บท
ตั้งค่า

บทที่ 4

ภายในห้องโถงกว้างของบ้านเรา ซึ่งขณะนี้คุณป้าเฟลิซิตี้กับคนติดตามของท่านกำลังเดินตามพ่อเข้าไปนั้น ฉันสังเกตเห็นป้ากวาดสายตาไปรอบๆ และจากสายตาของคุณป้านั่นเอง ที่ทำให้ฉันได้มองเห็นสภาพของบ้านตัวเองขึ้นมา บ้านที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของฉัน บัดนี้สีที่ฉาบทาไว้ตามผนังห้องนั้นตกจนซีดจาง รอยกระเทาะบนฝาผนังก็ยังไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างจริงจัง นับแต่วันที่แม่ตายลง แม้แต่แจกันที่เราใช้ปักดอกโฮยาซินท์ เพื่อให้ห้องดูสดสวยขึ้นก็เก่าบุโรทั่ง ครู่หนึ่งฉันก็เห็นคุณป้าส่ายจมูกไปมา

“นี่...คุณช่วยเอาดอกไม้พวกนี้ออกไปจากห้องเสียทีเถอะ” คุณป้าหันมาสั่งพ่อ “กลิ่นมันเหม็นเขียวจนฉันอยากจะเป็นลมตายอยู่แล้ว”

เพียงคำพูดไม่กี่คำของท่าน ก็ทำให้ฉันรู้แล้วว่า ตลอดเวลาที่ท่านจะมาพักอยู่กับเรานั้น สภาพเราจะต้องเป็นอย่างไร...และกับหน้าต่างฝรั่งเศสที่เราเคยเปิดออกให้กว้าง เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์และแสงแดดสาดส่องเข้ามาได้ทั่วห้องนั้น คุณป้าเฟลิซิคี้ กลับสั่งให้ปิดล๊อคหมดทุกบาน ปลดผ้าม่านลงให้หมด ไม่ต้องรับอากาศบริสุทธิ์หรือแสงแดดนั้นกันอีกต่อไปแล้ว...บ้านที่เคยสว่างไสว กลับกลายเป็นดูทึบทึมชอบกล จนเรารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

และครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก นับแต่ฉันจำความได้ว่าน๊อบไม่ได้ขึ้นมาร่วมรับประทานอาหารค่ำกับเรา ที่จริงในคืนแรกหลังเวลาอาหารค่ำนั้นเขาก็เข้ามาคุยกับเราตามปกติ แต่อาจจะเป็นเพราะสายตาคมปลาบของคุณป้า กับแววดูหมิ่นที่ฉายประกายอย่างเห็นได้ชัดในดวงตา ที่ทำให้น๊อบจำเป็นต้องถอยออกไป และตลอดทั้งอาทิตย์ ที่เขาร่วมรับประทานอาหารกับพวกคนใช้ และเด็กเลี้ยงม้า

ฉันเองก็พยายามอย่างที่สุดเหมือนกัน ที่จะเอาใจคุณป้าเฟลิซิตี้ มาร์สตัน แต่ไม่ว่าอะไรที่ฉันทำรู้สึกว่ามันช่างไม่ถูกใจป้าไปเสียทุกอย่าง ในตอนค่ำ ฉันจะต้องนั่งลงอ่านหนังสือให้ท่านฟังใกล้ๆ แต่รู้สึกว่าท่านจะเบื่อหน่ายกับหนังสือต่างๆเหล่านั้น โดยเฉพาะที่ฉันได้ถอดข้อความมาจากภาษาละตินด้วยแล้ว ท่านแทบจะไม่สนใจเลย ภาษาฝรั่งเศสก็ไม่ได้เรื่อง ภาษาอังกฤษก็ไม่น่าสนใจ...ดนตรีก็เช่นกัน ไม่ว่าเราจะตั้งอกตั้งใจเล่นให้ดีซักแค่ไหน แต่ท่านก็ไม่ชอบอยู่นั่นเอง จนในที่สุด เราก็เล่นเพลงตามที่ท่านเลือกให้ แต่เพลงเหล่านั้น ทำให้บรรยากาศของฮอร์-ทอร์น ฮิลล์ คล้ายกับกำลังมีงานศพ ดูเศร้าและวังเวงอย่างน่าใจหาย...

เวลานี้ทั้งพ่อและฉัน พยายามที่จะสอนและเรียนหนังสือกันให้นานที่สุด เราขยายเวลาเรียนจากหนึ่งชั่วโมง แต่ถึงกระนั้นเวลามันก็ต้องมาถึงอยู่ดี เพราะหลังจากที่เสร็จจากชั่วโมงดนตรีแล้ว ฉันก็ต้องไปลองเสื้อ ซึ่งช่างของป้าเป็นผู้ตัดเย็บให้ ฉันรู้สึกเบื่อหน่ายเสื้อผ้าพวกนี้จนบอกไม่ถูก แม้ว่าผ้าที่ใช้ตัดนั้นจะมีราคาแพง และตัดเย็บด้วยฝีมือประณีตก็ตาม

และขณะที่มิสพิบบ์ กำลังตัดผ้าอย่างระมัดระวัง กลัดเข็มหมุดไปตามรูปแบบ วัดอย่างละเอียดถี่ถ้วนนั้น คุณป้าจะเข้ามานั่งอยู่ตรงมุมห้อง มีเสื้อไหมพรมที่กำลังถักกองอยู่บนตัก ในดวงตาคู่นั้นมีแต่แววชาเย็นแข็งกระด้าง และมักจะจับจ้องอยู่แต่ที่ใบหน้าของฉันบ่อยๆ จนฉันรู้สึกค่อยยังชั่วขึ้นทุกครั้งที่หนีจากการร่วมโต๊ะอาหารเสียได้

ในที่สุด วันเวลาก็ค่อยๆผ่านไป ฉันแทบจะนับนาทีคอยจนกระทั่งถึงเวลาที่คุณป้าและคณะของท่านจะเดินทางกลับ และฮอร์ทอร์น ฮิลล์ของเราก็จะได้กลับเข้าสู่สภาพเดิมด้วยความยินดี ตลอดเวลาที่เฝ้ารอคอยนั้น ฉันก็อดคิดสงสัยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่าง พ่อ แม่ กับคุณป้าไม่ได้ว่า การแตกร้าวจนถึงกับตัดการติดต่อกันนั้น มันหนักหนาสักเพียงไหน ฉันมักจะสงสัย ในสายตาที่คุณป้าคอยลอบมองดูฉันเสมอ และสังเกตเห็นว่า เมื่อท่านหันไปมองพ่อนั้น แววตาของท่านก็อ่อนโยนลงอย่างประหลาด

อาจจะเป็นเพราะว่า ฉันยังไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักความริษยาอาฆาต และไม่ฉลาดเฉลียวพอจึงไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ว่า อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลทั้งสามนั้น พ่อแทบจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลยในความรู้สึกของคุณป้า และอะไรก็ตามที่พ่อปฏิบัติต่อคุณป้านั้น ก็เป็นไปตามรูปแบบที่ควรจะเป็นเท่านั้น มิได้มีความหมายหรือความผูกพันแต่อย่างใด ทั้งๆที่ธรรมชาติของพ่อเป็นคนที่นุ่มนวล สุขุมนัก แต่ครั้งนี้ฉันมองเห็นความลำบากใจในกิริยาท่านอยู่มาก โดยเฉพาะในคืนวันสุดท้ายที่คุณป้าจะพักอยู่กับเรา

เวลานี้เสื้อผ้าของฉันได้รับการตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว และคุณป้าก็อนุญาตให้ฉันลงไปเดินเล่นในสวนได้ ในตอนบ่ายวันหนึ่ง แทนที่จะต้องขลุกอยู่แต่ในห้องลองเสื้อกับมิสพิบบ์อย่างทุกวัน

การที่ได้ลงมาเดินเล่นเสียบ้าง ทำให้ความรู้สึกของฉันค่อยดีขึ้น ฉันเดินวนเวียนอยู่แต่ในสวนที่แม่ได้จัดตบแต่งไว้ตั้งแต่ก่อนฉันเกิด และต้องพุ่มพวงดอกกุหลาบ คุกเข่าลงมองแดฟโฟดิลที่เพิ่งแทงหน่อใหม่ๆขึ้นมาบนพื้นดินชุ่มชื้น เงี่ยหูฟังเสียงที่ดังมาจากคอกม้า ได้ยินเสียงน๊อบเรียกสุนัขตัวโปรดของเขาเดินมาไกลๆ ฉันชะเง้อชะแง้ อยากจะวิ่งไปหาเขา แต่แล้วก็ได้ยินเสียงมิสซิสแพลททิเรียกให้ไปร่วมรับประทานอาหาร

ฉันนั่งอยู่ระหว่างพ่อกับคุณป้า พ่อพยายามสรรหาเรื่องมาคุย แต่รู้สึกว่าคุณป้าไม่ได้สนใจเท่าใดนัก ในที่สุดพ่อก็ต้องละความพยายาม และหันมาคุยกับฉันแทน เราคุยกันถึงเรื่องไร่และความหวังในผลผลิตของปีนี้จากไร่ของเรา

หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จสรรพแล้ว เราก็เข้าไปนั่งรวมกันอยู่ในห้องหนังสือของพ่อขณะนี้ คุณป้ากับพ่อกำลังนั่งเผชิญหน้ากันและไม่พูดไม่จา ส่วนฉันนั่งมองเข็มนาฬิกาที่ค่อยๆเคลื่อนไปช้าอยู่ในมุมมืดของห้อง อยากจะให้มันเดินเร็วกว่านี้และเมื่อชำเลืองไปทางพ่อ ก็เห็นท่านนั่งมองเปลวไฟในเตาผิงอยู่อย่างนั้น

และในที่สุด ก็ดูเหมือนคุณป้าจะเป็นฝ่ายตัดสินใจ เพราะท่านพูดขึ้นก่อนว่า

“คุณโจนาธาน พี่คิดว่าถึงเวลาแล้วนะที่เราควรจะพูดกันถึงปัญหาที่มันรบกวนใจพี่อยู่ในขณะนี้ แล้วก็คิดว่าเราไม่ควรที่จะพูดเรื่องนี้กันต่อหน้าแม่รี่ด้วย”

พ่อเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง

“แมรี่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผม เราไม่เคยมีความลับต่อกันเลยครับพี่”

“แต่ที่พี่จะพูดนี่ มันเกี่ยวข้องกับแกโดยตรงนะ”

“ถ้าอย่างนั้น ยิ่งจำเป็นจะต้องให้แกได้รับรู้ด้วยครับ” พ่อตอบเรียบๆ

“ก็ตามใจ...แต่ก่อนที่จะพูด พี่ขอออกตัวก่อนนะว่า พี่ไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับชีวิตของใคร พี่จะพูดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และพูดตรงๆ เพราะพี่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้อยู่มาก คุณพอจะรับฟังได้ไหมล่ะ?”

พ่อพยักหน้ารับ และฉันเองก็พลอยพยักหน้าตามไปด้วย ท่าทางของคุณป้าชาเย็นหนักยิ่งขึ้น และดูจะไม่ยอมอ่อนข้อง่ายๆ เพียงแต่รักษาระดับเสียงให้คงที่ไว้เท่านั้น

“ตั้งแต่วันที่พี่มาถึง” คุณป้าเฟลิซิตี้เริ่มพูด “บอกตรงๆว่าพี่รำคาญใจกับกิริยามารยาทของหลานแมรี่อย่างเหลือเกิน พี่ไม่เข้าใจว่า คุณไปจำกัดสมองเด็กไว้ทำไม คุณโจนาธาน ความรู้ด้านภาษากรีก ฝรั่งเศส ละติน อะไรนั่น ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับความเป็นอยู่ในวันข้างหน้าของแกเลย พี่รู้สึกว่าคุณเลี้ยงลูกอย่างไม่ถูกต้องมาตลอดนะ”

“ผมพยายามอย่างดีแล้วครับ” พ่อตอบอย่างเคร่งขรึม “ผมรู้สึกว่าผู้หญิงควรจะได้มีความรู้อย่างผู้ชายไว้บ้าง มันเป็นกำไรชีวิต ผมอยากจะให้พี่หรือใครๆคิดอย่างนี้กันเสียบ้าง ไม่ใช่ได้แต่แต่งตัวสวยๆอย่างเดียว”

“ที่คุณพูดมาก็ถูก” คุณป้ายอมรับ “ทั้งภรรยาของเธอและตัวพี่เองก็ทำงานบางอย่างที่พวกผู้ชายเขาทำกันเหมือนกัน แต่นั่นมันเป็นเรื่องที่ความจำเป็นบังคับ อย่างภรรยาของเธอ...” ท่านอึ้งไปนิดหนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อว่า “เขาก็มีการตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งนั้น...ซึ่งคุณเองก็รู้อยู่แก่ใจ”

ฉันรู้สึกว่ามีความหมายลึกซึ้งแฝงเร้นอยู่ในคำพูดนั้น

“ใช่ครับ พี่พูดถูก โดยเฉพาะในเรื่องการตัดสินใจของแมรี่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวผม”

“นี่...พี่ไม่ได้ดูถูกคุณนะ ไม่มีใครดอกที่คิดว่าจะเอาประกาศนียบัตรทางด้านดนตรีมาทำไร่ทำนาอยู่อย่างนี้ แมรี่เขายินดีที่จะช่วยคุณดูแลทรัพย์สินในฐานะภรรยา เหมือนที่พี่จะต้องดูแลสมบัติพัสถานของสามี แต่ที่เรากำลัง

จะพูดถึงกันนี้ ไม่ใช่เรื่องภรรยาของคุณ หรือตัวพี่ เรากำลังพูดถึงเด็กสาวๆคนหนึ่ง ซึ่งอายุอานามใกล้จะแต่งงานได้แล้ว”

“เอ้า...ถ้าอย่างนั้นเราก็พูดกันเสียเลยสิครับ แต่ถ้าผมจะเล่าให้พี่ฟัง พี่อาจจะไม่เชื่อก็ได้ว่า สถานที่นี้ ผืนดินกว้างใหญ่ที่ผมครอบครองอยู่นี้ เป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาหาความรู้ของลูกสาวผม ไม่ต้องห่วงดอกครับ เรารู้จักโลกภายนอกนั้นอย่างดี เรารู้เรื่องการปฏิวัติฝรั่งเศส รู้จักวันที่คุกบาสตีลแตก รู้ซึ้งถึงชีวิตเศร้าของพวกราชวงศ์ฝรั่งเศสด้วย...”

“คุณกำลังจะไปไกลใหญ่แล้วละ คุณโจนาธาน ปัญหาที่เรากำลังจะพูดถึงกันนั้นมันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ฝรั่งเศสโน่น...”

“ครับ ผมเข้าใจว่า พี่จะพูดถึงเรื่องการแต่งงานของลูกสาวผม และผมก็อยากจะพูดว่า ใครก็ตามที่ได้ลูกสาวผมไปเป็นภรรยา จะต้องภาคภูมิใจมาก”

“นั่นสิ แล้วใครล่ะที่จะเป็นผู้สั่งสอนให้แกรู้จักหน้าที่ของภรรยาที่ว่านั่นน่ะ?”

คุณป้าเฟลิซิตี้ คอยคำตอบของพ่อเงียบๆ ขณะที่พ่อนิ่งอึ้งไป

“แมรี่ ก็คงจะสามารถช่วยงานการของสามีแกเหมือนอย่างพี่นั่นแหละครับ เพราะแกก็ได้เรียนแบบอย่างจากแม่อยู่แล้ว”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel