บทที่ 1
แสงสีทองเริ่มโลมไล้ลงเหนือยอดต้นเซจ อันเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่า ตะวันใกล้ตกดินแล้ว พงอ้อและกอหญ้าโน้มยอดของมันลงอย่างจะยอมรับ ขณะที่สายลมอ่อนปลอบโยนด้วยเสียงครางครวญ หวนไห้ของมัน
นกน้อยตัวหนึ่งถลาปีกร่อนลงมาเดินเตาะแตะเคียงขนานอยู่กับม้าพันธุ์อาหรับสีเทางามสง่า ขณะที่มันกำลังย่างเหยาะไปตามเส้นทาง ที่เป็นดินลูกรังผสมด้วยกรวดทรายอยู่เป็นครู่ และแล้วก็โผถลาขึ้นสู่ยอดพุ่มไม้ก่อนที่จะหายลับไปจากสายตา สายบังเหียนที่ดึงรั้งอยู่ทางด้านซ้ายของคอม้าบังคับให้มันเปลี่ยนเส้นทางเดินเลี้ยวไปทางด้านขวา ขึ้นไปสู่เนินกว้างบนยอดเขา ซึ่งไร้แมกไม้ปกคลุมอยู่
เสียงเกือกมากระทบอยู่กับพื้นผาหิน ณ ที่นั้นแบรนดี้ อเมส ได้รั้งบังเหียนม้าให้หยุดลง มองทิวทัศน์ที่แผ่กว้างอยู่เบื้องหน้าไร้สิ่งใดเป็นอุปสรรคกีดกั้นสายตาไว้ เจ้าม้าชันหูสีเทาขึ้น พร้อมกับยืดคอขัดขืนต่อสายบังเหียนที่รั้งไว้จนตึง ส่ายหัวไปมาอย่างหมดความอดทน
สีเหลืองนวลเริ่มทาทาบจับแผ่นฟ้าสีครามแล้ว ขณะเดียวกันรังสีแสงสีส้มก็ทอผ่านหมู่เมฆออกมาบนท้องฟ้าเบื้องทิศตะวันตก เปลี่ยนสีสันของเงาหม่นที่เกิดขึ้นในยามตะวันรอน ซึ่งแม้แต่เรือนผมสีน้ำผึ้ง ซึ่งตัดไว้เป็นทรงสั้นก็พลอยแปรเปลี่ยนไปเป็นสีทองแดง
“ฉันอยากจะให้ตัวเองเป็นจิตรกรเสียเหลือเกินจะได้วาดภาพที่มันสวยสุดใจนี่ลงไว้” เธอลูบไล้ฝ่ามืออยู่กับคอม้าอย่างใจลอย พร้อมกับระบายความรู้สึกนึกคิดของตนเองออกมาดัง ๆ “ดูสิ สีสันมันเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมหัศจรรย์จริง ๆ ตอนนี้ก็กระจายออกเป็นแนว อย่างกับดอกไม้ที่มันขยายกลีบแสนสวยแล้ว”
เจ้าม้าส่งเสียงคำรามเบา ๆ อยู่ในลำคอ และแบรนดี้ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ทำไม แกว่าฉันเพ้อฝันมากเกินไปอย่างนั้นรึไง ราชาด เอาไว้ให้เรารู้จักกันดียิ่งขึ้นกว่านี้อีกหน่อยเถอะน่า แกจะได้รู้ว่าฉันน่ะอยากให้ตัวเองลอยล่องไปกับแสงสวยในเวลาที่ตะวันตกดินในอริโซน่านี้ยังไง”
แบรนดี้พันสายบังเหียนไว้รอบปุ่มอานแบบตะวันตก และแล้วก็สปริงตัวกระโดดลงจากหลังม้าอย่างว่องไว เดินช้า ๆ ไปทางหัวม้า และหยุดยืนนิ่งอยู่เพียงนั้นดวงตาจับจ้องสีของท้องฟ้า
ผิวพรรณของเธอในยามนี้ ก็พลอยแปรเปลี่ยนเป็นสีทองจาง ๆ ตามไปด้วย ดวงตาที่เขียวขาบกลมโตคู่นั้นถูกเน้นให้งามขึ้นด้วยจมูกที่โด่งงามเป็นสัน ตรงปลายเชิดขึ้นน้อย ๆ รับกับเรียวปากที่ได้รูป เรือนร่างที่เพรียวงามนั้น ทำให้ไม่อาจสังเกตเห็นความระหงซึ่งมีส่วนสูงเพียงปานกลาง ข้อมือข้อเท้าที่เรียวเล็กได้ ประกอบด้วยความมีชีวิตจิตใจแจ่มใสอยู่เสมอ ทำให้แบรนดี้มีเสน่ห์ยิ่งนัก แม้กระนั้นเธอก็มีความสำรวมตนอยู่ไม่น้อย น้อยคนนักที่จะสามารถทำความเข้าใจกับธรรมชาตินิสัยของเธออย่างทะลุปรุโปร่ง
และในยามนี้ ยามที่อยู่เพียงลำพังคนเดียวแบรนดี้ก็บอกตัวเองว่า เธอไม่จำเป็นจะต้องสำรวมกิริยาอะไรให้มากจนเกินไปนัก
เจ้าม้าใช้ปลายจมูกกระตุ้นสีข้างของเธออยู่ราวจะเตือนให้รู้ว่า ขณะนี้ยังมีมันร่วมอยู่ด้วยในสถานที่นั้นดังนั้นเธอจึงลูบไล้ใบหน้าของมันเบา ๆ แต่ยังไม่ละสายตาจากความเลื่อมลายพรายพรรณของท้องฟ้า
“วันนี้นะ คาเรน เขาคุยโม้โอ้อวดว่าเทือกเขาร็อคกี้น่ะมันสวยอย่างมหัศจรรย์เสียเหลือเกินแล้ว อธิบายอย่างแจ่มแจ้งเลยว่ามันวิเศษเลอเลิศขนาดไหน” เธอระบายลมหายใจออกมาอย่างเป็นสุข “นั่นน่ะเขาหลงความสวยงามของภูเขาทั้งนั้นแหละไม่ว่าจะลูกไหน และเวลานี้ฉันก็เริ่มจะหลงรักทุ่งกว้างที่มีชื่อว่า โซโนร่า นี่มากขึ้นทุกวันแล้วด้วย โดยเฉพาะในยามตะวันตกดินอย่างนี้แหละ”
ตรงเชิงเขาอีกด้านหนึ่งนั้นขณะนี้กำลังถูกอาบด้วยแสงสีส้มอมแดงราวเปลวไฟ ยามที่ลูกไฟดวงใหญ่
ค่อย ๆ ลดดวงลงใกล้ผืนแผ่นดิน และบัดนี้ท้องฟ้าสีครามอันกว้างไกลเบื้องทิศตะวันออกเริ่มทาบทาด้วยแสงสีม่วงในขณะที่เบื้องทิศตะวันตกเป็นสีแดงเพลิง แบรนดี้ตื่นตะลึงในความงามของสีสันที่อาบไล้อยู่กับแผ่นฟ้ายามนี้ยิ่งนัก ฝ่ามือของเธอลูบไล้ไปตามแนวจมูก ที่อ่อนนุ่มราวกำมะหยี่ของเจ้าม้าตัวนั้นอย่างใจลอย
เจ้าม้าสีเทาซุกจมูกเข้าตรงไหล่ของเธออีกครั้งเป่าลมหายใจอย่างจะหมดความอดกลั้น ขณะเดียวกันก็ขยับขาอยู่ไปมาอย่างหงุดหงิดใจ
“นี่....เลิกคิดถึงท้องของเจ้าเสียทีได้ไหมเจ้าราชาด” แบรนดี้เชิดหน้าขึ้น เมื่อเจ้าม้าซุกไซ้จมูกอยู่กับแขนเสื้อสีขาวของเธอ “ทั้งฟางทั้งข้าวโอ๊ตน่ะ ยังไงมันก็ต้องรออยู่ในคอกให้เจ้าได้กลับไปกินแน่ ไม่มีใครเขาแย่งเจ้ากินหรอก นี่....มาดูตะวันตกดินกันก่อนดีกว่า” เธอกวาดมือไปยังขอบฟ้า “เจ้าน่ะควรจะเริ่มเรียนรู้วิธีหาความสุขจากความสงบความสวยงามนี่อย่างที่เจ้าสตาร์มันเคยทำมาแล้วบ้างสิ แม่นั่นน่ะ เขาออกมาเป็นเพื่อนฉันในยามค่ำอย่างนี้อยู่เสมอละ”
ทุกครั้งที่เธอหวนรำลึกขึ้นถึงแม่ม้าจุดด่างที่ชื่อสตาร์แบรนดี้ก็อดที่จะรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ นับแต่วาระที่จำความได้ เธอก็อยากจะได้ม้าสักตัวหนึ่งเสมอมา จนกระทั่งอายุได้ 10 ขวบ พ่อกับแม่จึงยอมตามใจ และซื้อม้าตัวเมียจุดด่างอายุ 8 ปีให้เธอหนึ่งตัว แบรนดี้กับม้าตัวนี้ดูจะเป็นคู่ที่แยกกันไม่ออกเลย จนในที่สุด เมื่อความแก่ชรามาถึง แม่ม้าตัวนั้นก็ตายลง เมื่อฤดูร้อนปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งเป็นสัปดาห์หลังจากจากแบรนดี้ครบรอบวันเกิดที่ 20 พอดี
ราชาด เจ้าม้าพันธุ์อาหรับที่ยืนอยู่ข้างเธอในเวลานี้ เพิ่งถูกซื้อมาเมื่อฤดูหนาวปีกลาย ขณะที่เธอกำลังอยู่ในระหว่างเศร้าโศกเสียใจกับความตายของแม่สตาร์ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นกับเธอมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย และแบรนดี้ก็อดที่จะเปรียบเทียบระหว่างมาทั้งสองตัวนี้ไม่ได้ เพราะว่า บุคลิกลักษณะของมันแตกต่างกันมาก
แต่แบรนดี้ก็คิดเสียว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะต้องเปรียบเทียบระหว่างมาทั้งสองตัวนี้ เพราะสตาร์ เป็นเพื่อนเล่นตัวเดียวที่เธอมีมาตั้งแต่เด็ก และดูเหมือนมันจะเป็นม้าแสนรักที่ล่วงรู้ความลับทั้งหลายในจิตใจของเธอจนหมดสิ้น แต่มิใช่ว่าเป็นเพราะเธอไม่มีเพื่อนร่วมโรงเรียนเลย แต่การที่ต้องมาอยู่ในแถบถิ่นตะวันตกของเมืองทัดสัน โดยที่ไม่มีเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่จะสนทนาปราศรัยด้วย และกับการเป็นลูกคนเดียว ทำให้
แบรนดี้ต้องยึดม้าเป็นที่พึ่งมากขึ้น
เมื่อเธอเจริญวัยขึ้น เธอก็ยิ่งใช้ชีวิตเพียงลำพังเพียงมากขึ้น เพียงแต่มิได้ถือว่าตนเองจะต้องตกอยู่ในสภาพหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวใจเท่านั้น ความรักความห่วงใยที่พ่อและแม่ให้กับเธอนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย แม้ว่าในบางครั้ง ทั้งพ่อกับแม่จะบังเกิดความพิศวงสงสัยว่า เธอเกิดมาเป็นลูกได้อย่างไร ทั้งเลนอร่า และสจ๊วต อเมสต่างก็ได้ปริญญาโทมาด้วยกัน และขณะนี้ก็เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยทัดสันด้วยกันทั้งคู่ ต่างคนต่างก็มีจิตใจหมกมุ่นอยู่กับการทำงานและออกจะแปลกใจที่เห็นลูกสาวคนเดียวมิได้บังเกิดความทะเยอทะยานที่จะเป็นเช่นเขาหรือเธอ
แต่กระนั้นด้วยความรักและการเลี้ยงลูกอย่างคนที่มีสติปัญญา ทำให้เขาทั้งสองไม่เคยบีบบังคับให้เธอต้องดำเนินชีวิตตามรอยเท้า ถ้าเธอพอใจจะทำในสิ่งใดทั้งเลนอร่าและสจ๊วตก็ตามใจเพราะถือว่าความสุขของลูกคือความสุขของตัวเองดังนั้นแม้ว่าเขาทั้งสองจะไม่ใคร่พอใจที่แบรนดี้มิได้เลือกใช้วิชาความรู้ของตัวเองให้เป็นประโยชน์ เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงออกมา
แบรนดี้ไม่เคยเกิดความรู้สึกว่าตัวเองกับพ่อแม่มีช่องว่างอยู่ระหว่างกันเลย ทั้งนี้เพราะเธอมีงานด้านศิลปะที่สามารถทำได้ตามสบาย ขณะเดียวกันก็รับผิดชอบหน้าที่การงานในบ้านทั้งหมด ดังนั้นในวัย 20 ที่ย่างขึ้น 21 นี้ จึงดูออกจะเป็นการช้าไปสักหน่อย สำหรับการที่เธอจะออกจากบ้านไปใช้ชีวิตตามลำพังของตนเอง