บทที่ 6 ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ
ซูเนี่ยนเวยเองก็ไม่คิดว่าจะเจอเฟิงหนานซิวที่นี่ พลันลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
เฟิงหนานซิวหันศีรษะ
เห็นเพียงหญิงสาวแม้จะสวมเสื้อนวมกันหนาว ทว่ายืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายเธอกลับดูผอมบอบบางมากเป็นพิเศษ น่าเสียดาย ที่คนในห้องไม่มีใครแคร์เธอเลยสักคน
นึกถึงท่าทางเมื่อกี้นี้ของคนพวกนี้ที่ปฏิบัติตัวกับเธอ เขาพลันรู้สึกปวดใจ รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมารอบตัวก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ซูเนี่ยนเวยไม่รู้ว่าเขาโกรธซูเจี้ยนเฉิงหรือโกรธเธอ ทว่าสุดท้ายก็ยังคงพูดอธิบายอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ฉัน เพิ่งตัดสินใจกะทันหันว่าจะมาน่ะ”
ประโยคนี้เองก็ทำให้ซูเสวี่ยอวิ่นที่อยู่บนเตียงหาจังหวะได้พอดี
เธอจำได้ว่าทุกครั้งที่ซูเนี่ยนเวยทำให้เฟิงหนานซิวโกรธก็จะถูกกักขังไม่กี่วัน ครั้งนี้ต้องยังไม่ถึงวันนั้นแน่ ๆ
“คุณเฟิง” ซูเสวี่ยอวิ่นปริปากเอ่ยด้วยท่าทีอ่อนแอว่า “คุณอย่าโทษพี่เลยนะคะ จะโทษก็โทษฉันเถอะ ฉันก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร แต่ว่าเธอ......”
เจ้าเล่ห์ชะมัด!
ซูเนี่ยนเวยถลึงตาใส่เธอ พลางกัดฟันกรอดจนฟันแทบแหลก
แสร้งทำเป็นว่าอธิบายแทนเธอ แต่ในความเป็นจริงกลับกำลังบอกเฟิงหนานซิวว่าเธอดึงดันออกมาโดยไม่แยแสคำห้ามปราม เฟิงหนานซิวที่นึกว่าในใจเธอมีผู้ชายอีกคนจะคิดยังไง?
เธอมองเฟิงหนานซิวอย่างตื่นเต้น พยายามเบิกตาไว้ หวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นความจริงใจที่อยู่ในแววตาของเธอ
เฟิงหนานซิวเผยสีหน้าไร้ความรู้สึก แววตาหม่นแสงน่าสะพรึงกลัวกว่าตอนไหน ๆ
ซูเนี่ยนเวยรู้สึกเสียวสันหลังเย็นวาบ
ซูเจี้ยนเฉิงเพิ่งถูกกระแทกเท้า ในใจกำลังรู้สึกอัดอั้น เมื่อเห็นสีหน้าของเฟิงหนานซิวถมึงทึงหนักกว่าเดิมเพราะคำพูดของซูเสวี่ยอวิ่น ก็ย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสที่จะได้สั่งสอนซูเนี่ยนเวยไปอยู่แล้ว
“คุณเฟิง ผมรู้ว่าลูกสาวคนนี้ของผมแย่ไม่เข้าท่าจริงๆ แต่คุณวางใจเถอะครับ ผมจะสั่งสอนเธอดีๆอย่างแน่นอน ถ้าคุณไม่เกี่ยง ก็ให้ผมพาเธอกลับตระกูลซูก่อนจะดีกว่า สามเดือน หลังจากสามเดือนผมจะคืนซูเนี่ยนเวยที่ว่านอนสอนง่ายให้คุณแน่ ๆ”
ถ้าซูเนี่ยนเวยถูกเขาพากลับไป อย่าว่าแต่ทรัพย์สินห้าพันล้าน แม้กระทั่งอีกห้าพันล้านที่เหลือก็จะกลายเป็นของซูเสวี่ยอวิ่นแน่ ๆ
ซูเนี่ยนเวยจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไรอยู่ เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจมาโต้เถียงเขา ทั้งใจเธอสนใจแต่เฟิงหนานซิวเพียงคนเดียว
เฟิงหนานซิวมองความร้อนรนที่ซ่อนในแววตาของหญิงสาว เขาหรี่ตาลง ราวกับว่าจะมองเข้าไปในจิตใจเธอผ่านดวงตาคู่นี้
เนิ่นนาน จึงจะเอ่ยปากว่า “คนของผม คุณมีสิทธิ์อะไรพาเธอไป?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มเสมือนสายลมเย็นเฉียบของขั้วโลกเหนือที่บาดหูซูเจี้ยนเฉิง ทิ้งบาดแผลที่ไร้รูปร่าง
ซูเจี้ยนเฉิงยังนึกว่าตัวเองหูฝาด จนกระทั่งปะทะกับสายตาแหลมคมดุจเหยี่ยวของชายหนุ่ม จึงจะรู้สึกตัวด้วยอาการสั่นเทา
เซลล์ในร่างกายประหนึ่งหวาดผวาจนเกือบตายไปครึ่ง เขาลืมไปได้ยังไงว่าคนตรงหน้าคือยมราชที่น่าเกรงขามในวงการธุรกิจ แค่ขยับนิ้วก็สามารถบดขยี้เขาตายได้
แม้จะไม่พอใจ ทว่าซูเจี้ยนเฉิงเองก็เม้มปากไม่กล้าพูดอะไรอีก
ส่วนซูเจิ้งหนานกับเสิ่นหลานจือก็หลบหนีไปไกลนานแล้ว
เหมือนว่าเฟิงหนานซิวเองก็ไม่คิดจะจบง่ายๆแบบนี้ “คุณซู ตอนนั้นที่ตระกูลเฟิงมอบสินสอดให้ คุณลืมไปแล้วงั้นเหรอ ว่าเคยพูดอะไรไว้บ้าง?”
สิ้นเสียง ความกดดันที่หนักอึ้งดุจภูเขาใหญ่ก็กดทับซูเจี้ยนเฉิงจนแทบหายใจไม่ออก
เขาเคยบอกว่า ถ้าเพิ่มอีกยี่สิบล้าน จากนี้ไปลูกสาวคนนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอีก
เห็นเขานึกขึ้นมาได้แล้ว เฟิงหนานซิวก็เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ก่อนจะจูงมือหญิงสาวไปข้างนอก ทว่าพอถึงตรงประตูก็ชะงัก
“คนเราถ้าไม่รักษาคำพูด ก็จะต้องชดใช้การกระทำของตัวเอง”
จากนั้น ก็เห็นเฟิงหนานซิวคุยโทรศัพท์ พูดว่า “ยกเลิกความร่วมมือทั้งหมดระหว่างเฟิงซื่อและตระกูลซู”
ทั้งหมด!
“คุณเฟิง คุณอย่า......” ซูเจี้ยนเฉิงถึงกับเข่าอ่อน
เขาวิ่งตามออกไป ทว่าคนกลับเดินไปไกลแล้ว
“จบแล้ว คราวนี้จบเห่ลงทั้งหมดแล้ว”
ตระกูลซูสามารถพยุงตัวเองไว้ได้ ทั้งหมดนี้ต่างพึ่งพาอาศัยเงินช่วยเหลือของเฟิงซื่อในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ถ้าหากเฟิงหนานซิวหยุดชะงักความร่วมมือ งั้นตระกูลก็ไม่อาจยืนหยัดได้ถึงหนึ่งเดือนด้วยซ้ำ
ซูเจิ้งหนานกับเสิ่นจือหลานเองก็รู้ว่าเรื่องใหญ่โตแล้ว พลันอดมองหน้าสบตากันไม่ได้
ซูเสวี่ยอวิ่นกัดฟัน ทั้งหัวสมองกำลังคิดถึงเมื่อกี้นี้ที่เฟิงหนานซิวอ่อนโยนกับซูเนี่ยนเวย
เธอไม่ได้ชอบเฟิงหนานซิว แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจทนเห็นมีผู้ชายปกป้องยัยคนต่ำทรามนั่น
ซ้ำยังเป็นผู้ชายที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเงินและอำนาจ
ยัยคนต่ำทรามนั่นไม่คู่ควร!
ตั้งแต่ที่เฟิงหนานซิวจูงซูเนี่ยนเวยเดินมาขึ้นลิฟต์ สายตาของเธอก็จดจ้องไปยังนิ้วมือที่สอดประสานกันของทั้งคู่มาตลอดทั้งทาง
มือของเขาเรียวยาวขาวผ่อง ไม่เหมือนมือของผู้ชายเลยสักนิด ทว่าพอจับแล้วกลับรู้สึกปลอดภัยอย่างเหนือความคาดหมาย
เหมือนว่าสายตาของซูเนี่ยนเวยร้อนแรงเกินไป เฟิงหนานซิวจึงหันมามองเธอ แววตายังคงเย็นชาดุจน้ำแข็ง ทว่า ณ ตอนนี้กลับมีแสงประกายซ่อนไว้
“คุณเฟิง” ซูเนี่ยนเวยเขย่งเท้าขึ้น ก่อนจะเอ่ยที่ข้างหูเขาว่า “มีคนเคยบอกคุณหรือเปล่า ว่าตอนที่คุณมองฉันอย่างจริงจังนั้นหล่อมากๆ?”
ลมหายใจเบาหวิวพัดผ่านใบหู เฟิงหนานซิวชะงัก ไม่พูดอะไร
ณ วินาทีนี้ ในสายตาของเขา หัวใจของเขา สมองของเขามีแต่ดวงตางดงามที่เปล่งประกายดุจดวงดาว ในดวงตาดำขลับนั่นมีเงาของเขา มีเพียงเขาเท่านั้น
เห็นว่าเขาแม้จะไม่พูด แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะโกรธ ซูเนี่ยนเวยก็จึงจะรู้สึกโล่งใจ
เพียงแต่ก็ไม่ลืมที่จะประจบประแจงต่อ
“นายไม่รู้ว่าเมื่อกี้ตอนที่นายบุกเข้ามาช่วยฉัน นายเหมือนเทพบุตรที่ลงมาจากสวรรค์เลย น่าเสียดาย......”
ในที่สุดชายหนุ่มก็ปริปาก
“น่าเสียดายอะไร?”
“น่าเสียดายที่ประตูพังแล้ว ไม่งั้นฉันจะขนกลับไปเป็นของที่ระลึกแน่ ๆ”
เฟิงหนานซิวขมวดคิ้ว “ของที่ระลึก?”
“ก็ต้องเป็นของที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่นายได้เป็นอัศวินขี่ม้าขาวอยู่แล้ว”
ซูเนี่ยนเวยผ่อนคลายลง มือเลื่อนไปกอดแขนของชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว ร่างกายเองก็ขยับชิดเข้าไปใกล้ ท่าทางสนิทสนมมากๆ
แผ่นหลังของเฟิงหนานซิวแข็งทื่อครู่หนึ่งโดยยากที่จะสังเกต
สองวันนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของหญิงสาว เพียงแต่เขารู้สึกไม่ค่อยสมจริงมากนัก เหมือนในที่สุดก็ได้เค้กที่คาดหวังมานานมาอยู่ในมือ แต่กลับรู้สึกว่าครีมบนเค้กหวานจนไม่สมจริง
ทั้งคู่เดินเข้าในลานจอดรถ บรรยากาศรอบตัวพลันเย็นเฉียบลงในพริบตา ความเย็นเยือกที่น่าสะพรึงกลัวลามจากหลังคอไปยังหัวใจของซูเนี่ยนเวย
เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อกี้ยังดีๆอยู่เลยไม่ใช่เหรอ
ซูเนี่ยนเวยเงยหน้าขึ้น อีกนิดก็เกือบสบถคำหยาบ
บัดซบ!
เจียวจวิ้นเจี๋ย ไอ้ผู้ชายเลวทรามคนนี้ เร็วไม่มาช้าไม่มา กลับมาโผล่หน้าตอนนี้และกำลังจอดรถเข้าไปในช่องจอดรถที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตร
นี่คือวิธีการที่พวกเขาชอบใช้แต่ก่อนตอนที่เดทกัน เฟิงหนานซิวต้องรู้ดีแน่ ๆ
เมื่อเห็นความอบอุ่นตรงมุมปากของชายหนุ่มกลายเป็นรอยยิ้มที่เสียดสีและเยาะเย้ย ซูเนี่ยนเวยก็อยากตายขึ้นมาทันที
ทั้งที่เมื่อกี้เธอเพิ่งรู้สึกได้ว่าสีหน้าของเฟิงหนานซิวผ่อนคลายลงแล้ว ถ้ารู้แต่แรกว่าจะดวงซวยมาเจอผู้ชายเลวทรามแบบนี้ ต่อให้ตีเธอจนตายเธอก็จะไม่มาโรงพยาบาลแน่ ๆ
เจียวจวิ้นเจี๋ยที่อยู่บนรถเองก็เห็นพวกเขาสองคน
เขาไม่ได้บังเอิญมาหรอก เขาได้รับข้อความจากซูเสวี่ยอวิ่น ก็เลยมาดักซูเนี่ยนเวยถึงที่นี่โดยเฉพาะ
หมาเลียตีนที่จงรักภักดีตัวหนึ่งจู่ ๆวันหนึ่งก็ไม่รับโทรศัพท์แล้ว จะให้เขาเบาใจได้อย่างไร ยิ่งโดยเฉพพาะก่อนหน้าที่งานประมูลของที่ดินแปลงนั้นจะถูกจัดขึ้น
เขาลงจากรถ ก่อนจะขานเรียกยิ้มๆว่า “เวยเวย”
ถ้าเป็นแต่ก่อน เจียวจวิ้นเจี๋ยไม่มีทางกล้าเหิมเกริมต่อหน้าเฟิงหนานซิวขนาดนี้หรอก แต่เพราะมีซูเนี่ยนเวยอยู่ แม้จะล้ำเส้นมากแค่ไหน เฟิงหนานซิวก็ไม่กล้าทำอะไรเขา
ยังไม่ทันตอบสนอง ซูเนี่ยนเวยก็รู้สึกว่าข้อมือถูกพันธนาการ และกำลังถูกบีบแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ราวกับว่ากระดูกข้อมูลจะถูกบีบจนหักแล้ว
หญิงสาวน้ำตารื้น มองตาเฟิงหนานซิวอย่างน่าสงสาร “เจ็บ”