บทที่ 3
บรรยากาศมืดสนิทแม้แต่จะอ่านเส้นลายมือก็ยังมองไม่เห็น แต่แบรนดี้ก็มั่นใจว่า เมื่อขึ้นไปถึงยอดเนินลูกที่ 3 เธอจะสามารถมองเห็นแสงไฟจากคอกมาได้ เธอเงยหนาขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรี และดวงดาวที่กระจ่างพรายอยู่เหนือฟากฟ้านั้น
มันจะมืดลงกว่านี้อีกไหมหนอ เธอพร่ำถามตัวเอง เม้มปากด้วยความรู้สึกเครียดเคร่งที่ติดตามมา น่าเสีย ดายนักที่แต่ก่อน เธอมิได้ตั้งใจฟังขณะที่พ่ออธิบายถึงตำแหน่งต่าง ๆ ของดวงดาว หรือกลุ่มดาวต่าง ๆ เพราะถ้าเธอให้ความสนใจกับมันอย่างพอเพียง เธอย่อมจะสามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ในการหาทิศทางกลับบ้านได้
“สงสัยว่าไอ้ยอดต้นเมสควิสนั่นคงจะบังแสงไว้” เธอพูดกับตัวเองออกมาดัง ๆ ก่อนที่จะย่ำเท้าก้าวเดินต่อไป
แบรนดี้ไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าตัวเองได้เดินมาเป็นระยะทางไกลเท่าไรแล้ว ดูมันจะหลายไมล์ แต่ก็อาจจะ....ไม่ถึงไมล์ก็ได้ รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแรงเต็มที เวลานี้อุณหภูมิของอากาศได้ลดลงมาก ความหนาวเย็นทำให้เธอสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
รู้สึกว่าสมองของตัวเองมึนงงปวดร้าวขึ้นมา ซึ่งแบรนดี้ก็โทษว่าน่าจะเนื่องมาจากความหิวที่รบกวนจิตใจอยู่ สัญญากับตัวเองว่า เมื่อกลับไปถึงบ้านจะต้องรับประทานสตูว์เนื้อชามใหญ่ ๆ ที่เก็บไว้ในตู้เย็นเสียให้สมกับ ความหิว แต่ภาพที่วาดขึ้นนั้นมิได้ช่วยผ่อนคลายที่ทำให้ตัวเบาลงได้เลย
และกับอีกหลายพันก้าวที่ติดตามมา เธอก็ยุติการเล่นหลอกตัวเอง เพราะภูมิประเทศที่รายล้อมอยู่รอบกายเวลานี้ มิใช่สิ่งที่เคยคุ้นกับสายตามาก่อน บางที....เธออาจจะเดินเป็นวงกลมหมุนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งแล้วก็เป็นได้ แบรนดี้รู้สึกเหนื่อยอ่อนใกล้จะหมดแรงด้วยความหิวโหยเต็มที ในที่สุดก็ถึงกับทรุดตัวลงนั่ง ไม่สนใจกับหนามแหลม ๆ ที่ทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อหนัง ยอมรับกับตัวเองว่า ขณะนี้เธอได้หลงทางแล้วโดยสิ้นเชิง
คำถามต่อไปที่ตามติดมาก็คือ ขณะนี้เธอเดินมาไกลแค่ไหนแล้ว และเธอจะยังตั้งมั่นอยู่กับความหวังที่ว่าเธอจะสามารถสังเกตเห็นอะไรสักอย่าง ที่จะใช้เป็นเครื่องนำทางเพื่อที่จะกลับไปให้ถึงบ้านได้หรือไม่ ครั้งนี้มิใช่ครั้งแรกที่เธอพบว่าตัวเองได้หลงอยู่ในแถบถิ่นเป็นทะเลทรายเช่นนี้ แต่ความแตกต่างของมันขึ้นอยู่กับว่า เมื่อครั้งที่ผ่านมานั้น เธอมักจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าสตาร์ที่มันจะช่วยพาเธอกลับไปให้ถึงบ้าน ในเมื่อเธอแทบจะไม่มีความรู้กับการใช้ดาวเป็นเครื่องนำทางเลย
มันออกจะเป็นไปไม่ได้ที่เธอสามารถจะหลงทางมาได้ไกลถึงเพียงนี้ เธอบอกกับตัวเองอย่างหนักแน่น แบรนดี้ยกมือขึ้นถูแขนตัวเองแรง ๆ เมื่อรู้สึกว่าความหนาวเหน็บทำให้ผิวหนังแตกระแหงขึ้น บอกตัวเองว่าถ้าเธอจะเดินมุ่งตรงไปข้างหน้า ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเห็นแสงไฟจากบ้าน หรือไม่ก็ออกสู่เส้นทางซึ่งเป็นบริเวณไร่ของเพื่อนบ้านอย่างแน่นอน
ดังนั้น แบรนดี้จึงตัดสินใจว่าเธอควรจะมุ่งหน้าเดินต่อไปจะเป็นการดีที่สุด การที่ทำให้ร่างกายมีความเคลื่อนไหวอยู่เสมอนั้น ย่อมดีกว่าที่จะนั่งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งซึ่งอาจจะถึงหนาวตายได้ เธอยอมรับว่าความคิดเช่นที่ว่านั้นออกจะเป็นความคิดที่เกินความจริงไปสักหน่อย เพราะคงจะไม่หนาวถึงขนาดนั้นแน่ เธอรู้ดีว่า ได้มีคำแนะนำโดยทั่ว ๆ ไปสำหรับคนที่หลงทางไว้ว่า วิธีที่ดีที่สุดคือจงอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง แต่เธอก็เชื่อว่า การที่ตัวเองจะเดินต่อไปนั้น ก็ใช่ว่าจะไร้จุดหมายปลายทางเสียทีเดียว เพราะการที่เดินรุกหน้าต่อไปนั้น อาจจะทำให้มองเห็นแสงไฟจากตัวบ้าน หรอไม่ก็เป็นเส้นทาง ซึ่งอาจจะใช้เป็นเครื่องสังเกตได้บ้าง
เธอออกเดินมุ่งหน้าไปได้ไม่ไกลนัก เมื่อรู้สึกว่าสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ตรงหางตา
แบรนดี้จึงหยุดอยู่กับที่ วางมือลงบนแผลที่เกิดจากการถูกหนามต้นกระบองเพชรเกี่ยวไว้ และกวาดสายตามองไปรอบ ๆ โดยเฉพาะทางด้านซ้ายมือที่มีความรู้สึกว่าเห็นแสงไฟเกิดขึ้นอยู่ ซึ่งแบรนดี้มั่นใจทันทีว่านั่นจะต้องเป็นแสงไฟจากตัวบ้าน ไม่ว่าจะเดินตรงไปทางข้างหน้าหรือด้านขวามือ
เธอยืนสำรวจลักษณะภูมิประเทศตรงบริเวณที่คิดว่าได้แลเห็นแสงไฟอยู่ พยายามบังคับสายตาให้มองฝ่าไปในความมืด และตามรูปเงาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบริเวณทะเลทรายแห่งนี้ และแล้วเธอก็มองเห็นเปลวไฟที่ไหวตัวอยู่วูบวาบ ซึ่งบางครั้งก็จางหายไป แต่แน่นอนวามนจะต้องเป็นแสงไฟ
เธอรู้สึกดีใจขึ้น เมื่อมองเห็นจุดหมายปลายทางขึ้นมาบ้าง จึงออกเดินตรงไปยังแสงไฟนั้น คราวนี้
แบรนดี้ไม่ใคร่สนใจแล้วว่าฝ่าเท้าจะเหยียบย่ำลงไปบนอะไรบ้างแสงไฟที่เกิดขึ้นในทะเลทรายย่อมหมายถึงว่าจะต้องมีคนอยู่ที่นั่น แม้เธอจะสงสัยอยู่ว่าจะใช่บ้านของตัวเองหรือไม่ก็ตาม
ขณะที่เธอเดินเข้าไปใกล้ แหวกอยู่กับพงต้นเซจและต้นกระบองเพชรที่เสียดสีอยู่กับแขนขา แสงไฟนั้นก็ดูแจ่มกระจ่างขึ้น และแล้วเธอจึงได้มองเห็นว่ามันเป็นแคมป์ไฟ ซึ่งก่อขึ้นบนช่องแคบระหว่างเขา ซึ่งจากทิศทางที่เธอกำลังเดินอยู่ สามารถจะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนทีเดียว แบรนดี้อยากจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยปราโมทย์ยิ่งนัก ที่ดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้างเธออยู่บ้าง แต่เธอก็เหนื่อยอ่อนจนเกินกว่าจะทำอะไรได้ถึงขนาดนั้นนอกจากจะเพียงยิ้มออกมา
“เฮลโล.... สวัสดีค่ะ” เธอวิ่งเข้าไปยังกองไฟรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจมาก และความรู้สึกนั้นก็แฝงอยู่ในน้ำเสียงอย่างเห็นได้ชัด
ตรงข้างกองไฟนั้น มีใครคนหนึ่งที่เห็นเป็นเพียงรูปเงาดำ ๆ กำลังหันมาทางเสียงร้องทักของเธอ เขาผู้นั้นคือผู้ที่ก่อกองไฟขึ้น และเท่ากับเป็นผู้ช่วยชีวิตเธอไว้อย่างไม่รู้ตัวเลย ร่างของเขายังยืนอยู่ในเงามืด ขณะที่แบรนดี้ถลาร่อนเข้าไปหา
“โอ... ฉันดีใจอะไรอย่างนี้ที่ได้เห็นคุณเข้า” เธอเปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยโล่งใจ “ฉันคิดว่าตัวเองหลงทางแล้วละค่ะ แล้วก็เริ่มจะคิดแล้วด้วยว่าคงจะต้องหลงทางอยู่ในทะเลทรายนี่ตามลำพังคนเดียวเสียแล้ว”
“งั้นรึ” น้ำเสียงของผู้ที่ย้อนถามมานั้นเป็นเสียงทุ้ม แต่ก็มีวี่แววของความไม่พอใจแฝงอยู่
คิ้วเรียว ๆ ขมวดเข้าหากันทันที แบรนดี้มิได้คิดหวังที่จะให้ใครมาอ้าแขนออกต้อนรับเธอ แต่อย่างน้อยเขาในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ก็ควรจะแสดงออกถึงความอาทรห่วงใยบ้าง เมื่อเธอเล่าให้เขาฟังว่า เธอหลงทางอย่างนี้
ฉัน.... ฉันออกมาขี่ม้าเล่นน่ะค่ะ” เธอคิดว่าการที่จะอธิบายให้กระจ่างแจ้งกว่านั้นอีกสักนิด อาจจะเป็นสิ่งจำเป็น “พอดีม้าฉันมันตกใจก็เลยวิ่งเตลิดไป ฉันเลยต้องย่ำเท้ากลับบ้านตอนที่มันเริ่มจะมืดแล้ว แต่สงสัยว่าตัวเองจะเดินหลงไปเวียนมาเสียมากกว่า”
ความเงียบโรยตัวลงอยู่เป็นครู่ ก่อนที่ผู้ชายซึ่งแฝงตัวอยู่ในเงามืดจะสนองคำพูดของเธอ
“แล้วก็เลยบังเอิญให้คุณมาเจอแคมป์ของผมเขาอย่างนั้นสิใช่ไหม” อีกครั้งหนึ่งที่แววเยาะหยันฉายฉาบอยู่ในน้ำเสียง
“ฉันเห็นแสงไฟจากแคมป์ไฟของคุณเข้าน่ะค่ะ” แบรนดี้ชักเกิดความไม่แน่ใจขึ้นมาบ้างแล้ว พยายามจะมองจ้องฝ่าความมืดเข้าไป เพื่อให้เห็นมากกว่าสิ่งที่บอกรูปร่างว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง มีเสียงม้ากระแทกกีบเท้าอยู่ในความมืด แบรนดี้รู้สึกว่าเหงื่อออกจนชุ่มมือ “ซึ่งพอฉันเห็นเข้าก็รู้สึกดีใจมาก”
เธอใช้ประโยคที่บอกถึงอดีตแห่งความรู้สึกออกไปโดยไม่รู้ตัว และทันใดก็มีความรู้สึกว่าตัวเองดูจะไม่โชคดีเท่าที่คิดไว้เสียแล้ว อยากรู้เหลือเกินว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร และออกมาทำอะไรอยู่ในท่ามกลางยามราตรีของทะเลทรายเช่นนี้