บทที่ 7 จบแล้ว ครั้งนี้คุณหญิงจบแล้ว!
เมื่อเห็นซูเนี่ยนเวยเผยสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย ชายหนุ่มก็เผลอปล่อยมือออก
ซูเนี่ยนเวยรีบชักมือออกมาสะบัดทันที
เธอเจ็บมือมากจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้กินอะไรโตกันแน่ ถึงได้แรงเยอะขนาดนี้
เฟิงหนานซิวมองมือที่ว่างเปล่าของตัวเอง พลันรู้สึกสลดเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่าง
เธอร้อนรนที่จะขีดเส้นแบ่งกับเขาต่อหน้าผู้ชายคนนั้นขนาดนี้เชียวเหรอ?
จากนี้ไปจะทำอะไรต่ออีก? จะวิ่งไปกอดผู้ชายอีกคนอย่างอดใจรอไม่ไหวงั้นเหรอ?
ดวงตาดำขลับดุจน้ำหมึก ภายใต้ความมืดมนซ่อนไฟโทสะที่กำลังเดือดพล่าน ประหนึ่งสัตว์ร้ายที่เปล่งเสียงคำรามกำลังกล้ำกลืนความต้องการล่าเหยื่อของตัวเอง
จนในที่สุด เขาก็ไม่อาจกล้ำกลืนไว้ได้อีกแล้ว
“ซูเนี่ยนเวย” น้ำเสียงทุ้มต่ำไร้ซึ่งอุณหภูมิ
ทั้งลานจอดรถราวกับตกอยู่ในความหนาวเหน็บ เย็นเฉียบจนตัวสั่นสะท้าน
เฟิงหนานซิวโกรธจริงๆแล้ว
ชาติก่อนตอนที่เห็นโหมดแบบนี้ของเขา ซูเนี่ยนเวยหวาดกลัวจนแทบตาย ทว่าตอนนี้เธอกลับรู้สึกหัวใจอุ่นวาบ
“เอาน่า”
น้ำเสียงหยดย้อยระคนออดอ้อน ซูเนี่ยนเวยก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะจูงมือและประสานนิ้วมือกับเฟิงหนานซิวอีกครั้ง
ทันใดนั้น หัวสมองของเฟิงหนานซิวพลันว่างเปล่า
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ ไม่เหมือนกับที่เขาคาดคิด เขาถึงขั้นคิดเอาไว้แล้ว ว่าถ้าหากซูเนี่ยนเวยอาละวาดที่นี่ งั้นเขาก็จะจับเธอขึ้นรถทีเดียว
เจียวจวิ้นเจี๋ยเห็นดังนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
โดยเฉพาะเมื่อเห็นเฟิงหนานซิวกลับมานิ่งสงบดังเดิมเพราะการกระทำเล็กๆของซูเนี่ยนเวย ในใจของเขาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด
แท้จริงแล้วซูเนี่ยนเวยมีใบหน้าที่งดงามมากๆ มีเสน่ห์เย้ายวนชวนมอง สะกดสายตาจนเพียงพอที่จะทำให้คนลุ่มหลงจนเสียสติ หากไม่ใช่งานราตรีครั้งนั้น เขาหลงใหลในเสียงเปียโนของซูเสวี่ยอวิ่น บางทีเขาก็อาจจะใจเต้นกับผู้หญิงคนนี้
“เวยเวย ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” เจียวจวิ้นเจี๋ยอดปริปากไม่ได้
เขาสามารถแสร้งสวมบทเป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษที่สุดในโลกได้ ชาติก่อนซูเนี่ยนเวยก็ถูกดวงตาที่อ่อนโยนคู่นี้ของเขาหลอกลวง
ทว่าตอนนี้ เธอเห็นแล้วก็รู้สึกขยะแขยง
หญิงสาวไม่ได้เดินมาหาเขา นี่ทำให้เจียวจวิ้นเจี๋ยรู้สึกร้อนรนใจเล็กน้อย
เขาตีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยว่า “ถ้ายังไม่มา เดือนนี้เธอก็จะไม่ได้เจอฉันอีกแล้ว”
แต่ก่อน เพียงแค่เขาขมวดคิ้ว ซูเนี่ยนเวยก็จะตอบตกลงทุกความต้องการของเขาอย่างว่านอนสอนง่าย ตอนนี้เขาจงใจตีหน้าเคร่งขรึม ในใจซูเนี่ยนเวยต้องรู้สึกร้อนรนมากแน่ ๆ
เมื่อเห็นว่าเธอเดินมาทางนี้อย่างที่คาดคิด เจียวจวิ้นเจี๋ยก็รู้สึกได้ใจถึงขีดสุด ถึงขั้นส่งสายตาท้าทายให้เฟิงหนานซิว
ซูเนี่ยนเวยยืนอยู่ตรงหน้าเขา แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“ถ้าไม่ได้เจอนายไปตลอดชีวิตฉันจะรู้สึกมีความสุขมากๆ ขยะอย่างนายที่หน้าตาขยะแขยง น้ำเสียงก็ชวนสะอิดสะเอียน ใครอยากมองนายกัน?”
ข้างกายเธอยังมีผู้ชายหล่อเหลาไร้ที่ติอยู่ทั้งคน เธอยังจะสนใจหมอนี่อีกทำไม?
“คนสารเลว อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย?”
พูดมาถึงสุดท้าย เจียวจวิ้นเจี๋ยก็ดึงมือเธอไว้อย่างแข็งกร้าว ซูเนี่ยนเวยถึงขั้นง้างมือตบหน้าเขา จากนั้นก็จูงเฟิงหนานซิวขึ้นรถอย่างรวดเร็ว
ฉินเจิงตกใจกับภาพตรงหน้าจนเหม่อ
เขานึกว่าจะได้เห็นฉากที่ซูเนี่ยนเวยทารุณเฮียเฟิงซะอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลับตาลปัตรแบบนี้
หรือว่า......คุณหญิงจะกลับใจแล้วจริงๆงั้นเหรอ?
เขาตกอยู่ในภวังค์ตัวเอง จนแม้ซูเนี่ยนเวยจะเร่งให้เขาขับรถเขาก็ไม่ได้ยิน
ซูเนี่ยนเวยกลอกตาบนใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ
“ฉินเจิง ขับรถ นายหูหนวกหรือไง?”
ฉินเจิงอัดอั้นตันใจ พลันถามความเห็นเฟิงหนานซิวเสียงอ่อนว่า “เฮียเฟิง?”
อันที่จริงเขาอยากฟ้องเรื่องที่ซูเนี่ยนเวยด่าเขามากกว่า แต่เขาก็รู้ดี เมื่อเทียบกับซูเนี่ยนเวยแล้ว เขาเทียบตดยังไม่ติดเลยด้วยซ้ำ
เฟิงหนานซิว “ขับรถ”
ไม่แม้แต่จะมองฉินเจิง เฟิงหนานซิวจดจ้องซูเนี่ยนเวยอย่งจดจ่อ หลงใหลในกิริยาสีหน้าที่มีชีวิตชีวาของเธอ
แต่ก่อนเขาเคยตายใจแล้วด้วยซ้ำ ถึงขั้นเคยคิด ว่าตราบใดที่ซูเนี่ยนเวยยอมอยู่ข้างกายเขา งั้นเรื่องบางเรื่อง เขาก็สามารถลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งได้
ทว่าตอนนี้ เหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว
มือเรียวยาวลูบหัวซูเนี่ยนเวยเบาๆ แต่ละทียิ่งอยู่ยิ่งอ่อนโยน ราวกับกำลังปฏิบัติกับสมบัติล้ำค่าที่ต้องเฝ้ารอมาเนิ่นนานนับพันปีถึงจะตกมาอยู่ในมือได้
ซูเนี่ยนเวยคือพิษของเขา ทว่าก็เป็นยาที่ช่วยชีวิตของเขา เสพติดจนยากที่จะเลิกรา
หากทุกสิ่งทุกอย่างในสองวันนี้เป็นเพียงละคร งั้นเขาหวังว่าละครนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เฟิงหนานซิวหลับตาลง มุมปากแต้มรอยยิ้มที่น่ามอง
เวยเวย ครั้งนี้ ฉันไม่อาจปล่อยมือไปได้แล้วจริงๆ
ซูเนี่ยนเวยไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเฟิงหนานซิวเลยแม้แต่น้อย สายตาเธอจับจ้องนอกหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว เธอก็จึงจะถอนหายใจโล่งอก
“เฮ้อ ยังดีที่หนีออกมาแล้ว”
“หนี?” ชายหนุ่มถามเสียงทุ้มต่ำ
ซูเนี่ยนเวยมองเขาแวบหนึ่ง “นายไม่เห็นเขาสูงกว่าฉันตั้งครึ่งหัวเลยเหรอ? ถ้าไม่รีบหนีออกมา เกิดสมมติว่าเขาโกรธจนต่อยฉันขึ้นมาจะทำยังไง?”
นั่นคงจะเจ็บมากแน่ ๆ
เฟิงหนานซิวประหลาดใจ ไม่ว่ายังไงก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเหตุผลแบบนี้ เห็นหญิงสาวไม่เหมือนกำลังเสแสร้ง ก็พลันโอบคนเข้ามาในอ้อมกอด
“เขาไม่กล้า”
อันที่จริงซูเนี่ยนเวยไม่ได้เตี้ย ทว่าตอนนี้เธอกลับถูกเฟิงหนานซิวโอบล้อมไว้ใยอ้อมกอดโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกปลอดภัยที่ก่อตัวขึ้นในใจทำให้เธอตาแดงก่ำ หยดน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา
ชาติก่อนก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าเธอจะสร้างปัญหาและอาละวาดยังไง ด้านหลังเธอก็จะมีเขาคอยกั้นลมหลบฝนให้เสมอ
ทั้งที่เฟิงหนานซิวยืนอยู่บนยอดพีระมิดของสังคมชนชั้นสูง เป็นผู้นำตระกูลเฟิงที่มีอำนาจมองข้ามทุกสิ่ง เป็นยมราชบนดินที่กินคนไม่คายกระดูกในวงการธุรกิจ เธอเป็นเพียงลูกสาวตระกูลร่ำรวยธรรมดาที่ครอบครัวไม่รัก มีสิทธิ์อะไรมาเหิมเกริมก้าวร้าวต่อหน้าเขากัน?
หรืออาจเป็นเพราะบางทีในใจลึกๆของเธอปักใจเชื่อว่าเขารักเธอจนโงหัวไม่ขึ้น รู้ดีว่าในมือตัวเองมีเดิมพันอะไร
สิ้นเสียง บรรยากาศภายในรถตกอยู่ในความเงียบสงัดครู่หนึ่ง จากนั้นก็อ่อนโยนละมุนขึ้นโดยสิ้นเชิง
“ถือว่าไม่โง่”
น้ำเสียงทุ้มต่ำและอ่อนโยนของชายหนุ่มดังลอดจากเหนือศีรษะเข้ามาในโสตประสาทหู ซูเนี่ยนเวยรู้สึกเพียงจักจี้ที่หัวใจ ทั้งที่ไม่ได้ดื่มเหล้า แต่กลับรู้สึกเมาเล็กน้อย
“อืม ไม่โง่” จากนี้ไปจะไม่โง่อีกแล้ว
ทั้งสองคนกำลังตกอยู่ในบรรยากาศหวานแหวว ทว่าจู่ ๆโทรศัพท์ด้านหน้าก็พลันดังขึ้น
ฉินเจิงสะดุ้งตกใจจนหัวใจแทบวาย พลันรีบกดรับสายทันที ไม่นานก็จอดรถที่บริเวณปลอดภัยด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะหันกลับไปมองเฟิงหนานซิว
“เฮียเฟิง นายน้อยเฟิงก่อปัญหาอีกแล้วครับ”
เฟิงหนานซิวเผยแววตาหม่นแสงลง
ซูเนี่ยนเวยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาโมโหแล้ว
เฟิงชิงอวี่เป็นลูกของพี่สาวเขาที่ท้องก่อนแต่งและเสียชีวิตตตอนคลอด แม้จะเป็นคุณชายที่ทำเรื่องเลวร้ายมานับไม่ถ้วน ทว่านายท่านเฟิงกับเฟิงหนานซิวกลับให้ความสำคัญกับเขามากๆ
“ถ้านายมีธุระก็ไปทำก่อนเถอะ ฉันโบกรถกลับบ้านเองได้”
ซูเนี่ยนเวยออกมาจากอ้อมกอดเขา ก่อนจะลงจากรถไปเอง
เฟิงหนานซิวไม่ปฏิเสธ เขาปิดประตูรถ แล้วให้ฉินเจิงโทรเรียกคนขับรถที่บ้านมารับซูเนี่ยนเวย
ซูเนี่ยนเวยมองดูรถที่ค่อยๆจากไปไกล จากนั้นก็หันกลับมองโรงพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง
ไม่ว่ายังก็รู้สึกเจ็บใจเล็กน้อยอยู่ดี
ทำร้ายเธอมาทั้งชีวิต แต่เธอกลับเอาคืนเจียวจวิ้นเจี๋ยแค่ฝ่ามือเดียว เธอจิปากเล็กน้อย......
สมองยังไม่ทันประมวลผลเสร็จ ร่างกายของซูเนี่ยนเวยก็เคลื่อนไหวหันกลับไปแล้ว
ภายในรถ บรรยากาศกดดันจนถึงขีดสุด ฉินเจิงกับเฟิงหนานซิวต่างไม่มีใครพูดอะไร
จนกระทั่งเสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขัดความเงียบสงัดในรถ
ฉินเจิงรับสาย พลันสะดุ้งทีหนึ่งอย่างควบคุมไม่ได้
“เฮียเฟิง” ฉินเจิงกลืนน้ำลาย ไม่ค่อยกล้าพูดมากนัก
“ตอนที่คนขับรถไปถึง คุณหญิงก็ไปแล้ว เหมือนว่า......จะกลับไปที่โรงพยาบาล”
แทบจะขณะเดียวกันกับที่เขาพูดจบ หลังคอเขาก็รู้สึกเย็นวาบ เย็นจัดจนเส้นเลือดเขาเริ่มรู้สึกเจ็บ
ไฟที่กลบซ่อนไว้ใต้ผืนหิมะแผดเผาโชติช่วง เฟิงหนานซิวหรี่ตาลง ดวงตาเผยแววอันตราย
“เอาตัวกลับมาซะ”
นี่เป็นคำที่น่ากลัวที่สุดที่ฉินเจิงเคยฟังมาแน่ ๆ
หัวสมองเขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
จบแล้ว ครั้งนี้คุณหญิงจบแล้ว!