ตอนที่ 5 จวนขุนนางใหญ่
“คุณชาย ท่านมั่นใจแล้วหรือขอรับว่าจะเข้าทางใต้เท้ากู้ผู้นี้”
“ที่ให้เจ้าไปสืบเรื่องสกุลกู้ ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“สกุลกู้เป็นขุนนางมาสี่ชั่วคน ล้วนแต่จงรักภักดี ใต้เท้า “กู้หลาน” ผู้เป็นปู่ของคุณหนูกู้คือหนึ่งในยอดขุนพลแม่ทัพที่ช่วยกอบกู้เมืองจิ่งโจวขึ้นมา แม่ของคุณหนูกู้เป็นท่านหญิงแต่ที่ไม่ได้มอบยศต่อให้คุณหนูกู้เพราะว่านางไม่อยากรับช่วงต่อขอรับ”
“แล้วอย่างไรต่อ”
“ต่อมาเมื่อแม่ทัพกู้สิ้นลง บุตรชายคือใต้เท้ากู้เหว่ยเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพต่อแต่เขาเลือกที่จะวางดาบ ฝ่าบาทเลยให้เขาไปประจำการอยู่ที่กรมตุลาการแทนขอรับ”
“อะไรนะ วางดาบงั้นหรือ เพราะอะไรกัน”
“เดิมทีใต้เท้ากู็ผู้นี้มีบุตรด้วยกันสามคนขอรับ คนโต “กู้ซานหรง” เป็นแม่ทัพอยู่แดนใต้และไม่ค่อยได้กลับมา อีกคนก็บุตรคนรอง “กู้หรานจื่อ” เขาเคยเป็นรองแม่ทัพของจิ่งโจวมาก่อนแต่อายุสั้นสิ้นในในสนามรบครั้งที่…ใต้เท้ากู้เป็นแม่ทัพยกออกไปปราบแคว้นเซิ่นหลี่ที่มารุกรานทางเหนือ การสูญเสียบุตรชายในครั้งนั้นทำให้แม่ทัพกู้วางดาบและคืนตราพยัคฆ์ให้กับท่านอ๋องขอรับ"
“ที่แท้เรื่องราวสกุลกู้มิใช่อย่างที่ข้าคิด หากว่าความภักดีนี้ยังคงอยู่เขาถึงกับคืนตราพยัคฆ์คุมกองทัพ ดังนั้นเรื่องการทุจริตนี้เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะไม่คิดจะทำเหมือนกับหัวเมืองที่เราเคยพบเจอมา”
“ขอรับ ที่จริงกองทัพสกุลกู้เองก็ยังมีหลงเหลืออยู่และบางคนก็ยังอยู่ในจวนสกุลกู้ และบางคนก็ขอกลับบ้านเดิมแต่หากเมื่อใดแม่ทัพตัดสินใจจับดาบขึ้นมาอีกครั้ง เหล่าบรรดาขุนพลเหล่านั้นก็พร้อมที่จะลุกขึ้นมาเคียงข้างเขาขอรับ”
“บุตรชายคนรองเสียชีวิตแล้ว ดังนั้น…”
“ขอรับ ในตอนนี้ก็เหลือเพียงบุตรสาวคนเล็ก คุณหนูกู้ม่านซีที่ใต้เท้ากู้รักและตามใจนางทุกอย่าง เพราะตอนที่พี่ชายนางเสีย มันเป็นช่วงหลังจากที่ท่านหญิงกู้หว่านเซียงสิ้นใจไปไม่นาน คุณหนูกู้ในตอนนั้นอายุเพียงเจ็ดขวบแต่กลับสูญเสียทั้งมารดาและพี่ชาย ส่วนพี่ใหญ่ของนางโศกเศร้าจนมิอาจทนอยู่ที่จิ่งโจวได้ จึงไม่ค่อยได้กลับมาขอรับ”
เจียงอี้หานพับรายงานที่กำลังอ่านอยู่วางลงกับโต๊ะ เขาคิดถึงใบหน้าของสตรีที่พาเขาขี่ม้าวนรอบเมืองด้วยรอยยิ้มอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั่น คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่านางจะเคยประสบกับเรื่องการสูญเสียเช่นนั้น
“ภายใต้ใบหน้านั้น ซ่อนอะไรไว้อีกเท่าใดกันนะ”
“ขอรับคุณชาย ว่าอย่างไรนะขอรับ”
“เปล่า ข้าแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เจ้าขึ้นเขาไปวาดแผนที่จิ่งโจวมาอีกผืน"
“แต่ว่าคุณชาย แผนที่นี้ก็ค่อนข้างชัดแล้วนี่ขอรับ”
"ไม่ ข้าต้องการแผนที่ที่ละเอียดของสามจวนนี้”
“สกุลกู้ สกุลหลิว สกุลไป๋ คุณชายสกุลไป๋เป็นจวนเสนาบดีซ้ายแล้วเราจะเข้าไปได้เช่นไรขอรับ”
“ได้เวลาพบปะขุนนางผู้ใหญ่แล้ว เรื่องนี้ข้าจัดการเองเจ้าแค่เตรียมตัวเอาไว้ก็พอ”
“ขอรับ”
วันถัดมา / จวนสกุลไป๋
“ข้าน้อยเจียงอี้หานคารวะท่านเสนาบดี”
“คุณชายเจียงไม่ต้องเกรงใจเร็วเข้ามานั่งก่อนเถอะ เอ่อนี่ เวยเอ๋อร์ เจ้ารีบให้คนจัดเตรียมชา ของว่างมารับรองคุณชายเจียงเร็วเข้า”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
เจียงอี้หานโค้งให้นางอย่างสุภาพ “ไป๋รั่วเวย” เองก็เช่นกัน สายตาที่นางมองเจียงอี้หานนั้นแค่ปราดเดียวต้าจื่อก็ทราบแล้วว่า คุณหนูสกุลไป๋ก็ไม่ต่างกับคุณหนูกู้ข้างจวนที่หลงไหลใบหน้าและท่าทางของคุณชายของเขาเข้าแล้ว
“มิได้แจ้งล่วงหน้าก่อนมาเยือนต้องขออภัย ข้าน้อยเพียงแค่เห็นว่าย้ายมาได้หลายวันแล้วยังไม่ได้แวะมาเพื่อคารวะอย่างเป็นทางการ”
“ไม่ต้องมากพิธีเช่นนั้น คุณชายเจียงเป็นขุนนางพิเศษที่ฝ่าบาทมอบหมายงานให้มีหรือข้าจะกล้าปฏิเสธ ว่าแต่ท่านมาจิ่งโจวหลายวันแล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เริ่มคุ้นเคยหรือยัง”
“โชคดีที่อากาศและสภาพความเป็นอยู่ ไม่ต่างจากเมืองหลวงมาก ข้าเริ่มปรับตัวได้แล้วขอบคุณที่ใส่ใจ”
“มิได้ ๆ ท่าเป็นตัวแทนฝ่าบาทเดินทางมาเยี่ยม ครั้งนี้ต้องต้อนรับให้ดีถึงจะถูก อ้อ ข้าลืมแนะนำท่านไปเลยนี่บุตรสาวคนโตของข้ามีนามว่าไป๋รั่วเวย”
“รั่วเวยคารวะคุณชายเจียงเจ้าค่ะ”
“คุณหนูไป๋ ยินดีที่ได้พบ”
หลังจากออกมาจากจวนเสนาบดีและขึ้นรถม้าไปแล้ว เจียงอี้หานจึงได้หันมาคุยกับองครักษ์ของเขา การพบปะขุนนางระดับสูงในวันนี้ เป้าหมายก็เพื่อได้สอดส่องบริเวณในจวนได้โดยพวกเขาไม่คิดสงสัย
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ท่านกล่าวเอาไว้ไม่ผิดคาดเลยขอรับ จวนท่านเสนาบดีผู้นี้ยังมีห้องลับอีกหลายห้องและยังมีชั้นใต้ดินอีกด้วยแต่ว่า…เวลาน้อยนักก็เลย…”
“ไม่เป็นไร ยังมีโอกาสอีกมาก”
“แล้วนี่คุณชายจะไปจวนสกุลหลิวต่อเลยหรือไม่ขอรับ”
“ไปสิ”
เย็นวันนั้น / จวนสกุลกู้
“ซีเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรลุกลี้ลุกลนพิกลเชียว ดูสิแมวโง่ของเจ้าสิ มันมองจนเวียนหัวแล้ว”
เสี่ยวจูหันไปมองใต้เท้ากู้ราวกับว่ารู้ว่าถูกต่อว่าเป็นแมวโง่ มันหันไปและกระโดดขึ้นไปนั่งตักเขาทันที
“เฮอะ เจ้านี่มันขี้ประจบสอพลอจริง ๆ เอาเด็กดีกินเสียสิ”
“ท่านพ่อ!! อย่าเอาปลาให้มันกินนะเจ้าคะ”
“อะไรกันเล่า แมวก็ต้องกินปลาสิใช่มั้ยเจ้าแมวอ้วนค่อย ๆ กินอย่าให้ก้างติดคออีกล่ะ เสียชาติเกิดหมด”
“คุณท่านขอรับ คุณชายเจียงมาขอพบขอรับ”
“มาแล้ว!!…เอ่อ ท่านพ่อ”
กู้เหว่ยหันมามองบุตรสาวที่ออกอาการดีใจจนเห็นได้ชัด แม้ว่าเขาจะพอรู้ว่ากู้ม่านซีมักจะแวะเวียนไปที่จวนข้าง ๆ นี้บ่อย ๆ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้
“เชิญคุณชายเจียงมาพบข้าที่ห้องหนังสือเถอะ”
“ท่านพ่อ ไม่นั่งที่โถงรับแขกหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเกี่ยวอะไรด้วยเขามาคารวะพ่อ”
“ท่านพ่อเจ้าคะ แขกมาที่เรือนย่อมต้องต้อนรับ พาคุณชายเจียงไปที่โถงรับแขกชั้นในแล้วบอกให้ป้าถังยกขนมออกมาได้แล้ว”
“ขอรับคุณหนู”
“นี่เจ้า…”
“ท่านพ่อต้องอย่าลืมชวนคุณชายเจียงกินข้าวด้วยนะเจ้าคะ”
“หา ทำไมต้องชวนกินข้าว เขาแค่แวะมาคารวะทักทาย”
“ท่านพ่อ คนอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันก็ต้องดูแลกันสิเจ้าคะ ท่านพูดกับข้าเองว่าให้แวะไปดูเขาบ่อย ๆ ดูสินี่ย้ายมาไม่กี่วันก็ต้องไปคารวะขุนนางจวนต่าง ๆ ช่างเหนื่อยนัก นี่ก็ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้วข้าจะไปสั่งให้คนเตรียมตั้งโต๊ะเลย”
“เดี๋ยวก่อนปัดโธ่ ไวยิ่งกว่าม้าเสียอีกนี่แค่อยากต้อนรับในฐานะเพื่อนบ้านจริงน่ะหรือ เฮอะ!!”
ห้องโถง
“ข้าน้อยเจียงอี้หานคารวะใต้เท้ากู้”
“คุณชายไม่ต้องเกรงใจเชิญนั่งเถอะ รินน้ำชา…”
“ข้าเอง ๆ นี่คุณชายเจียงวันนี้เป็นชาแบบใหม่ข้าพึ่งได้มาจากนอกเมือง คนขายบอกว่าเป็นชาในฤดูคิมหันต์แรกของเมืองเป่ยหยางเลยนะ ท่านลองชิมดู แล้วนี่ขนมผักกาดกินพร้อมกันจะยิ่งสดชื่น”
“อะแฮ่ม!! ซีเอ๋อร์….เจ้าบอกว่าเจ้าจะไปสั่งคนตั้งโต๊ะมิใช่หรือ”
“ข้าสั่งแล้วเจ้าค่ะ ชิมสิคุณชายเจียง ชานี่ต้องดื่มตอนร้อน ๆ นะ ข้าว่าจะแวะ…”
“ซีเอ๋อร์!! แมวของเจ้า…วิ่งไปโน่นแล้วรีบไปจับมันมาเร็วเข้า คนงานพึ่งจะทำความสะอาดคอกม้าเดี๋ยวมันก็โดนม้าเหยียบ”
“ตายจริงเหตุใดท่านไม่รีบบอกข้ากันเล่า คุณชายอีกเดี๋ยวค่อยกลับมาคุยด้วย ขอตัวก่อน เสี่ยวจู!!”