บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

คาเรน เพื่อนสนิทคนเดียวที่เธอมี และทำงานร่วมกันอยู่ที่ร้านขายภาพ ได้พยายามรุกเร้าให้แบรนดี้ย้ายเข้ามาอยู่เสียในตัวเมืองทัดสัน โดยอยู่ร่วมในอพาร์ตเม้นท์เดียวกัน แต่นั่นหมายความว่า เธอจะต้องทิ้งเจ้าราชาด และสูญเสียโอกาสที่จะได้ขี่ม้าออกชมดวงอาทิตย์ในยามตะวันรอน ณ เหนือยอดเนินซึ่งห่างจากบ้านช่องของผู้คนนับเป็นไมล์ ไม่มีอาคารสถานที่อันจะมาเป็นอุปสรรคกีดกั้นท้องทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยผืนทราย ต้นเซจ และแผ่นฟ้าอันน่าเกรงขามนั้น

แต่ยังดวงอาทิตย์ยามตะวันรอนอีกเล่า เธอจะถวิลหาความงามยามอาทิตย์อัสดงนี้สักเพียงไร ถ้าจะเข้าไปอยู่ในตัวเมือง แบรนดี้อดที่จะทอดถอนใจเสียมิได้ บางครั้งเธอก็จะพอใจเพียงกับการยืนชมมัน จากใต้หลังคาระเบียงบ้านที่ปลูกสร้างขึ้นแบบบ้านไร่ แต่บางครั้ง เช่นยามนี้ ที่เธอพร้อมจะขี่ม้าออกมาในท้องทุ่งอันรกร้างห่างไกลจากผู้คน เพื่อที่จะได้ชมความงามอันเร้นลับของธรรมชาติเช่นนี้

แบรนดี้เดินทอดน่องช้า ๆ ไปยืนอยู่ริมขอบผาราวกับปรารถนาจะได้เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้เปลวสีแดงเพลิงที่ทาบอยู่กับแผ่นฟ้านั้นให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ เธอสูดลมหายใจแรงลึก บรรยากาศรอบตัวในยามนี้เต็มไปด้วยความเย็นชื่นและความสงัดเงียบ อีกไม่ช้าเธอก็จะต้องหยิบเสื้อแจ๊คเก้ตขนสัตว์ที่ผูกติดมากับถุงอานนั่นแล้วแต่ขณะนี้ความเย็นชื่นที่เริ่มโรยละอองกลับช่วยทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้น หลังจากที่ผ่านพบกับความอุ่นที่ค่อนข้างร้อนในยามบ่ายมาแล้ว

ทางเบื้องหลังเธอนั้นคือเสียงเกือกม้าที่กระแทกอยู่กับหน้าผาหิน แบรนดี้เอี้ยวตัวไปมองดวงตาคู่สีเขียวขาบบอกความไม่พอใจอยู่

“นี่....ถ้าพอมาด้วยละก็ พ่อจะต้องอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ให้เจ้าฟังทีเดียวนะ ว่าทำไมพระอาทิตย์ตอนใกล้จะตกดินน่ะถึงได้มีสีสันสวยงามขนาดนี้” เผยอยิ้มกว้าง “แกรู้หรือเปล่าล่ะ เจ้าราชาด ว่านี่น่ะมันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการที่บรรยากาศของพื้นผิวโลกกรองแสงมาจากดวงอาทิตย์ และเหตุผลที่ว่า ทำไมพระอาทิตย์ถึงได้กระจ่างแจ้งแรงร้อนตอนเที่ยงวัน ก็เพราะว่าแสงที่มันส่งลงมาน่ะ พบกับบรรยากาศที่เบาบางที่สุดเพราะมันอยู่เหนือหัวเราพอดี แล้วเจ้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นกับดวงอาทิตย์ตกนั่นน่ะ แสงอาทิตย์จะต้องเดินทางผ่านบรรยากาศที่แน่นทึบ แสงสีม่วง, สีเขียว สีฟ้าน่ะมันถูกกรองออกไปหมดแล้ว เหลือแต่แสงสีแดงกับสีเหลืองและสีสมที่ถูกปล่อยให้ผ่านออกมา” แบรนดี้บรรยายให้เจ้าม้าสีเทาฟังอย่างยืดยาว “การที่แสงอาทิตย์เวลาตะวันตกดินเป็นสิ่งที่สว่างสดใส ก็เนื่องมาจากจำนวนอนุภาคของฝุ่นละอองที่ลอยตัวอยู่ในบรรยากาศ ในชั่วโมงกลางวันยังไงล่ะ”

ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องทิศตะวันตกเริ่มเป็นสีแดงเข้มขึ้น แบรนดี้ใช้นิ้วหัวแม่มือเกี่ยวไว้กับห่วงกางเกงยีนส์ที่สวมใส่อยู่ เธอถอนใจออกมาเบา ๆ

“เห็นไหมล่ะ พอเราเริ่มพูดถึงความมหัศจรรย์ของแสงสียามพระอาทิตย์ตกดินกัน ทั้งเรื่องการกรองแสงเรื่องของบรรยากาศ ท้องฟ้าก็เก็บสีสวย ๆ นั่นไปหมดเลย” เธอเอียงคอมองอย่างไม่ใคร่พอใจนัก ปอยผมที่บางเบาราวขนนกล้อมกรอบใบหน้าไว้ “มันจะน่าชื่นชมกว่านี้มาก ถ้าเราจะเก็บความมหัศจรรย์ของท้องฟ้า และแสงสีนี้ไว้เป็นความลับ”

เสียงปืนกัมปนาทขึ้น ทันทีที่ความคิดทั้งหลายซึ่งเธอกล่าวออกมาดัง ๆ นั้นสะดุดหยุดลง ชาวไร่บางคนคงจะต้องออกมายิงหมาป่าแน่นอน แบรนดี้คิดจะบิดความสนใจให้พ้นไปเสีย เพราะรู้ดีว่า ในท้องถิ่นที่อ้างว้างห่างไกลจากสิ่งกีดกั้นเช่นนี้ เสียงย่อมเดินทางได้ไกลเพียงไรแต่ทว่าเจ้าม้าอาหรับตัวของเธอมิได้คิดเช่นนั้นด้วย

ทันทีที่เสียงปืนเงียบลง เสียงเกือกมากระทบแผ่นหินก็ดังขึ้นแทนที่ แบรนดี้เหลียวขวับไปทันที เพื่อจะคว้าสายบังเหียนไว้ แต่เจ้าราชาดกระโจนออกจากที่นั่น บ่ายหน้าไปตามทิศทางที่จะไปบ้านเสียแล้ว ปฏิกิริยาแรกของเธอนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยสัญชาตญาณ แบรนดี้ยกนิ้วสองนิ้วขึ้นใส่ปากและผิวเรียกมันออกไปทันที ถ้าเป็นเจ้าสตาร์มันจะสนองรับต่อการเรียกกลับนี้ในทันที แต่สำหรับเจ้ามาพันธุ์อาหรับตัวนี้ มิได้มีความหมายอะไรเลย

“ราชาด....” แบรนดี้เริ่มออกวิ่งตามมันไป แต่ทว่า เส้นทางที่เต็มไปด้วยกรวดทรายไม่อาจจะทำให้เธอวิ่งตามมันได้ทัน “ราชาด ... ราชาด .... กลับมาก่อน

แต่พอวิ่งไปได้หน่อยเดียว เธอก็รู้ว่าเธอหมดโอกาสที่จะวิ่งได้ทันฝีเท้าม้าตัวนั้นแล้ว แม้ว่าจะมองเห็นทั้งหัวและใบหูของมันที่พุ่งไปข้างหน้าได้ในระยะไกลก็ตาม ขณะนี้มันกำลังบ่ายหน้ามุ่งกลับไปยังคอก เพื่อที่จะได้กินข้าวโอ๊ตกับฟางให้เต็มอิ่มเสียที เธอสงสัยว่ามันจะเต็มใจลดฝีเท้าที่เร็วปานลมพัดลงบ้างหรือไม่

“เอาไว้ก่อนเถอะ” แบรนดี้คำรามอย่างเคียดขึ้งสบถสาบานอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้น “เจ้าน่ะมันไอ้ม้าโง่.... ไอ้หูหนวก....ตาบอด....”

แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไปตำหนิติเตียนมันอยู่ดี แบรนดี้ได้แต่ไล้มืออยู่กับปอยผม ความผิดนั้นอยู่ที่ตัวเธอเองที่มิได้เอาสายบังเหียนผูกไว้ให้มั่นเพราะฉะนั้นก็สมควรแล้วที่จะต้องเดินทางไกลกลับบ้านด้วยความประมาท และตอนนี้เองที่เธอได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วเจ้าราชาดนั้นจะเปรียบกับแม่สตาร์มิได้เลย

แต่อย่างน้อยก็ยังพออุ่นใจอยู่ที่ได้รู้ว่า ค่ำวันนี้พ่อกับแม่ออกไปงานเลี้ยงนอกบ้าน เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่ตกอกตกใจกันเท่าไรนัก เมื่อเห็นเจ้าราชาดกลับไปถึงบ้านเพียงลำพังตัวเดียว โดยที่เธอมิได้กลับไปด้วย และถ้าจะยิ่งมัวจะชั่งใจอยู่เช่นนี้ ความมืดก็จะโรยตัวลงมาปิดกั้นหนทางที่จะเดินกลับไว้ และอากาศก็จะยิ่งหนาวเย็นมากขึ้น

ในขณะที่อยู่บนหลังมานั้น การที่จะเดินทางในระยะหาไมล์หรือไกลกว่านั้นดูเหมือนไม่มีความหมายอะไรเลย แต่การเดินเท้าในท้องถิ่นอันกว้างไกลเช่นนี้ ย่อมจะต้องใช้เวลานาน และต้องเดินฝ่าความหนาวเย็นไปโดยตลอด และซ้ำยังจะต้องพบกับความหิวโหยอีกด้วย แบรนดี้ คิดอย่างเสียดายแซนด์วิชที่ติดตัวมาด้วย และใส่ไว้ในถุงอาน

เธอเบือนหน้ากลับไปเหลือบแลแสงสีเข้มของดวงอาทิตย์เป็นครั้งสุดท้าย ขณะนี้อาทิตย์สีทองได้ลับดวงลงเบื้องขอบฟ้าแล้ว และดวงดาวแรกเริ่มจรัสแสงขึ้นสลัว ๆ เบื้องท้องฟ้าสีเทา และแล้วความมืดก็จะโรยตัวลงอย่างรวดเร็ว มันช่างเป็นสิ่งที่น่าที่น่าเศร้าใจอย่างที่สุด ที่จะต้องเดินเท้าเป็นระยะทางหลายไมล์ กว่าจะกลับไปถึงบ้านโดยเฉพาะกับการที่จะต้องเดินคนเดียวไปในความมืดเช่นนี้

แต่เมื่อไม่มีทางจะทำอะไรได้ แบรนดี้จำต้องเชิดหน้าและออกเดิน มันออกจะเป็นสิ่งแปลกที่ทัศนียภาพแตกต่างไปมาก เมื่อมิได้มองลงมาจากหลังม้า พุ่มต้นเซจและพงหญ้าดูจะหนาทึบขึ้น และทิวเขาน้อยใหญ่ก็ดูสูงชันน่ากลัว วูบหนึ่งที่เธอบังเกิดความเสียวสยองขึ้นมาในใจว่าธรรมชาติจะเปลี่ยนแปรไปเป็นเช่นไร ถ้าจะต้องตกอยู่ในความมืด แต่แล้วก็พยายามกำจัดความกลัวให้หมดไปจากใจ

เธอเร่งฝีเท้าขึ้น ด้วยความมั่นใจว่าในระยะทางไม่เกิน 3 ไมล์ เธอจะสามารถมองเห็นแสงไฟจากหลังคาคอกม้าได้ และมันจะเป็นเครื่องนำทางให้เธอเดินกลับไปถึงบ้านได้ในช่วงระยะทางอีก 1 ไมล์ที่เหลือ

ดั้งนั้นเธอจึงตั้งหน้าตั้งตาเดิน และแล้วก็มาถึงนาทีหนึ่งที่เธอเกิดความหวั่นหวาดต่อเงาดำที่ทอดตัวลงมาและตามติดมาด้วยความมืดสนิท พระจันทร์เห็นเป็นเพียงเสี้ยวที่แขวนอยู่กับกิ่งฟ้าในยามราตรี แสงของมันดูไร้ค่าโดยสิ้นเชิง แสงดาวหรือก็หม่นลง เห็นเป็นเพียงละอองที่กระจ่างอยู่บนฟากฟ้าเท่านั้น

เสียงเดียวที่ได้ยินอยู่ในเวลานี้คือเสียงฝีเท้าของตนเอง ที่กระแทกกระทั้นอยู่กับผืนดินปนทรายและกรวดหิน ขากางเกงสะบัดอยู่ในพุ่มหญ้าและต้นเซจ มันออกจะเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงเสียให้พ้นจากต้นกระบอง

เพชรที่มีหนามแหลม บ่อยครั้งที่เธอเดินไปชนมันเข้าเนื่องจากความมืด ดังนั้นกว่าจะรู้ว่ามันมิใช่ต้นเซจก็สายไปแล้ว เธอจึงถอยกลับออกมา และปลดหนามแหลม ๆ ที่ทิ่มแทงอยู่กับกางเกงออก

ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่เธอจะต้องตั้งความสนใจให้มั่นอยู่กับพื้นดินที่จะเหยียบย่างลงไปเบื้องหน้า มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะตรวจสอบเส้นทางอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่หยุดฝีเท้าลงเพื่อรวบรวมลมหายใจ เธอจะต้องรบกวาดตามองไปรอบ ๆ เพื่อที่จะกำหนดและสังเกตภูมิประเทศ บ่อยครั้งที่เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงทาง แต่ก็บ่อยครั้งอีกเช่นกันที่หามันพบและออกเดินต่อ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel