บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 รอยปริศนา (4)

หลังจากทำการบ้านรวมไปถึงงานบ้านที่ได้รับมอบหมายเสร็จ สกุณาเด็กน้อยวัยสิบสองขวบก็วิ่งมาออกมาหน้าบ้านเพื่อจะขออนุญาตคนเป็นพ่อแม่ ออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อน เมื่อไม่เห็น เด็กน้อยจึงวิ่งไปหลังบ้าน แล้วเปิดยิ้มเมื่อเห็นคนทั้งคู่กำลังยืนทำอะไรบางอย่างอยู่ โดยอีกฟากของรั้วบ้านมีป้าข้างบ้านที่สนิทกันยืนคุยด้วย

“แม่หนูขอไปเล่น...แม่จะทำอะไรคะ” สกุณาที่กำลังจะเอ่ยปากขออนุญาตคนเป็นแม่ถามขึ้น เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของท่าน ขณะที่คนเป็นพ่อกำลังสุมไฟในถังความสูงระดับเอว

“ไม่ใช่เรื่องของเด็ก ไฟลุกแล้วเอาใส่ไปเลย” นางทิพย์วรรณบอกปัด ก่อนจะหันไปพูดกับสามีพร้อมกับยื่นสิ่งมีชีวิตในตาข่ายจำนวนนับสิบตัวให้

“นี่อย่าบอกนะคะว่าพ่อกับแม่ไปดักจับมันเพื่อจะเอามาเผาน่ะ” สกุณาถามโดยที่ยังไม่ละสายตาจากถุงตาข่ายพลางกลืนน้ำลาย

“หุบปาก จะไปไหนก็ไปเลยไป”

“อย่าทำเลยนะคะ สงสารมันเถอะ” เด็กน้อยอ้อนวอนเพราะไม่เห็นถึงความจำเป็นในการทำร้ายสัตว์เหล่านี้เลย มีสร้างความรำคาญบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดต้องจับเผา มันเป็นวิธีการที่โหดร้ายเกินไป

“โอ๊ย! อีนก มึงจะอะไรนักหนา กะแค่อีกา มันเป็นญาติติโกโหติกามึงหรือไง” นางทิพย์วรรณหันมาตะคอกลูกสาวที่ยื่นเขย่าแขนอย่างรำคาญ

“ก็แล้วทำไมพ่อกับแม่จะต้องฆ่ามันด้วยล่ะ” เด็กน้อยถามพาซื่อ

“ก็มันเป็นสัตว์อัปมงคล ชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้น ก็เพราะตัวซวยอย่างพวกมันนี่แหละ บินกันให้ว่อน ร้องกา ๆๆ โชคลาภที่ไหนจะมาวะ” นางทิพย์วรรณร่ายยาว มองสัตว์ปีกสีดำในถุงตาข่ายด้วยสายตารังเกียจ ทั้งที่ใช้ชีวิตที่อยู่ที่นี่มานานและน่าจะคุ้นชินกับพวกมัน

นั่นมันอาจจะใช่ แต่ไม่ใช่วันนี้ วันที่มีอะไรที่ต่างออกไป

“ไม่เห็นจะเกี่ยว” เด็กน้อยแย้ง ก่อนจะถูกป้าข้างบ้านที่ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณสามเดือน แต่กลับสนิทสนมกับพ่อแม่ของเธอมากแย้งขึ้นทันที “หนูเป็นเด็กไม่รู้หรอกว่า สัตว์พวกนี้มันนำแต่สิ่งชั่วร้ายอัปมงคลมาให้ ฆ่าพวกมันก็ไม่ได้ผิดบาปอะไร นอกจากจะนำแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต จริงไหมล่ะ” นางว่าพลางมองไปที่สองสามีภรรยา ที่กำลังเตรียมจะเผาอีกาในถุงตาข่าย ที่ต่างกำลังพยายามกระพือปีกร้องราวกับขอชีวิตชวนให้คนได้ยินหนวกหู

“ใช่ ๆ เมื่อวันก่อนฆ่าไปตัวหนึ่ง เก็บเงินได้ตั้งพันแน่ะ” นายบรรจงพูดถึงความโชคดีในรอบปีของตัวเองด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ฉันก็ถูกหวยตั้งร้อยเหมือนกัน นี่ถ้าฆ่าหมดนี่สงสัยจะถูกรางวัลที่หนึ่งแน่ ๆ เลย” นางทิพย์วรรณรีบเอ่ยเสริมคนเป็นสามีด้วยน้ำเสียงไม่ต่างกัน

“ไม่ใช่เสียหน่อย ที่ครอบครัวเราเป็นอย่างนี้เพราะพ่อกับแม่ขี้เกียจต่างหาก” แต่ทั้งคู่ก็ถูกลูกสาวเพียงคนเดียวแย้ง

“ใครบอกมึงว่าพวกกูขี้เกียจ”

“ใคร ๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้น” เด็กน้อยพูดตามที่ได้ยินพ่อแม่ของเพื่อน ๆ หรือชาวบ้านในละแวกนี้พูดกัน พวกเขามักจะบอกว่าพ่อแม่ของเธอนั้นขี้เกียจ ทำงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่หวังรวยทางลัดกับหวยและการพนัน เมื่อก่อนขับแท็กซี่ก็บอกว่ารายได้น้อย ตอนนี้มาขับรถโดยสารประจำทาง ก็ไปทำบ้างไม่ทำบ้างแล้วแต่อารมณ์

“มึงไปเลยนะอีนก เดี๋ยวกูจับโยนลงกองไฟพร้อมไอ้พวกนี้เลย” นางทิพย์วรรณขู่ลูกสาวแล้วหันมาด่าสามีต่อ “มึงก็เหมือนกัน ยืนถือให้หนักทำไมโยนมันลงไปสิ”

สิ้นเสียงสั่งของผู้เป็นภรรยา นายบรรจงก็โยนตาข่ายลงไปในถังที่มีเปลวไฟลุกโชนอย่างไม่ลังเล

“อย่า!” สกุณาตะโกนห้าม ไวเท่าความคิด เด็กน้อยวิ่งเข้าไปดึงปลายตาข่ายที่โผล่พ้นขอบถังขึ้น เหวี่ยงมันลงพื้นหวังจะช่วยพวกมันให้พ้นจากความตาย แต่อนิจจาด้วยความแรงของเปลวเพลิง ตาข่ายถูกไหม้ขาด อีกาส่วนใหญ่นอนแน่นิ่งไหม้เกรียมอยู่ในถัง ส่วนตัวที่ติดตาข่ายออกมาก็มีสภาพไม่ต่างกัน ร่างกายถูกเผาไปแล้วบางส่วน แทบจะไม่มีการไหวติง ขยับบ้างก็นิดหน่อย แต่น่าจะเกิดจากการไหม้เลยเกร็งกระตุกมากกว่า

“อีลูกบ้า มึงทำอะไร” นายบรรจงรีบวิ่งไปจับส่วนที่พอจะจับได้ของอีกาบางตัวที่ถูกกระชากออกไปกลับเข้ากองไฟ สกุณาที่จะเข้าไปห้ามก็โดนคนเป็นแม่จับเอาไว้ เด็กน้อยจึงได้แต่มองพวกมันโดนเผาอย่างสิ้นหวัง น้ำตาคลอเบ้า แม้มันจะเป็นแค่สัตว์ แต่การกระทำเช่นนี้มันทารุณเกินไป

“ใจร้าย พ่อแม่ใจร้าย” สกุณาร้องไห้สะอื้น แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นอีกาอีกตัว ที่นอนปีกกระตุกอยู่ห่างออกไปพอสมควรก็รีบวิ่งเข้าไปอุ้มและหนีออกไปทางหน้าบ้าน

“อีนกมึงจะเอามันไปทำไม” นายบรรจงตะโกนถามอย่างไม่พอใจ และทำท่าจะตามไป แต่นางทิพย์วรรณก็ห้ามด้วยท่าทางหงุดหงิด

“ช่างเถอะ เดี๋ยวมันก็ตาย”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel