ตอนที่ 2 ปรับตัวครั้งใหญ่
.
..
...
....
“อ้อ! จำได้แล้วเคยมีคนไทยมาทำงานที่นี่เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ว่าแต่ใครเป็นคนพานายมาปกติคนต่างชาติไม่ได้เข้ามาง่าย ๆ เลยนะ” จามาลหรี่ตามองหนุ่มน้อยหน้าใสอย่างจับผิด ภาพที่เห็นช่างแตกต่างจากสามคนก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง รูปร่างบอบบางไม่สมชาย ใบหน้าขาวเนียนออกทางสวยมากกว่าหล่อเสียด้วยซ้ำ หากไม่เข้ามาถึงด่านนี้แล้วเขาคงคิดว่าไอ้หนุ่มคนนี้เป็นสตรีเพศอย่างแน่นอน
“คือ...ผมเป็นเพื่อนคุณฟาติมาครับ กำลังหางานทำเลยพาเข้ามาสมัครที่นี่ครับ”
“คุณฟาติมาที่เป็นลูกสาวท่านรัฐมนตรีน่ะเหรอ” จามาลแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้จะเป็นเพื่อนกับคุณหนูลูกท่านรัฐมนตรีผู้มีหน้ามีตาในสังคมชั้นสูง
“ใช่แล้วครับ” มารีญาตอบตาใสแป๋ว ยิ้มหวาน ผิดจริตชายทั่วไป จนคนที่กำลังมองขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
“แน่ใจรึว่านายเป็นผู้ชายจริง ๆ แสดงจริตจะกร้านอย่างกับผู้หญิง” จามาลถามตรง ๆ
“โธ่! ถ้าผมไม่ใช่เป็นผู้ชายจะเข้ามาที่นี่ได้ยังไงครับ คุณจามาลก็รู้ดีว่าคนที่จะเข้ามาทำงานในวังต้องผ่านการตรวจร่างกายก่อนแล้ว” เจ้าหล่อนรีบอ้างเกรงว่าจะทำให้ทุกคนคลางแคลงในใจตัวเธอมากกว่านี้
“ก็จริงอย่างที่นายพูด ถ้าเช่นนั้นเดินต่อกันดีกว่าเสียเวลามามากพอแล้ว” ผู้คุมหอพักสูงวัยเอ่ยแล้วเดินนำหน้าต่อไป
การเข้ามาทำงานในพระราชวังแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะต้องผ่านการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ว่าไม่มีโรคและลักษณะต้องห้ามตามกฎของสำนักพระราชวัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อความปลอดภัยของราชวงศ์นั่นเอง
เดินขึ้นมาถึงชั้นสี่ซึ่งเป็นโซนห้องพักแล้ว จามาลจึงบอกกฎของที่นี่ให้ฟังอย่างละเอียด พร้อมทั้งแจ้งว่าใครจะได้พักอยู่กับใครบ้าง
“ราชิดอยู่ห้องเดียวกับมาร์ติน ส่วนอัสนาลอยู่กับคาซี เข้ามาแล้วก็ให้ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดด้วย หลังจากนี้ให้เข้าไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ฉันจะพาไปส่งที่ตำหนัก”
“พวกผมจะได้ไปอยู่ตำหนักไหนกันบ้างเหรอครับ” น้ำเสียงตื่นเต้นเกินงาม ทำให้จามาลขมวดคิ้วตำหนิในทันที
“นายนี่ช่างพูดช่างถามเสียจริง ก็บอกว่าพรุ่งนี้ยังไงเล่า”
“ขอโทษครับคุณจามาล ผมแค่ตื่นเต้นมากไปหน่อย” คนพูดยิ้มแหยอย่างรู้สึกผิด
“เอาล่ะเข้าไปพักผ่อนตามอัธยาศัย ถึงเวลาทานมื้อเย็นก็ให้รีบลงมา หากเลยเวลาไปแล้วทุกอย่างจะถูกเก็บในทันที เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ” ทุกคนตอบรับพร้อมกัน
“เข้าใจก็ไปได้แล้ว”
หลังจากผู้ดูแลตึกเดินลงไปแล้ว หนุ่มทั้งสี่ก็แยกย้ายกันเข้าห้อง มารีญาระวังตัวแทบทุกฝีก้าวเพื่อไม่ให้เพื่อนร่วมห้องสงสัย โดยเฉพาะการสวมเสื้อผ้าที่ต้องรัดกุมตลอดเวลา โชคดีที่ชุดของหนุ่มอาหรับนั้นค่อนข้างจะปกปิดมิดชิด ตั้งแต่หัวจรดเท้า นั่นคือเหตุผลหนึ่งทำให้เธอกล้าเข้ามาเสี่ยงเช่นนี้
ห้องสี่เหลี่ยมขนาดปานกลางมีเตียงนอนตั้งอยู่คนละมุมพร้อมกับตู้เสื้อผ้า ตรงกลงเป็นหน้าต่างกระจกใสแม้ไม่เปิดไฟก็ยังคงมีแสงสว่างเพียงพอ ยังโชคดีที่ทุกห้องมีห้องน้ำในตัวเหมือนหอพักทั่วไป ทำให้มารีญารู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด
“นายจะนอนฝั่งไหนอ่ะราชิด” เจ้าหล่อนถามขณะถือกระเป๋ายืนอยู่กลางห้อง
“ฉันยังไงก็ได้นายเลือกเลยละกัน”
“งั้นฉันเอาฝั่งนี้นะ นายเอาฝั่งโน้น”
“โอเคไม่มีปัญหา” ราชิดเดินไปนั่งอีกเตียง ลงน้ำหนักโยกเพื่อทดสอบความนุ่ม ทำราวกับมันเป็นเรื่องสนุกซะอย่างนั้น
ส่วนมารีญาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วจัดการนำของจากกระเป๋าเข้าไปเก็บอย่างระแวดระวัง นั่นเพราะในนั้นมีแต่เครื่องประทินผิว แถมยังมียกทรงและชั้นในติดมาด้วยหลายตัว กะว่าจะไม่ต้องซื้อไปอีกนาน เพราะรู้ดีว่าการเข้ามาที่นี่จะทำอะไรก็ลำบากไปเสียหมด
เมื่อจัดแจงเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ล็อกตู้ไว้อย่างแน่นหนา กลัวว่าเพื่อนร่วมห้องจะละลาบละล้วงมาเห็นความลับเข้าให้ พอหันมามองอีกทีก็พบว่าราชิดได้ถอดเสื้อผ้ากองไว้บนเตียง เหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียวที่ปกปิดความเป็นชายเอาไว้
“ว้าย!” หญิงสาวเผลออุทาน ยกมือขึ้นปิดตาหันมาอีกทางในทันที
“นายเป็นอะไรมาร์ติน” ราชิดขมวดคิ้วมองอีกฝ่ายในอาการงง จู่ ๆ ก็ร้องออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เอ่อ...พอดีตัวอะไรกัดฉันน่ะเลยตกใจดังไปหน่อย” เมื่อตั้งสติได้ก็ลดมือลงแต่ยังคงไม่ยอมหันไปมอง
“อ้อ ก็นึกว่าอายที่เห็นฉันในสภาพนี้ ฮ่า ๆๆ” คนพูดเดินเข้าไปนั่งบนเตียงเพื่อนร่วมห้องอย่างถือวิสาสะ เพราะต้องการจะพูดคุยด้วย ทั้งที่ยังใส่กางเกงในเพียงตัวเดียว
ทั้งที่พยายามหลบแล้วแต่ทว่าอีกฝ่ายยิ่งเข้ามาใกล้ ทำให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ หน้าท้องขึ้นลอนซิกแพคชัดเจน เจ้าหล่อนเขยิบก้นหนีแทบไม่ทัน
“แล้วนายจะมานั่งเตียงฉันทำไมเนี่ย ถอดเสื้อผ้าอย่างนี้ไม่หนาวหรือไง” ใบหน้าคนพูดแดงระเรื่อ เพราะตั้งแต่เกิดไม่เคยต้องมาอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายสองต่อสองอย่างนี้ นั่นทำให้เธอต้องปรับตัวครั้งใหญ่เลยทีเดียว
“นายเป็นบ้าเหรอ ที่นี่ร้อนจะตายห่าอยู่แล้ว ดูสิมองไปทางไหนก็มีแต่ทะเลทรายล้อมรอบ”