บทที่ 4 เขาบอกว่า เลี้ยงได้
ซูเนี่ยนเวยพลันรู้สึกขนลุกและสะอิดสะเอียน
ชาติก่อนเธอคิดคำขานที่ขยะแขยงขนาดนี้ออกมาได้ยังไงกัน?
ซูเนี่ยนเวยรีบกดวางสาย ก่อนจะแก้คำว่าพี่จวิ้นเจี๋ยที่รักเป็นคำว่า ‘ขยะ’ เมื่อแก้แล้วจึงจะค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย
ที่ดินแปลงหนึ่งทำให้เธอนึกย้อนถึงเรื่องราวหลายอย่างในความทรงจำ
เจียวจวิ้นเจี๋ยคือลูกนอกสมรสที่ตระกูลเจียวรับกลับมาเลี้ยง ได้ยินมาว่าเป็นลูกของนางโลมคนหนึ่ง นายท่านตระกูลเจียวไม่ชอบลูกคนนี้มากๆ
เพื่อจะโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ เขาทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
ชาติก่อนก่อนที่คุณยายจะเสีย ท่านได้ยกมรดกมากกว่าครึ่งและหุ้นให้เธอ ส่วนใหญ่ก็ถูกเจียวจวิ้นเจี๋ยหลอกเอาไปหมดแล้ว
นับเวลาดูอีกที ซูเนี่ยนเวยก็ถอนหายใจอย่างจนใจเล็กน้อย
ก็ยังคงช้าไปหนึ่งก้าว หุ้นและเงินพวกนั้นตกอยู่ในมือของเจียวจวิ้นเจี๋ยแล้ว
ของที่ควรจะเป็นของเธอจะยอมเสียเปรียบยกให้ผู้ชายเลวทรามคนนั้นได้ยังไงกัน
ซูเนี่ยนเวยลูบกุญแจไม้ที่แขวนอยู่บนคอ ดวงตางดงามพลันฉาบไปความเยือกเย็นดุจน้ำแข็งในพริบตา
อำนาจที่ไม่ทันได้ใช้ในชาติก่อน ในที่สุดก็มีประโยชน์ในชาตินี้แล้ว
นั่นคือท่าไม้ตายที่คุณยายเก็บไว้ให้เธอ สถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง
ตอนนี้เธอต้องการคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งอย่างเร่งด่วน เพื่อจะติดต่อกับทางนั้น
ซูเนี่ยนเวยครุ่นคิด ในบ้านหลังนี้ เหมือนว่าจะมีคอมพิวเตอร์แค่เครื่องเดียวในห้องหนังสือของเฟิงหนานซิว เครื่องอื่นๆถูกพังทลายตอนที่เธออาละวาดไปหมดแล้ว
ลอบด่าตัวเองว่าไม่ได้เรื่อง ซูเนี่ยนเวยกินขนมปังคำสุดท้ายจนหมด จากนั้นเธอก็ไปที่ห้องหนังสือของเฟิงหนานซิวเพื่อส่งอีเมลให้สถาบันวิจัย
ฉินเจิงขับรถเข้าไปยังลานจอดรถใต้ดินของเฟิงซื่อ แต่ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำพูดที่อัดอั้นไว้ในใจมาตลอดทั้งทาง
“เฮียเฟิง เมื่อกี้ปฏิกิริยาของคุณหญิงแปลกประหลาดไปเล็กน้อย ราวกับว่าไม่ต้องการที่ดินแปลงนั้นมากนัก”
พูดจบ ฉินเจิงไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง พูดถึงคุณหญิงทีไร เฮียเฟิงมักจะควบคุมอารมรณ์ตัวเองได้ยาก
เป็นไปตามที่คิด บรรยากาศภายในรถดิ่งลงสู่จุดเยือกแข็งในพริบตา
เฟิงหนานซิวเผยสีหน้าถมึงทึง
เพื่อผู้ชายคนนั้น เธอแลกได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง มีหรือที่จะไม่อยากได้ที่ดิน?
การกระทำสนิทสนมที่เธอแสดงออกเมื่อวาน หากไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้แล้วจะเพื่ออะไร?
ฉินเจิงอยากจะอธิบายช่วยซูเนี่ยนเวยมากๆ ทว่าโทรศัพท์กลับดังขึ้นมาเสียก่อน
คุยโทรศัพท์เสร็จ สีหน้าของเขาก็ย่ำแย่จนถึงขีดสุด พลางมองเฟิงหนานซิวอย่างหวาดหวั่น
“เฮียเฟิง พ่อบ้านจ้าวบอกว่า คุณหญิงเข้าไปที่ห้องหนังสือ”
สัญญาซื้อขายของที่ดินแปลงนั้นยังถูกเก็บไว้ในห้องหนังสือ
นับแต่ที่เขาพูดคำนี้ออกมา บรรยากาศภายในรถก็พลันเหมือนถูกแช่แข็ง
เฟิงหนานซิวไม่เผยสีหน้าอะไร ดวงตาหม่นแสงกลับเผยแววอำมหิต ราวกับว่าจะบดขยี้ทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูก
ทั้งที่เย็นเยือกจนตัวสั่น ทว่าฉินเจิงกลับรู้สึกว่าเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง ไม่ทันไรเสื้อสูทก็เปียกชื้นเสียแล้ว
สมองเขาต้องมีปัญหาแน่ ๆ ถึงได้ช่วยซูเนี่ยนเวยพูด
วีแชตของเฟิงหนานซิวพลันดังขึ้น
เมื่อเห็นชื่อซูเนี่ยนเวยปรากฏบนหน้าจอ ใจของฉินเจิงก็ตกไปอยู่ตาตุ่ม สีหน้าเหมือนพร้อมตายเต็มทีแล้ว
คุณหญิงจะยั่วโมโหเฮียเฟิงตอนไหนไม่ดี ทำไมต้องตอนนี้ด้วย......
ฉินเจิงเตรียมพร้อมที่จะรองรับโทสะของเฟิงหนานซิวแล้ว กลับพบว่าอุณหภูมิภายในรถจู่ ๆก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ดูท่าแล้วมีความเป็นไปได้สูงที่ฤดูใบไม้ผลิจะกลับมาเยือนอีกครั้ง
แววอำมหิตในดวงตาของเฟิงหนานซิวเองก็สลายไปเหมือนหมอก ก่อนจะกลายเป็นประกายที่พร่างพราวในดวงตา
ถ้าเขาดูไม่ผิด นายเฟิงเองก็เหมือนจะยกยิ้มมุมปากครู่หนึ่งด้วย
ฉินเจิงอดสงสัยไม่ได้ ซูเนี่ยนเวยพูดอะไรกันแน่ เพียงสองประโยคก็สามารถพูดง้อให้เฮียเฟิงหายโกรธได้แล้ว
มีเพียงสองข้อความจริงๆ
ข้อความแรกคือรูปถ่ายของสัญญาซื้อขายที่ดิน
ข้อความที่สองคือซูเนี่ยนเวยส่งอิโมจิเบะปากมา เอ่ยว่า “ของสำคัญขนาดนี้ไม่รู้จักเก็บไว้ดีๆ ถ้าถูกคนขโมยไป แล้วนายจะเอาอะไรมาเลี้ยงฉัน? ถึงจะให้กินเปลือกข้าวกลืนผักป่าฉันก็ยอม แต่ยังไงฉันก็ชอบกินเนื้อกว่านะ!”
ซ้ำยังส่งอิโมจิ ‘กินข้าว’ น้ำลายย้อยมาให้ด้วย เห็นแล้วน่ารักน่าเอ็นดู
เฟิงหนานซิวจดจ้องคำว่า ‘เลี้ยงฉัน’ ไม่วางตา แม้จะรู้ดีว่านี่อาจจะเป็นแผนการของซูเนี่นเวย แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกอบอุ่นชั่วขณะหนึ่ง
เฟิงหนานซิวตอบข้อความกลับไปอย่างว่องไว ก่อนจะจ้องหน้าจอมือถือโดยไม่กระพริบตา สีหน้าท่าทางเหมือนหมาน้อยที่กำลังรอให้เจ้าของเอ่ยชม
ฉินเจิงแทบจะทนมองไม่ได้ เขารู้สึกว่านายเฟิงเหมือน......มีความรักอีกแล้ว!
ซูเนี่ยนเวยที่เฝ้าอยู่ในห้องหนังสือกลุ้มอกกลุ้มใจ เธอเห็นสัญญาฉบับนั้นแล้วจึงจะนึกถึงเรื่องโง่เขลาที่ตัวเองเคยทำ
ชาติก่อน ทั้งที่เฟิงหนานซิวตอบตกลงเรื่องที่ดินแล้ว แต่เธอก็ยังไม่วางใจ จึงมาขโมยสัญญาที่ห้องหนังสือ ซ้ำยังขโมยความลับทางธุรกิจไปบางส่วนด้วย ทำให้เฟิงหนานซิวขาดทุนบานตะไท
เฟิงหนานซิวดีกับเธอมากๆ ทว่าความดื้อดึงของเขาต่อเธอนั้นมีมากกว่า ดังนั้นทุกครั้งที่เธอสะกิดโดนเส้นความอดทนของเขา เฟิงหนานซิวก็จะทรมานเธอประหนึ่งคลุ้มคลั่ง
ซูเนี่ยนเวยกลัวจนแทบตาย
ในขณะที่มือเธอเริ่มสั่นเทา โทรศัพท์ก็พลันดังขึ้น
เฟิงหนานซิวบอกว่า “เลี้ยงได้”
ในสายตาของซูเนี่ยนเวย คำนี้เปล่งประกายยิ่งกว่าเพชรพลอยใดๆเสียอีก
ในใจเธอรู้สึกหวานแหวว พลันใช้โอกาสนี้ถามว่า “อยู่บ้านน่าเบื่อเกินไป ฉันขออ่านหนังสือเล่นคอมฯในห้องหนังสือได้ไหม?”
เป็นไปตามที่คาด เฟิงหนานซิวตอบตกลงแล้ว แม้ในห้องหนังสือจะยังมีเอกสารลับที่สามารถทำให้เฟิงซื่อล้มละลายได้ก็ตาม
ทั้งคู่คุยกันอีกสองประโยค ซูเนี่ยนเวยจึงจะส่งอิโมจิจุ๊บบอกว่าจะไปอ่านหนังสือแล้ว
เฟิงหนานซิวเก็บโทรศัพท์อย่างเชื่องช้า ยังรู้สึกไม่พอกับการสนทนานี้
การประชุมสายไปสิบห้านาทีแล้ว ทว่าฉินเจิงไม่กล้าพูดเร่งแม้แต่คำเดียว
ซูเนี่ยนเวยหาหนังสือที่ตัวเองสนใจแล้วกลับไปที่ห้องนอนตัวเอง ยังไม่ได้เปิดอ่าน โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
‘คุณพ่อ’ สองคำปรากฏบนหน้าจอ ทำให้ซูเนี่ยนเวยรู้สึกเย็นเฉียบไปครึ่งหัวใจ
เธอกดรับสาย ก่อนจะได้ยินเสียงหงุดหงิดของซูเจี้ยนเฉิง
“ซูเนี่ยนเวย น้องแกไปทำอะไรผิดต่อแกตรงไหน แกถึงกับต้องทำร้ายเธอขนาดนี้ รีบไสหัวมาที่โรงพยาบาลซะ ไม่งั้นแกได้เจอดีแน่”
ระคายหูชะมัด!
ซูเนี่ยนเวยยิ้มเย็นแล้วกดวางสาย
เธอกับซูเสวี่ยอวิ่นไม่ว่าใครทำผิด คนที่โดนด่าก็มักจะเป็นเธอเสมอ ซูเสวี่ยอวิ่นไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยสักครั้ง
ชาติก่อนเธอไม่เข้าใจมาโดยตลอด แม้เธอกับซูเสวี่ยอวิ่นจะไม่ได้คลอดออกมาจากท้องเดียวกัน แต่อย่างน้อยก็เป็นลูกสาวของเขาทั้งคู่ แล้วทำไมถึงได้รับการปฏิบัติแตกต่างกันมากขนาดนี้
ซูเจี้ยนเฉิงแต่งงานกับแม่เธอเพียงเพราะหวังอยากได้มรดกของคุณยาย ปรากฎว่าคุณยายกลับยกมรดกส่วนใหญ่ให้เธอ นั่นทำให้เขายิ่งดูแคลนในตัวเธอ
ซูเนี่ยนเวยก็ยังคงตัดสินใจจะไปโรงพยาบาล
เพราะการประลองระหว่างเธอกับซูเสวี่ยอวิ่นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ชักช้ามาจนถึงตอนที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ซูเนี่ยนเวยจึงจะมาถึงโรงพยาบาล
สีหน้าของซูเจี้ยนเฉิงถมึงทึงจนดำมืดเหมือนหลุมดำแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังคงฝืนทนอารมณ์ตัวเองพูดโอ๋ซูเสวี่ยอวิ่น
“อวิ่นเอ๋อร์ ต้องกินเยอะหน่อยบาดแผลถึงจะหายดี รอยัยผู้หญิงอกตัญญูนั่นมา พ่อก็จะ......”
“ก็จะอะไร? หนูมาแล้ว”
ซูเนี่ยนเวยยืนพิงประตูห้องผู้ป่วยอย่างเกียจคร้าน ราวกับต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งร่างกายจึงจะฝืนปรายตามองทั้งคู่แวบหนึ่งได้
“ซูเนี่ยนเวย นี่ท่าทางอะไรของแก?”
ซูเจี้ยนเฉิงกระแทกถ้วยลงบนโต๊ะ
“ยังไม่ไสหัวมาขอโทษน้องแกอีก แกรู้หรือเปล่าว่ามือของเธอต้องเล่นเปียโน แกรู้ไหมว่าบนตัวเธอห้ามมีรอมแผลเป็น แก......แกมันจิตใจโหดเหี้ยม แม้แต่น้องสาวตัวเองก็ยังทำร้ายได้ลงคอ”
ซูเจี้ยนเฉิงหน้าแดงก่ำ นึกถึงรอยแผลของซูเสวี่ยอวิ่น แววตาก็ทั้งเจ็บปวดทั้งโกรธแค้น
ซูเนี่ยนเวยแทบจะอยากหัวเราะ
ซูเสวี่ยอวิ่นเล่นเปียโน?
ทั้งที่ทุกครั้งคือยัยนั่นแสดงท่าทางด้านหน้า ส่วนเธอก็เป็นตัวแทนเบื้องหลัง
“ให้หนูขอโทษเธอ? งั้นรอชาติหน้าเถอะ วันนนี้ที่หนูมา ก็เพื่อจะมาดูว่าเธอยังมีชีวิตรอดอยู่หรือเปล่า ถ้าเกิดตายไปอย่างง่ายดาย งั้นครั้งหน้าจะเล่นกันยังไง?”
ซูเนี่ยนเวยเลิกคิ้วขึ้น แววตานั่นเหมือนกำลังจ้องมองปลาตายที่กำลังนอนแน่นิ่งให้เธอชำแหละ นั่นทำให้ซูเจี้ยนเฉิงโมโหขึ้นมาทันที
“ครั้งหน้า!” ซูเจี้ยนเฉิงเดินไปหาซูเนี่ยนเวย “ฉันจะตีให้แกพิการก่อน ดูว่าแกจะกล้ามีครั้งหน้าอีกไหม”
เขาง้างมือขึ้น ก่อนจะฟาดหน้าซูเนี่ยนเวยสุดแรง