บทที่ 3
พ่อเป็นคนบอกข่าวนี้แก่ฉันในตอนค่ำวันหนึ่ง หลังจากที่เราเสร็จจากการรับประทานอาหารค่ำแล้ว ที่จริงฉันน่าจะสังหรณ์ใจบ้างว่า ท่านน่าจะต้องมีอะไรรบกวนอยู่ในใจ เพราะค่ำวันนั้นพ่อมีอาการเงียบขรึมผิดปกติ ฉันสังเกตเห็นว่าท่านลอบสบตากับน๊อบบ่อยๆ และมักจะชำเลืองมองดูฉันอย่างไม่สบายใจนัก
พ่อเดินนำฉันเข้าไปในห้อง ฉันออกจะประหลาดใจอยู่บ้างเหมือนกันว่า ทำไมวันนี้น๊อบจึงไม่มาร่วมวงสนทนากับเราอย่างเคย ปกติแล้ว ในยามค่ำเช่นนี้ พ่อกับฉันจะนั่งลงเล่นดนตรีด้วยกัน พ่อเล่นเปียโน ส่วนฉันเล่นพิณ น๊อบนั้นจะเอนอิงสบายๆ ฟังเพลงของเราอยู่ในโซฟา พ่นควันจากไปป์เป็นสายยาว เรามักจะร่วมกันร้องเพลงเก่าๆ โดยมีพวกคนรับใช้เข้ามาร่วมฟังอยู่ด้วย
แต่ทว่าในตอนค่ำวันนั้น เมื่อเราสองพ่อลูกเข้าไปในห้องแล้ว พ่อก็หันกลับมาปิดประตูทันที และแทนที่จะเดินไปนั่งที่เปียโนอย่างเคย ท่านกลับนั่งลงที่โต๊ะทำงาน และชี้ให้ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม ดวงตาของพ่อเคร่งขรึม เมื่อเอ่ยขึ้นว่า
“พ่อเพิ่งได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง มาจากคุณป้าของลูก ซึ่งเป็นพี่สาวคนเดียวของแม่ คุณป้าบอกมาว่าจะมาเยี่ยมและพักอยู่กับเราในตอนเทศกาลอีสเตอร์นี่ ก็คงจะมาอยู่กับประมาณสักหนึ่งอาทิตย์กระมัง”
“อย่างนั้นหรือคะ...หนูไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองมีป้า” ฉันตอบหัวเราะๆ
“ใช่...พ่อก็รู้” ท่านถอนหายใจเบาๆ เมื่อพูดต่อว่า “ที่จริง มันเคยมีปัญหาเกิดขึ้นนิดหน่อย ระหว่างคุณป้า แม่ของลูกแล้วก็พ่อ แต่เรื่องมันก็นานมาแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรนักและพ่อก็ไม่เห็นว่าจำเป็นที่จะต้องบอกให้ลูกรู้ แต่มาถึงตอนนี้ เขาบอกมาในจดหมายด้วยว่าเขาจำเป็นจะต้องมาทำหน้าที่ของป้ากับหลานเสียที เขาก็เลยจะมาพักอยู่กับเราชั่วคราวด้วย ก็คงจะออกจากลอนดอนมาถึงที่นี่พรุ่งนี้ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเตรียมตัวต้อนรับเขา...”
“ดีสิคะ พ่อ” ฉันตอบท่านอย่างจริงใจ “ว่าแต่ว่า คุณป้านี่เหมือนแม่ไหมคะ?”
ดวงตาของพ่อ เหม่อมองเปลวไฟในเตาผิง ดูราวกับท่านจะขอคำตอบจากเปลวไฟนั้น
“ไม่ดอกลูก แมรี่ คุณป้าไม่มีส่วนเหมือนแม่เลยสักอย่างเดียว แต่เขาก็เป็นสุภาพสตรีคนหนึ่งนะ เป็นคนไม่เลวนักดอก ฐานะดีมาก เพราะฉะนั้นเราก็ต้องต้องรับเขาให้สมเกียรติหน่อย”
ฉันมองเห็นความรู้สึกอัดอั้นที่ปรากฏอยู่ในกิริยาท่าทางของพ่อ ดูท่านออกจะกังวลอยู่มาก
“คุณป้ามีลูกไหมคะ?”
“ไม่มีดอก มีแต่บ้านอยู่ในลอนดอน เขาเป็นคนเก่ง มีหัวทางด้านธุรกิจการค้า เหมือนผู้ชายคนหนึ่งทีเดียว”
“แล้วท่านชื่ออะไรล่ะคะ?”
“เฟลิซิตี้” พ่อตอบเสียงเบา
“เฟลิซิตี้...” ฉันทวนคำ ช่างเป็นชื่อที่น่ารักอะไรเช่นนั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งความสดชื่นรื่นเริงโดยแท้
“เอาละ ตลอดเวลาที่ท่านมาพักอยู่กับเรา เราก็คงจะต้องประพฤติตัวกันเสียใหม่ ลูกคงไม่อยากให้ใครมาตำหนิว่า พ่อเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้ ไม่อบรมดูแลลูกให้เป็นเด็กดี จริงไหม...เอาละ...ก่อนอื่น พ่อก็คงต้องขอร้องให้ลูกยุติการไปที่คอกม้าเสียชั่วคราว”
“อะไรนะคะ พ่อ” ฉันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที “พ่อหมายความว่าจะไม่ให้หนูขี่เจสันเลยน่ะหรือคะ...ออกไปหาน๊อบก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือคะ?”
“ก็แค่...2-3 วันเท่านั้นนี่ลูก...ต่อไป เมื่อเขากลับไปแล้ว ลูกก็ทำอะไรๆตามปกติได้”
“ถ้าไม่ให้หนูออกไปที่คอกม้า... แล้วพ่อจะให้หนูทำอะไรล่ะคะ...นี่หนูจะต้องทำอะไรบ้างคะ ถึงจะเป็นที่ถูกใจของคุณป้า”
“ลูกก็ต้องแต่งตัวเสียใหม่” พ่อตอบช้าๆ สีหน้ามีแวววิตกอย่างเห็นได้ชัด “ต้องนุ่งกระโปรง จะได้เป็นสุภาพสตรีน้อยๆไงล่ะ”
“แต่...พ่อคะ แต่หนูไม่รู้เลยนี่คะว่า การเป็นสุภาพสตรีอะไรนั่น เขาเป็นกันอย่างไร แล้วจะต้องทำอะไรบ้าง”
“ลูกก็คงจะต้องพยายามสักหน่อย ไม่ยากดอก...ฟังพ่อนะแมรี่ ฟังแล้วก็ทำตามที่พ่อพูดด้วย ลูกจะต้องแต่งตัวสวยๆคอยต้อนรับคุณป้า... ตลอดเวลาที่ท่านอยู่กับเรา เราก็จะเรียนหนังสือกันตามปกติ พอหมดชั่วโมงแล้ว ลูกก็อาจจะ...” สีหน้าของท่านเปลี่ยนไป ดูราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ หนูอาจจะอ่านหนังสือ หรือเล่นดนตรีให้คุณป้าฟังก็ได้นี่คะ”
“ใช่...ใช่...ลูกความคิดนี้ดีมากทีเดียว แต่ว่า...คืนนี้เราอย่าเล่นดนตรีกันเลยนะ แต่ถ้าลูกอยากจะเล่น พ่อจะเรียกน๊อบ...”
“อย่าเลยค่ะ พ่อ” ฉันลุกขึ้นยืน และเดินไปจูบท่าน “วันนี้หนูก็อยากจะนอนเร็วๆสักวันเหมือนกัน พ่ออย่าห่วงเลยนะคะ หนูจะทำให้ดีที่สุด”
พ่อลุกขึ้นมากอดฉันไว้
“ลูกน่ารักเหลือเกิน” ท่านกระซิบอยู่เหนือศีรษะของฉัน “รู้ไหมว่าลูกน่ะ ยิ่งโตยิ่งเหมือนแม่”
ฉันปลีกตัวออกจากอ้อมแขนของท่านด้วยความรู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยก็ได้รับรู้ว่า คุณป้าจะมาอยู่เพียง 2-3วันเท่านั้น จากนั้นท่านก็จะกลับไป แล้วชีวิตของเราก็จะกลับเข้ารูปเดิมทุกอย่าง และด้วยความเชื่อนี่เอง ที่ทำให้ฉันรอการมาถึงของคุณป้าเฟลิซิตี้อย่างใจจดใจจ่อ
การมาถึงของคุณป้าเฟลิซิตี้ ทำให้เราต้องโกลาหลกันพอดู เพราะเราต้องจัดบ้านใหม่ ทำความสะอาดบ้านกันยกใหญ่ เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ก็แต่งตัวออกไปยืนคอยต้อนรับท่านอยู่ที่หน้าประตูบ้าน พ่อยืนอยู่ข้างๆฉันน๊อบแต่งตัวด้วยชุดสะอาดที่ดีที่สุดของเขา มิสซิสแพลททิยืนกุมมือเงียบๆอยู่หัวแถวของพวกคนรับใช้ ต่ำลงไปที่คอกม้า คนเลี้ยงม้า คนสวนกับลูกชายของเขาต่างก็ยืนระวังตัวอยู่เงียบๆ พวกเราทุกคนต่างตื่นเต้น กระวนกระวายที่จะได้เห็นคุณป้า กับคณะของท่านที่จะมาเป็นแขกของเรา ถ้าจะพูดกับตามจริงแล้ว เราก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า พวกผู้ดีในกรุงลอนดอนนั้น เขาแต่งตัวกันอย่างไร เหมือนพวกเราคนบ้านนอกหรือไม่...
และแล้ว เวลาที่รอคอยก็มาถึง รถม้าคันงามคันหนึ่งเทียมด้วยม้า 4 ตัว ก็วิ่งเข้ามาในอาณาเขตไร่ของเรา ฝุ่นลอยคลุ้งขึ้นไปในอากาศ จนเมื่อฝุ่นค่อยจางลง พ่อกับน๊อบจึงได้เดินไปที่รถเพื่อช่วยพยุงคุณป้าลงมาตามธรรมเนียม
มีผู้หญิงลงมาจากรถด้วยกัน 3 คน และฉันก็รู้ได้ทันทีว่าคนไหนคือคุณป้าเฟลิซิตี้ เพราะท่านก้าวลงมาเป็นคนแรก โดยมีมือสี่ข้าง คอยช่วยรวบชายกระโปรง เพื่อให้ท่านก้าวลงจากรถได้สะดวกขึ้น ส่วนผู้หญิงอีก 2 คนนั้น แต่งตัวเรียบๆธรรมดาแต่ก็ดูดีกว่าพวกเรามาก และฉันก็ไม่ได้สนใจผู้หญิงสองคนนี่เท่าไหร่นัก ฉันจ้องมองแต่สุภาพสตรีร่างท้วมขาว แต่งตัวหรูหราซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ประดับด้วยเครื่องเพชรมากมาย แต่ท่านก็สง่างามอยู่ไม่น้อย ท่านสวมหมวกปีกกว้าง คาดไว้ด้วยสายริบบิ้นประดับดอกไม้ โยงไปรัดไว้ใต้คาง จนเห็นใบหน้าเหลือเล็กนิดเดียว
พอเห็นท่านเข้า หัวใจของฉันก็ดิ่งวูบลง จากคำบอกเล่าของพ่อ ฉันประมาณเอาเองว่าคุณป้าน่าจะมีส่วนที่คล้ายคลึงกับแม่บ้าง แต่กลับมิได้เป็นเช่นนั้นเลย จนฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ท่านจะเป็นพี่น้องกันจริงๆหรือเปล่า...
การต้อนรับเป็นไปอย่างมีพิธีรีตองอย่างยิ่ง ฝ่ายชายโค้งกายลงต่ำ และฝ่ายหญิงก็ย่อกายถอนสายบัวคำนับอย่างงดงาม ฉันจ้องมองภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างตื่นใจ และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันถอนสายบัวโค้งคำนับคุณป้า แต่ท่าทางนั้นเหมือนกระแทกตัวลงมากกว่า คุณป้าจับตาอยู่ที่ฉันขณะที่พูดกับพ่อว่า
“คุณโจนาธาน” เสียงของท่านแผ่วเบาแต่ก็มีกังวานประหลาด “พี่รู้แล้วนะว่าคุณน่ะมีตัวแทนของน้องสาวพี่อยู่จริงๆ ดูสินี่ ลูกสาว...ช่างเหมือนแม่อะไรอย่างนั้น ตอนที่มีอายุเท่ากันนี้ แมรี่ก็หน้าตาอย่างนี้ล่ะ” แล้วท่านก็หันมาหาฉัน ถามตรงๆว่า
“นี่...เธอไม่รู้จักวิธีถอนสายบัวเลยหรือนี่?” แล้วท่านก็หันไปหาพ่อ
“ใครเป็นคนแต่งตัวให้ลูกสาวคุณ?” ท่านถามเสียงเยือกเย็น
ฉันรู้สึกออกจะผิดหวังอยู่ไม่น้อย เพราะชุดที่สวมอยู่นี้ฉันเชื่อว่าเป็นชุดที่ดีที่สุด ที่ฉันเลือกสวมเพื่อการต้อนรับคุณป้า จริงอยู่...มันออกจะสั้นไปสักหน่อย โดยเฉพาะเมื่อมันกำลังอยู่ในสายตาของคุณป้า ก็ดูมันกำลังจะสั้นขึ้นมาเรื่อยๆด้วยซ้ำ
“มิสซิสแพลททิครับ เธอจ้างช่างตัดเสื้อมาจาก คลันนี่ ไชม์ส”
“แล้วไอ้ คลันนี่ ไชม์ส มันอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”
“ท่านผ่านมาแล้วครับ คุณนายมาร์สตัน...อยู่บนเส้นทางที่ผ่านมานั่นแหละครับ” น๊อบช่วยตอบแทนให้
ดวงตาคู่เล็กๆนั้นวาวโรจน์ขึ้นทันที
“ขอบใจ พ่อหนุ่ม แต่ขณะนี้ฉันกำลังพูดอยู่กับนายของเธอ...อ้อ...คลันนี่ ไชม์ส ที่เป็นเมืองเล็กๆมีตลาดนั่นใช่ไหม...เอาละ เข้าใจแล้วว่า ทำไมเสื้อของหลานสาวฉัน มันถึงได้ออกมาเป็นอย่างนี้ โชคดีอยู่หน่อยนะ คุณโจ-นาธาน ที่พี่เอาช่างตัดเสื้อมาด้วย มิสพิบบ์นี่ไงล่ะ” มือที่สวมถุงมือสีดำ ชี้ไปทางสตรีร่างเล็กคนหนึ่ง ที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลังของท่าน
“ในหีบเสื้อผ้าของพี่ มีผ้าติดมาด้วยหลายชิ้น ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ พี่หวังว่าคุณคงจะอนุญาตให้มิสพิบบ์ ได้จัดการกับเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวของหลานสาวเสียใหม่นะ”
ฉันไม่ได้ยินว่า พ่อตอบว่ากระไร แต่กำลังมองดูใบหน้าที่แดงกล่ำด้วยความอับอายของน๊อบอย่างเห็นใจ ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันมา น๊อบไม่เคยต้องรู้สึกเลยสักครั้งว่า เขาเป็นผู้รับใช้ของเรา และไม่มีใครกล้าเรียกเขาว่า พ่อหนุ่ม ด้วยเสียงที่ชาเย็นอย่างนั้นด้วย
พ่อพยายามแก้ปัญหาในภาวะที่กำลังกระอักกระอ่วนอยู่นั้นด้วยการเดินนำทุกคนเข้าไปในบ้าน ส่วนน๊อบนั้น แยกตัวเดินไปหาคนรถ ช่วยพาเขาไปที่คอกม้า ปลดมันออกจากบังเหียน และจัดการให้มันได้พักผ่อน ฉันอยากจะตามไปปลอบเขาอย่างเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะต้องตามพ่อกับกลุ่มสุภาพสตรีเหล่านั้นเข้าไปข้างใน