บทย่อ
เมื่อดวงตะวันอันสดใส ถูกม่านหมอกแห่งพิษรักเข้ามาบดบัง ของขวัญจากพรหมลิขิตถูกส่งมาเพื่อนำพาเขาจากความมืดหม่น ทว่าพิษรักที่กัดกร่อนหัวใจ เขาจะเดินออกมาจากม่านหม่นได้หรือไม่ หรือของขวัญชิ้นนี้จะถูกเหยียบย่ำทำลาย เพราะพิษร้ายกัดกร่อนใจจนเกินเยียวยา... “นี่ขวัญจะท้าทายพี่มากเกินไปหรือเปล่า รู้ตัวไหมว่ากำลังเล่นกับอะไร?” นัยน์ตาดุดันนั้นยังไม่เลิกขู่เข็ญ คุกคามเธอ หากแต่ของขวัญที่ตอนนี้กำลังใจเธอเรียกมาได้คืนเกือบครบแล้ว แถมเจ้าตัวยังตั้งใจจะไม่ถอยเลยสักก้าว ริมฝีปากอิ่มจึงโต้ตอบเขาทันควัน “ขวัญไม่ได้ท้าทายนะคะ แต่ขวัญเอาจริงต่างหาก เรื่องที่ขวัญเอ่อ...” ใบหน้าหวานละมุนแดงเรื่อ ก่อนจะจ้องตาเขาไม่ยอมหลบ “ขวัญพูดกับพี่ภูวันนั้น ขวัญก็พูดเรื่องจริง เรื่องที่ขวัญจริงใจกับพี่ภู พี่ภูอย่าเอาเรื่องของภรรยาเก่าพี่ภูมาเที่ยวตัดสินหัวใจของคนอื่นหน่อยเลยค่ะ” “อ้อ...” นัยน์ตาคบกริบหรี่ลง เขามองกวาดไปทั่วใบหน้าหวานแอร่ม นี่เธอยังจะมาก่อกวนเขาไม่เลิกใช่ไหม คงจะต้องสั่งสอนกันให้เข็ดหลาบ รอบก่อนเธอก็ยังไม่หลาบจำ แล้วจะรู้ว่าแหย่หมีจำศีลอย่างภูตะวันเข้าแล้ว จะได้รับผลตอบแทนอย่างไร! “พี่จำได้แม่นเลย ขวัญบอกว่ารักพี่” น้ำเสียงห้าวดุ เปลี่ยนเป็นทุ้มแผ่ว แถมเจือหวาน นัยน์ตาคมกริบดุดันเปลี่ยนประกายไปเป็นระยับยามมองใบหน้าหวานใสนั่น ของขวัญถึงกับกระพริบตาปริบๆ กับอาการเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า นัยน์ตาคมของเขา หลุบลงมองริมฝีปากอิ่มเรื่อ สีชมพูจัดที่เผลอเผยอค้างของเจ้าของ ที่กำลังสับสนมึนงงในอารมณ์อย่างหนัก ก่อนที่ใบหน้าคมสันจะก้มลงมาใกล้ มือที่เคยจับต้นแขนนุ่มบีบแน่น คลายลง มือหนึ่งเลื่อนลงไล้ช้าๆ ก่อนที่ร่างบางเล็กจะทันรู้ตัว มันก็รัดเธอเข้าไปหาเขา พร้อมกับมืออีกข้างที่จับปลายคางมน บีบเบาๆ เหมือนจะบังคับไม่ให้เธอเบนหลบไปได้ “ถ้าอย่างนั้น พี่ก็จะตอบแทนความรักให้ขวัญ ด้วยสิ่งที่ขวัญคงจะอยากได้”
บทที่ 1
บทนำ....
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้ม คิ้วดกได้รูป จมูกโด่งเป็นสันตรงปลายงุ้มเล็กน้อย ริมฝีปากหยักได้รูป นัยน์ตาสีดำสนิทคมสวยส่งประกายระยับ อย่างอารมณ์ดี มีจุดตำหนิเล็กน้อย ตรงแผลเป็นที่ใต้คาง หากแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่ามองลดลงสักนิด เขาส่งเสียงห้าวทุ้มทักทาย หญิงวัยกลางคนที่กำลังทำความสะอาดอย่างขมีขมัน ตรงชานบ้านของเรือนไม้ทาสีขาวทั้งหลัง นางยิ้มและทักทายตอบ
บริเวณบ้าน ‘การันยภาส’ นั้นมีต้นข่อยปลูกไว้เป็นแนวรอบขอบชิด ตรงหน้าบ้านเปิดโล่ง ไม่มีประตูรั้ว เพราะเจ้าของบ้าน ไม่ต้องหวาดกลัวอันตรายใดๆ พื้นที่สวนทั้งหน้าบ้านและข้างบ้านปลูกกุหลาบไว้ทั่วบริเวณ มีหลากหลายพันธุ์ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปทั่วบริเวณ เขาสูดกลิ่นหอมเข้าไปอย่างชื่นใจ แปลงกุหลาบที่กำลังออกดอกหลากสีนี้ เป็นดอกไม้ที่ทิพย์นารี ภรรยาของเขาชื่นชอบ และชายหนุ่มก็สรรหามาปลูกไว้รอบๆ บริเวณบ้านให้เธอ
มือใหญ่เอื้อมไปเด็ดดอกกุหลาบสีชมพูอ่อน ที่จำได้ดีว่าเป็นสีที่เธอโปรดเป็นพิเศษ มาถือไว้ในมือ พลางยิ้มเมื่อคิดถึงภรรยาคนสวยของเขา ผู้หญิงที่เขาพึงใจเมื่อแรกเห็นหน้า เมื่อเธอมาพักผ่อนที่รีสอร์ต ภูม่านดาว ของครอบครัว การัณยภาส เพียงแค่มองใบหน้าหวานเย้ายวนของเธอ ก็ทำให้ภูตะวันหลงรักเธออย่างสุดหัวใจ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน เขาทำความรู้จักกับเธอในเย็นวันนั้น ด้วยการไปเสิร์ฟอาหารค่ำที่เธอสั่งด้วยตัวเอง แนะนำตัวในฐานะของเจ้าของภูม่านดาว เพื่อจะพาเธอไปเที่ยวชมให้ทั่วรีสอร์ตที่สวยงามของเขา
ภูตะวันได้รับมรดกมาจากบิดาและมารดาที่เสียชีวิตไป เป็นกิจการสอร์ต และได้ทำสิ่งที่เขารักเพิ่มเติมนั่นก็คือการทำฟาร์มเลี้ยงม้า สัตว์สง่างาม เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังและความปราดเปรียว ที่ชายหนุ่มชื่นชมและหลงรักพวกมัน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของภูตะวัน
ยิ่งพิศใบหน้างามละเมียด เขาก็ยิ่งหลงรักเธอมากขึ้นทุกวัน รู้สึกดีใจที่เธอตอบรับไมตรีเขา แม้ตอนแรกเหมือนกับว่าทิพย์นารีมีเรื่องในใจ และบางคราวเธอก็เหม่อลอย นัยน์ตางามซึ้งแฝงแววเศร้าหมอง หากแต่เมื่อเขาทำให้เธอยิ้มและหัวเราะ ความเศร้านี้ก็จะจางหายไป จนกลายเป็นนัยน์ตาระยับด้วยความสุข เมื่อเขาขอแต่งงานกับเธอในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนที่รู้จักกัน มันเหมือนจะเป็นระยะเวลาที่รวดเร็วมากในการตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ หากแต่สำหรับภูตะวันที่กำลังหลงรักเธอจนแทบคลั่ง แทบจะมองว่ามันช้าไปเสียด้วยซ้ำ และเขาก็ดีใจมากที่เธอตอบรับเขา ทั้งคู่แต่งงานกันทันที และเมื่อทิพย์นารีใช้นามสกุล การัณยภาสของเขาแล้ว เธอก็กลายเป็นเหมือนหัวใจอีกดวงของภูตะวัน ที่เขาทุ่มเททั้งความรักและทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเธอ
ทิพย์นารีและเขาแต่งงานกันมาสามปีแล้ว และเหมือนว่าตอนนี้เขาจะรักและผูกพันกับสตรีที่เป็นภรรยามากยิ่งขึ้น เพราะโซ่ทองคล้องใจของเขาและเธอ น้องแก้มใส เด็กหญิงภูชิรญา ลูกสาวตัวน้อยแก้มยุ้ย วัยสามขวบที่กำลังน่ารักน่าชัง กำลังทำให้ผู้เป็นบิดามีความรู้สึกเติมเต็มในชีวิต และคำว่าครอบครัว ทั้งลูกและภรรยาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของภูตะวัน เขาทำงานหนัก เพื่อมอบความสุขสบายให้แก้วตาดวงใจทั้งสองของเขา
นึกถึงลูกสาวตัวน้อยแล้ว รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าคมสันอย่างอ่อนโยน คงกำลังหลับปุ๋ยอยู่ในบ้าน ไม่ได้วิ่งวุ่นวายเหมือนเคย เพราะตอนนี้เป็นเวลานอนของเจ้าตัว
“ป้าสาย เย็นนี้มีอะไรทานครับ” เขาถามทักสายทอง เมื่อเดินเข้าไปตรงบริเวณที่สายทองกำลังใช้ที่ปัดฝุ่นจัดการกับงานอยู่ชั้นวางของ
“วันนี้มีผัดเผ็ดปลาดุกของโปรดคุณภูน่ะค่ะ เอ่อจริงด้วยสิ ป้าเกือบลืมไป”
สายทองละงานในมือ พร้อมกับล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ นางรับฝากของสำคัญบางอย่างมาจาก เจ้านายอีกคนของนาง และสั่งกำชับว่าต้องมอบให้กับสามีถึงมือ
“คุณทิพย์ฝากไว้ให้น่ะค่ะ”
ชายหนุ่มหรี่ตาอย่างสงสัย เมื่อรับจดหมายที่ปิดผนึกอย่างดีจากมือของสายทอง ทิพย์นารีภรรยาของเขา กำลังมีเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรเขาหรือเปล่า ภูตะวันอมยิ้ม ขณะที่พึมพำขอบคุณ สายทอง ที่หันไปทำงานของนางต่อ เขาก้าวเข้าไปในบ้าน มองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใคร นอกจากความเงียบสงบ มีเพียงเสียงกรุ๊ง กริ๊ง ของ โมบายที่ห้อยไว้ยังหน้าต่างบานสูง ยามลมพัดผ่าน บ้านของเขาแต่งแบบเรียบๆ มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น เน้นประโยชน์ใช้สอยมากว่าจะแต่งให้หรูหราสวยงาม เป็นบ้านไม้โปร่ง ทำให้เย็นสบายด้วยลมธรรมชาติแทบไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ บ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังเดิมของภูตะวันและครอบครัว ตอนนี้เขาใช้มันเป็นเรือนรัก แม้ว่าทิพย์นารีเคยบ่นว่าอยากให้เขาสร้างบ้านหลังใหม่เป็นแบบยุโรปที่เธอชื่นชอบ
เจ้าของรีสอร์ตภูม่านดาวที่ขึ้นชื่อว่างดงามชวนฝัน ซ่อนอยู่ในหุบเขาสวย และมีฟาร์มม้าที่เพาะพันธุ์ม้าแข่งชั้นเลิศ จนบางคราว ม้าบางตัวของฟาร์มภูตะวัน มีต่างประเทศมาติดต่อของซื้อ บ้านของเจ้าของรีสอร์ตกลับเป็นบ้านไม้หลังย่อมชั้นเดียว ปลูกแยกต่างหาก ไกลจากบริเวณรีสอร์ตเล็กน้อย เพราะเขาต้องการความเป็นส่วนตัวของครอบครัว มันน่าจะโอ่อ่าสมฐานะกว่านี้ แต่ภูตะวันก็ยังจะพอใจที่จะอยู่ในบรรยากาศแบบเดิมที่เขาโตมา เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องเดียวที่เขาไม่ได้ตามใจภรรยาสุดที่รัก
กลิ่นหอมของแป้งเด็กกรุ่นเข้าจมูก เมื่อลมพัดมาจากระเบียงบ้านด้านข้างที่เปิดโล่ง ทันทีเขายิ้มและตรงไปหาสาวน้อยวัยใส ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย กำลังนั่งเฝ้าร่างเล็กบนเบาะลายการ์ตูนสีหวาน เจ้าตัวน้อยผู้เป็นดวงใจของเขากำลังนอนหลับปุ๋ย กางแขนขาเต็มที่ ลมบริเวณนั้นพัดเย็นสบาย เหมาะกับการพักผ่อน ภูตะวันค่อยๆ นั่งลงข้างเบาะสีหวาน มือเขาไล้แก้มยุ้ยของบุตรสาวเบาๆ ระวังไม่ให้เจ้าตัวตื่น ก่อนจะกระซิบกับเด็กสาวที่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อ่านอยู่ แล้วยิ้มให้กับชายหนุ่มเจ้าของบ้าน ผู้มีศักดิ์เป็นน้าชายของเธอ
“น้องหลับนานหรือยัง ต้นอ้อ”
“พึ่งจะนอนไปน่ะค่ะ น้าภู”
เตชิลาพูดเบาๆ เพราะกลัวเจ้าตัวน้อยจะตื่น
“วันนี้ซนทั้งวันเลย คงจะเหนื่อยมาก ก่อนจะนอนก็พึ่งจะไปแย่งป้าสายกวาดบ้าน พอป้าสายจะขอไม้กวาดคืน ก็วิ่งหนีไปรอบบ้าน ตามไล่จับกันวุ่นเลยค่ะ”
“ต้นอ้อล่ะเหนื่อยไหม?”