บทที่ 8 ได้โปรด อย่าขังฉันเลย
ทางฝั่งตะวันออกของโรงพยาบาลมีสะพานสายหนึ่ง เป็นทางที่เจียวจวิ้นเจี๋ยกลับไปแล้วต้องผ่าน
ทุกครั้งที่เลี้ยวไปยังสะพานสายนั้น เจียวจวิ้นเจี๋ยก็มักจะโชว์เท่หักเลี้ยวรถและสะบัดหางรถอย่างสมบูรณ์แบบ
ซูเนี่ยนเวยรู้ดีถึงนิสัยของเขา จึงไปซื้อตะปูขนาดกลางมาไม่กี่ดอก คำนวณเวลาเจาะเข้ายางรถยนต์ของเจียวจวิ้นเจี๋ยไว้อย่างแม่นยำ
เพราะต้องหลบซ่อนกล้องวงจรปิดเลยทำให้เสียเวลาไปมาก ตอนที่ซูเนี่ยนเวยกลับมาถึงคฤหาสต์ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
เธอนั่งอยู่บนโซฟา รู้สึกใจไม่ค่อยสงบ
ทั้งที่เรื่องในวันนี้หนีรอดมาได้แล้ว กลับรู้สึกเหมือนตัวเองตกหล่นอะไรไปสักอย่าง
ขณะเดียวกัน ในร้านบาร์ที่มืดสลัว มีอันธพาลคุกเข่ากันเกลื่อน
เฟิงหนานซิวนั่งพิงอยู่บนโซฟา บุหรี่หอมที่ถูกคีบไว้มอดดับแล้วทว่ากลับยังไม่ถูกสูบ ทั้งตัวเขาแผ่รังสีเย็นเยือก แววตาเย็นชา พลังรัศมีที่แข็งแกร่งกดดันทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์จนหายใจไม่ออก
เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่คล้ายคลึงกับเฟิงหนานซิวสามส่วนนั่งยองอยู่แถวหน้าสุดอย่างอัดอั้น พลางเหลือบมองเฟิงหนานซิวแวบหนึ่งเป็นครั้งคราว ยิ่งอยู่ยิ่งทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เมื่อก่อนตอนที่เขาทำผิด น้าของเขาดุเขาสองคำเรื่องก็ผ่านไปแล้ว ครั้งนี้แม้เขาจะล้ำเส้นเกินไปหน่อย ทว่าถูกทำโทษมาครึ่งชั่วโมงก็น่าจะพอแล้ว
“คุณน้า!”
“หุบปาก” เฟิงหนานซิวส่งสายตามาให้ทีหนึ่ง
พวกอันธพาลที่อยู่ด้านหลังสะดุ้ง เมื่อกี้พวกที่ยังเรียกพี่ขานน้องกับเฟิงชิงอวี่ ตอนนี้ก็แทบจะอยากบีบคอเขาให้ตายไปซะ
ชมดวงจันทร์กันเงียบๆไม่ดีหรือไง? ทำไมต้องยั่วโมโหยมราชคนนี้ด้วย?
ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้าหมอนี่มีความสัมพันธ์กับเฟิงหนานซิวที่มีชื่อเสียงโด่งดัง งั้นต่อให้ถูกตีจนตายพวกเขาก็ไม่มีทางมาข้องเกี่ยวด้วยแน่ ๆ
เฟิงชิงอวี่เองก็สะดุ้งตกใจ สัญชาตญาณกำลังบอกเขา ว่าวันนี้น้าเขาไม่ค่อยปกติ
เขามองไปที่ฉินเจิงอย่างขอความช่วยเหลือ
ฉินเจิงยักไหล่อย่างไม่มีทางเลือก แผ่นหลังเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่ออยู่ในห้องที่ไม่ค่อยอบอุ่น ก็รู้สึกหนาวเย็นจนตัวสั่น
เขาเองก็เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ว่าคุณหญิง......
ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี ฉินเจิงกดรับสายเหมือนคว้าฟางช่วยชีวิต
“เฮียเฟิง คนขับรถบอกว่าไฟของคฤหาสต์สว่างอยู่ คุณหญิงน่าจะกลับไปแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเบา
เฟิงหนานซิวเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง พลันกดนิ้วที่ก้นบุหรี่ ราวกับดับมอดกลิ่นอายแห่งความตายในห้องนี้
ทุกคนต่างถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
“คุณน้า” เฟิงชิงอวี่ลุกขึ้นยืน พูดประจบว่า “ผมไปได้แล้วใช่ไหมครับ?”
เฟิงหนานซิวไม่มีกะจิตกะใจมาสนใจเขา เขาก้าวเดินไปยังประตูจึงจะชะงัก พูดเสริมว่า “ให้เขาทำความสะอาดคฤหาสน์เก่าสามรอบ ทั้งคืน”
แน่นอนว่าประโยคนี้ย่อมสั่งฉินเจิง
เฟิงชิงอวี่ได้ยินดังนั้นก็โอดครวญ
“ผู้ช่วยฉิน คุณน้ากินระเบิดมาหรือเปล่า เขารู้ไหมว่าคฤหาสน์เก่าใหญ่ขนาดไหน?”
คฤหาสต์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลินก็คือของตระกูลเฟิง ถ้าไม่นับสนามหญ้าและสวนดอกไม้ที่ไม่ต้องขัดถู ก็น่าจะมีห้าพันตารางเมตร ถ้าต้องนับพื้นที่ภายในบ้านอีก......
เฟิงชิงอวี่แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
ฉินเจิงปวดหัวกว่าเขาเสียอีก
ในเมื่อเฮียเฟิงสั่งมาแล้ว ก็แปลว่าเขาต้องสังเกตการณ์ ซ้ำยังไม่รู้อีกว่าต้องทำความสะอาดกี่คืน
“ไปกันเถอะ ใครสั่งให้คุณชายน้อยสร้างปัญหาตอนเฮียเฟิงอารมณ์ไม่ดีกันล่ะ”
ซูเนี่ยนเวยรู้ว่าเรื่องในวันนี้ต้องทำให้เฟิงหนานซิวไม่สบอารมณ์แน่ ๆ เธอจึงไม่กล้าไปนอน และนั่งนอนรออยู่บนโซฟา
ในขณะที่เธอสะลืมสะลือจนใกล้จะหลับแล้ว เฟิงหนานซิวก็จึงจะกลับมาด้วยสีหน้าเย็นชา
“กลับมาแล้วเหรอ?”
เธอมองข้ามโทสะในแววตาของชายหนุ่มโดยอัตโนมัติ
“หิวแล้วสินะ?” เธอลูบท้องตัวเอง “เพื่อรอนายฉันยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ท้องร้องแล้ว”
“น่าเสียดายที่คุณป้าเลิกงานแล้ว นายอยากกินอะไร? เหมือนฉันจะทำเป็นแค่ต้มเส้น”
อันที่จริงเมื่อชาติก่อน เพื่อเอาใจเจียวจวิ้นเจี๋ย ซูเนี่ยนเวยเคยเรียนทำอาหารและมีฝีมือที่ดี ตอนนี้จู่ ๆมาโชว์ฝีมือ ก็จะชวนสงสัยได้ง่ายๆ จึงทำได้เพียงต้องทนไปก่อน
ซูเนี่ยนเวยกำลังคิดวิธีการทำเมนูเส้นที่ทั้งง่ายและอร่อย ไม่สังเกตเห็นแววตาร้อนแรงของชายหนุ่มที่กำลังจ้องเธอเลยสักนิด
เฟิงหนานซิวเม้มปาก ปราการน้ำแข็งภายในใจถูกท่าทางแม่ศรีเรือนนี่ของเธอละลายลงชั้นแล้วชั้นเล่า
บ้านหนึ่งหลัง คนสองคน อาหารสามมื้อ สี่ฤดูกาล มีคนจูงมือดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน มีคนคอยถามว่าข้าวอุ่นหรือเปล่า
นี่คือภาพแรกที่ปรากฏขึ้นในหัวเขาตอนที่เขาพบเจอเธอครั้งแรกที่โรงพยาบาล ตอนนี้จู่ ๆก็กลายเป็นจริง จะไม่ให้เขาลุ่มหลงได้อย่างไร?
เพียงแต่น่าเสียดาย เรื่องดีๆทั้งหมดนี้ต่างถูกกลบฝังอยู่ภายใต้ความหลอกลวง
เธอก็ยังคงลืมผู้ชายคนนั้นไม่ลง แม้จะสามารถเล่นละครต่อหน้าเขาได้ตามที่ใจสั่งแล้ว
“ซูเนี่ยนเวย”
เฟิงหนานซิวก้าวเดินไปหาเงาร่างที่บอบบางนั่นโดยไร้ความลังเล ก่อนจะดันเธอติดข้างประตูห้องครัว
“เธอยังจะเล่นละครกับฉันไปจนถึงเมื่อไหร่? หรือเธอยังมีเป้าหมายที่ยังทำไม่สำเร็จงั้นเหรอ? ที่ดินแปลงนั้นยังไม่พอใช่หรือเปล่า? เอกสารที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเฟิงซื่อก็อยู่ในตู้นิรภัย รหัส......”
“ฉันไม่ฟัง!” ซูเนี่ยนรีบปิดหูตัวเอง
น้ำเสียงแหบพร่าของชายหนุ่ม ราวกับแฝงซ่อนความเจ็บปวดที่ยังคงหลงเหลือจากการบาดเจ็บสาหัส คำถามที่พรั่งพรูออกมาแต่ละข้อราวกับมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงซูเนี่ยนเวย
เธอรู้ว่าเรื่องที่โรงพยาบาลได้ทำร้ายเขาแล้ว
ทว่าเธอไม่อยากนึกถึงเรื่องโง่เขลาที่ตัวเองเคยทำมาก่อน ยิ่งไม่อยากเห็นเฟิงหนานซิวชี้รอยแผลที่เธอสร้างขึ้นมากับมือเองให้เธอดู
“ไม่ฟัง?”
“ไม่ฟัง ฉันไม่ฟัง” ซูเนี่ยนเวยพยักหน้ารัวๆเหมือนบ้าคลั่ง “เฟิงหนานซิว ได้โปรด อย่าพูดเลย ฉันไม่อยากรู้ ฉันเองก็ไม่อยากทำร้ายนาย เรื่องเมื่อตอนเย็นคือเรื่องเข้าใจผิด ฉันอธิบายได้ จริงๆนะ ฉันสามารถอธิบายให้ชัดเจน”
“เหอะ!”
เสียงแค่นยิ้มเสียดสีดังขึ้นเหนือศีรษะ เย็นชาจนซูเนี่ยนเวยตัวสั่นสะท้าน
“เชื่อฉัน เฟิงหนานซิว เชื่อฉัน”
ซูเนี่ยนเวยตาแดงก่ำ ในปากเหลือเพียงเสียงพึมพำที่แผ่วเบา
สิ่งที่ตอบสนองเธอ กลับมีเพียงความเงียบสงัดในห้องโถง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิงหนานซิวจึงจะปริปากราวกับจะตัดสินโทษใหม่ของเธอ
“เวยเวย เฝ้าอยู่ที่นี่ ฉันก็จะเชื่อเธอ”
เฝ้าอยู่ที่นี่!
ทันใดนั้น เธอก็พลันนึกถึงช่วงเวลาไม่กี่เดือนนั้นในชาติก่อนที่ถูกเขาขังไว้ในคฤหาสต์ ไม่มีคน ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีโทรศัพท์ กระทั่งไม่สามารถก้าวออกจากประตูห้องได้แม้เพียงครึ่งก้าว
เขาบอกว่าเขาจะไม่ให้แสงสว่างแก่เธออีก จะไม่ให้อิสระแก่เธออีก
เขาบอกว่า เวยเวย ถึงแม้ต้องลงนรก ฉันก็จะพาเธอไปด้วย
นั่นคือครั้งแรก และเป็นเพียงครั้งเดียว ที่เฟิงหนานซิวไร้ซึ่งความอดทนกับเธอ ไร้ซึ่งการตามใจ ไร้ซึ่งการเชื่อฟัง
เธอไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว
กลับมาเกิดใหม่อีกชาติ เธอต้องการเพียงยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างไร้มลทิน
เฟิงหนานซิวมองความสับสนและแววต่อต้านในสายตาเธอออก พลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจอ่อนเล็กน้อย กำลังจะเดินเข้าไปใกล้ ทว่าซูเนี่ยนเวยกลับวิ่งเข้าไปในห้องครัวเหมือนคลุ้มคลั่ง
“ได้โปรด อย่าขังฉันเลย”
ซูเนี่ยนเวยผวาจนสติเลื่อนลอย ถอยไปยังข้างเตาครัวโดยรู้ตัว
น้ำที่ต้มไว้ยังคงเดือดอยู่ มีน้ำหยดลงบนข้อมือซูเนี่ยนเวยไม่กี่หยดเป็นบางครั้ง ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกอะไร
“เวยเวย!”
เฟิงหนานซิวไล่ตามเธออย่างร้อนรน
ซูเนี่ยนเวยถอยหลังไปอย่างตื่นกลัว ห้องครัวตกอยู่ในสภาพภาพยุ่งเหยิงในพริบตา
วินาทีที่กาต้มน้ำหล่นลงมา เฟิงหนานซิวก็ดึงซูเนี่ยนเวยมาโอบไว้ในอ้อมกอด
ทว่าคอของเธอก็ยังรู้สึกเจ็บมากอยู่ดี แขนเองก็เหมือนถูกของร้อนลวกจนสุก เฟิงหนานซิวต้องเจ็บกว่าแน่ ๆ
“เฟิงหนานซิว นายเป็นยังไงบ้าง? ลวกโดนตรงไหนหรือเปล่า?”
“ฉันไม่เป็นไร”
ซูเนี่ยนเวยไม่เชื่อ พลันขัดขืนในอ้อมกอดของเฟิงหนานซิวสุดแรง
“เวยเวย ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไรจริงๆ” เฟิงหนานซิวเจ็บจนขมวดคิ้ว ทว่าก็ยังคงฝืนทนอารมณ์พูดปลอบเธอ “เด็กดี ทนไว้นะ ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”
พาเธอไปล้างน้ำเย็นเสร็จ เฟิงหนานซิวก็จึงจะเดินไปเอารถไปพลาง โทรให้ฉินเจิงนัดหมอไปพลาง
เพิ่งโทรติด เสียงของฉินเจิงก็ดังขึ้นอย่างร้อนรน
“เฮียเฟิง ผมกำลังจะโทรหาคุณพอดีเลย โรงพยาบาลมีเรื่องแจ้งมาว่า เจียวจวิ้นเจี๋ยประสบอุบัติเหตุเพราะยางรถยนต์รั่ว เหมือนว่า......คุณหญิงจะเป็นคนจงใจเจาะยางตอนที่กลับไปโรงพยาบาลเมื่อเย็นนี้ บางทีเราอาจจะเข้าใจคุณหญิงผิดแล้วครับ”