บทที่ 5 ใครบอกว่าฉันต้องการให้เขายกโทษให้?
“พ่อคะ อย่าตีพี่เลยนะคะ” ซูเสวี่ยอวิ่นตะโกนเอ่ยอย่างร้อนรน
ซูเนี่ยนเวยไม่แม้แต่จะหลบ ดวงตาเฉียบคมจดจ้องซูเจี้ยนเฉิงประหนึ่งปลายมีดที่ทิ่มแทงอยู่บนตัว
ซูเจี้ยนเฉิงเองตระหนกกับแววตาของเธอ พลันเก็บหมัดโดยไม่รู้ตัว
เห็นซูเนี่ยนเวยไม่ถูกสั่งสอน ซูเสวี่ยอวิ่นก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทว่าเพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าโศกในทันที
“พ่อคะ หนูเชื่อว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายหนูแน่ ๆ อาจจะ......อาจจะเพราะแค่อารมณ์ไม่ดีก็ได้”
ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบาลง แฝงไว้ด้วยความน้อยใจและความตื่นกลัวอย่างเต็มเปี่ยม พูดเสร็จก็ไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่ซูเนี่ยนเวย
ลูกสาวที่รักและโอ๋เหมือนไขในหิน มีหรือที่ซูเจี้ยนเฉิงจะทนเห็นเธอน้อยใจได้ ไฟโทสะที่เพิ่งดับไปเมื่อกี้นี้พลันลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
“มันทำร้ายลูกถึงขนาดนี้ ลูกยังจะช่วยมันพูดอีก คิดว่าตัวเองยังลำบากไม่พออีกหรือไง? อวิ่นเอ๋อร์ ลูกใจดีเกินไปแล้ว”
ซูเจี้ยนเฉิงตักเตือนด้วยความหวังดี
เมื่อหันมามองซูเนี่ยนเวยอีกครั้ง ก็ไม่มีสีหน้าดีๆให้แม้เพียงเสี้ยวเดียว ราวกับว่าซูเนี่ยนเวยคือขยะที่น่ารังเกียจ แม้ปรายตามองแค่แวบหนึ่งก็ยังอุจาดตา
แม้จะรู้นานแล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้ ทว่าซูเนี่ยนเวยก็ยังคงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย สีหน้าพลันถมึงทึง คำพูดที่เอ่ยออกมาจากปากก็ทั้งเบาทั้งเยือกเย็น
“หนูแค่กรีดผิวหนังเธอชั้นหนึ่ง คุณพ่อก็ทนไม่ได้แล้วเหรอคะ?” นึกถึงรอยแผลตรงแผ่นหลังของตัวเองที่ไม่มีวันหายไป ซูเนี่ยนเวยก็ขึ้นเสียงเล็กน้อย
“คุณพ่อรู้ไหมว่าหนู......”
“แกอยากจะรื้อฟื้นเรื่องเก่าอีกแล้วสินะ? น้องแกก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจให้แกโดนไฟเผา แกยังจะใจแคบจำไปจนถึงอีกเมื่อไหร่?”
เหอะ ตอนนั้นซูเสวี่ยอวิ่นฉลองวันเกิดเธอด้วย ‘ความหวังดี’ ทว่าตอนที่จุดเทียนกลับจุดไฟเผาสายเสื้อตรงแผ่นหลังเธอ จำได้ว่าตอนนั้นเธออยู่ห่างจากซูเสวี่ยอวิ่นประมาณหนึ่งเมตร แล้วทำไมไฟถึงบังเอิญมาเผาโดนตัวเธอได้?
ซูเนี่ยนเวยเผยสีหน้าเยือกเย็นเล็กน้อย “ทั้งชีวิตนี้ หนูไม่มีวันลืมเด็ดขาด”
“แก!”
สถานการณ์ตึงเครียดจนถึงขีดสุด บรรยากาศภายในห้องดิ่งลงสู่จุดเยือกแข็งในพริบตา ต่างคนต่างไม่มีใครคิดที่จะยอมใครทั้งนั้น
ซูเสวี่ยอวิ่นมองดูเงียบๆ สีหน้าสับสนเต็มไปด้วยความกังวล เพียงแต่ภายใต้แววตาที่หม่นหมองกลับซ่อนรอยยิ้มที่ได้ใจ
ตั้งแต่เด็กจนโต สิ่งที่เธอชอบที่สุดก็คือปั่นหัวซูเนี่ยนเวย ครั้งนี้ซูเนี่ยนเวยกล้าต่อต้านเธอ งั้นเธอก็จะบดขยี้ซูเนี่ยนเวยให้ตายในครั้งเดียว
“พ่อคะ อย่าโทษพี่เลยนะคะ หนู......”
“อวิ่นเอ๋อร์ ลูกอย่าพูดอะไรอีกเลย”
ซูเจี้ยนเฉิงพูดขัดซูเสวี่ยอวิ่น กำลังจะอาละวาด ทว่าคู่สามีภรรยาซูเจิ้งหนานและเสิ่นจือหลานของตระกูลซูมาถึงแล้ว
“พี่ใหญ่ ทั้งสองคนก็เป็นลูกสาวพี่ ใจเย็นๆก่อน” ซูเจิ้งหนานรั้งพี่ชายตัวเองเอาไว้
เสิ่นจือหลานโอบกอดซูเนี่ยนเวยอย่างสนิทสนม พลางพูดปลอบข้างหูเธอเสียงเบาว่า “เวยเวย อย่ากลัวไปเลยนะ ฉันกับอาสองอยู่ที่นี่ พ่อเธอไม่กล้าทำอะไรเธอหรอก”
เห็นคนสองคนที่กำลังเสแสร้ง ซูเนี่ยนเวยกลับรู้สึกไม่ถึงความอบอุ่นแม้เพียงเสี้ยวเดียว
ชาติก่อน สองคนนี้ยืนข้างเธอเหมือนอย่างวันนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าของในมือเธอกลับไปอยู่ที่ซูเสวี่ยอวิ่นเหมือนน้ำไหล ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ก็เป็นเพียงแผนการทั้งนั้น
เป็นไปตามที่คิด วินาทีถัดมาซูเจิ้งหนานก็ปริปากด้วยสีหน้าเมตตาว่า “เวยเวยในฐานะพี่สาวก็ไม่ควรทำร้ายอวิ่นเอ๋อร์จริงๆ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องให้พี่ใหญ่ตีเธอจนตายนี่จริงไหม? เอาแบบนี้ดีกว่า ฉันมาตัดสินเอง แบ่งทรัพย์สินในมือเวยเวยให้อวิ่นเอ๋อร์ครึ่งหนึ่ง เรื่องนี้ก็จะถือว่าจบลงแล้ว”
ซูเจิ้งหนานนึกว่าซูเนี่ยนเวยยังหลอกง่ายเหมือนแต่ก่อน จึงส่งสายตาให้ซูเสวี่ยอวิ่นทีหนึ่ง
“ใช่แล้วล่ะ” เสิ่นจือหลานพูดเสริม ย้ำเตือนซูเนี่ยนเวยว่า “ครั้งหน้าอย่าวู่วามแบบนี้อีก โชคยังดีที่เป็นพี่น้องกัน ทรัพย์สินอยู่ในมือใครก็เหมือนกันทั้งนั้น”
ซูเสวี่ยอวิ่นตาลุกวาว ตื่นเต้นจนมือไม้เริ่มสั่น ทรัพย์สินมูลค่าร้อยล้านในมือของซูเนี่ยนเวย เธอกับเจียวจวิ้นเจี๋ยอยากได้มานานแล้ว ทว่าซูเนี่ยนเวยถึงตายก็ไม่ยอมคายออกมาสักที
แม้จะรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้ทั้งหมด ทว่าห้าสิบล้าน ก็เพียงพอแล้ว
“พ่อคะ ครั้งนี้ก็ยกโทษให้พี่เถอะค่ะ”
ซูเสวี่ยอวิ่นน้ำตารื้น แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารู้สึกลำบากใจทว่ากลับไม่ต้องการให้ซูเนี่ยนเวยถูกทำร้ายอีก
กับลูกสาวคนนี้ ซูเจี้ยนเฉิงมักจะตอบรับความต้องการของเธอเสมอ
“ไปร่างสัญญาตอนนี้ เซ็นชื่อ”
“เวยเวย พ่อเธอตกลงแล้ว ยังไม่รีบขอบคุณคุณพ่อกับน้องสาวเธออีก พวกเขาให้อภัยเธอแล้ว” เสิ่นจือหลานบีบไหล่ของซูเนี่ยนเวย สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ
ซูเนี่ยนเวยหงุดหงิดจนอยากหัวเราะ
พวกเขากระหายอยากได้ห้าพันล้านนั่น นี่เธอยังต้องยกให้พวกเขาอย่างซาบซึ้งใจงั้นเหรอ?
ในขณะที่ซูเจี้ยนเฉิง ซูเสวี่ยอวิ่น และคู่สามีภรรยานึกว่าซูเนี่ยนเวยจะตอบตกลงอย่างไร้เงื่อนไข เสียงหนึ่งที่ไร้ซึ่งอุณหภูมิก็พลันดังขึ้นในห้องผู้ป่วย
“ใครบอก ว่าฉันต้องการให้พวกเขายกโทษให้?”
สิ้นเสียง สีหน้าของซูเจี้ยนเฉิงก็ชะงักแข็งทื่อเหมือนหิน
“ไม่ต้องการ? ถ้าไม่ต้องการ งั้นจากนี้ไปแกก็ไม่ต้องมาเหยียบบ้านตระกูลซูอีก”
หลังจากที่แต่งงานกับเฟิงหนานซิว ซูเนี่ยนเวยเคยทำสร้างปัญหามามากมาย ประหนึ่งว่าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่สิ่งที่เธอแคร์มากที่สุดก็ยังคงเป็นซูเสวี่ยอวิ่น เจียวจวิ้นเจี๋ย และตระกูลซู
ที่ผ่านมา หากซูเจี้ยนเฉิงเอ่ยคำพูดแบบนี้ออกมา เธอก็จะร้องไห้อ้อนวอนทันที ทว่าครั้งนี้......
“ได้สิ!” มีเพียงคำพูดเบาหวิวเพียงสองคำ
ทั้งเย็นเยือกและจืดจาง
ซูเจี้ยนเฉิงถลึงตาจนตาแทบเบี้ยว พลางชี้ซูเนี่ยนเวยพูดคำว่า ‘แก’ มาครึ่งวันก็ยังพูดไม่ได้หนึ่งประโยคสักที
เสิ่นจือหลานอึ้งชะงักครู่หนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “เวยเวยอย่าล้อเล่นแบบนี้สิ ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นคนของตระกูลซู”
ซูเนี่ยนเวยปัดมือเสิ่นจือหลานที่วางอยู่บนไหล่เธอออก แล้วเดินห่างออกไปไกลหนึ่งเมตรราวกับหนีโรคระบาด
“หากเพราะหนูยังนามสกุลซูเลยทำให้คุณเข้าใจผิดแบบนี้ งั้นหนูก็ไม่แคร์ที่จะไปเปลี่ยนนามสกุล”
ซูเจี้ยนเฉิงขมวดคิ้วแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเนี่ยนเวยพูดเถียงเขาตรงๆแบบนี้ ในใจพลันเหมือนมีกองไฟซ่อนไว้ แผดเผาความอดทนเสี้ยวสุดท้ายของเขาไปจนหมดสิ้น
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ประตูห้องผู้ป่วยถูกปิดสนิทแล้ว
จดจ้องใบหน้าที่เย่อหยิ่งและดื้อรั้นของเธอ ซูเจี้ยนเฉิงก็ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม ก่อนจะเดินไปล็อกประตูห้อง
“ซูเนี่ยนเวย นี่เป็นสิ่งที่แกติดค้างอวิ่นเอ๋อร์ แกไม่ตกลงก็ต้องตกลง”
ซูเนี่ยนเวยเบิกตาโพลง ไม่อยากเชื่อว่าซูเจี้ยนเฉิงจะไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้ ถึงขั้นอยากบีบบังคับให้เธอก้มหัว
“พ่อคะ อย่าทำให้พี่ลำบากใจอีกเลย” ซูเสวี่ยอวิ่นฉวยโอกาสยุยง “ไม่ว่ายังไงพี่ก็แต่งงานกับคุณเฟิงแล้ว ถ้าทำให้เธอบาดเจ็บ งั้นก็ให้คำตอบคุณเฟิงยากแน่ ๆ”
ไฟที่แผดเผาในใจเธอไม่ได้น้อยไปกว่าซูเจี้ยนเฉิงเลยสักนิด
ซูเจิ้งหนานและเสิ่นจือหลานเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
ซูเจี้ยนเฉิงดูแคลน เอ่ยเสียงเหยียดหยามว่า “อย่างมันน่ะเหรอ?”
เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าลูกสาวคนนี้ตอนอยู่ที่ตระกูลลเฟิงทั้งสร้างปัญหาทั้งอาละวาด สร้างความรำคาญจนทำให้นายท่านเฟิงโมโห จนถึงตอนนี้ที่ตระกูลเฟิงยังไม่คืนคนกลับมา ก็เพียงเพราะเห็นแก่หน้าที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของตระกูลผู้ดีเท่านั้น
“ขยะแบบนี้ แม้วันนี้ฉันจะตีมันจนพิการ ก็ไม่มีคนมาหาเรื่องฉันหรอก”
สิ้นเสียง ประตูห้องผู้ป่วยก็ส่งเสียงดัง ‘ปัง’ จากนั้นก็แกว่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตกลงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว พลันบังเอิญกระแทกลงบนนิ้วเท้าของซูเจี้ยนเฉิงพอดี
“ไอ้หน้าไหน......” เขาเงยหน้าขึ้น ก่อนจะหุบปากในทันที
ณ วินาทีนี้ ทุกคนต่างเงียบเสียงลง จดจ้องไปยังชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู
เฟิงหนานซิวแผ่รังสีอำมหิตราวกับเพิ่งข้ามผ่านขุมนรก ดวงตาเสมือนกริชแหลมคมที่ทิ่มแทงอยู่บนตัวซูเจี้ยนเฉิง น่าสะพรึงกลัวจนชวนอกสั่นขวัญหาย