดอกไม้แต่เช้า พระองค์มองไปรอบๆ แปลงสวนกุหลาบเหมือนกับมองหาอะไรซักอย่าง
“ฝ่าบาทมองหาอะไรหรือพะย่ะค่ะ” อาเหม็ดเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย
“เปล่านี่ ข้าก็มองดูดอกไม้พวกนี้ไง ดูซิสวยไหม” ราชนิกุลหนุ่มส่ายพระพักตร์อย่างไม่รู้ไม่ชี้แล้วเอื้อมพระหัตถ์ไปจับดอกกุหลาบโน้มมาดม
“แน่ใจนะพะย่ะค่ะว่าไม่ได้มองหาใคร” อาเหม็ดถามยิ้มๆ
เอมิเร่เดินถือตะกร้าหวายพร้อมกับกรรไกรเดินเข้ามาที่สวนดอกกุหลาบ แล้วหญิงสาวก็หันไปเห็นเจ้าชายจอร์แดนกำลังเดินชมดอกไม้อยู่ จึงรีบเดินเข้าไปหาอย่างใส่จริต
“ฝ่าบาทเสด็จลงมาแต่เช้าเลยหรือเพคะ ต้องการดอกอะไรไหมเพคะหม่อมฉันจะนำไปถวาย” เอมิเร่ทูลถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ไม่ดีกว่า ปล่อยให้มันอยู่กับต้นของมันดีกว่า สวยกว่าที่จะตัดมันออกมา” ทรงรับสั่งพลางแย้มพระโอษฐ์
“ฝ่าบาทช่างอ่อนโยนหรือเกินเพคะ” เอมิเร่ส่งยิ้มหวาน
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่เหรอเอมิเร่” อาเหม็ดถามเสียงแข็ง เขาไม่ชอบสายตาที่นางส่งมาให้กับเจ้าชายหนุ่มเอาเสียเลย
“ข้าก็มาเก็บดอกไม้นะซิท่านราชองครักษ์ ความจริงมันก็ไม่ใช่หน้าที่ของข้าหรอก แต่เซร่านะซิไม่รู้ไปไหนข้าเลยต้องมาทำแทนนาง” เอมิเร่อธิบายให้เหมือนกับว่าเป็นความผิดของเซร่า